Chapter 3
หมวดหลี่เอินไหลถึงกับลุกขึ้นยืนเลยทีเดียว หากเขาฟังไม่ผิดเมื่อครู่อีกฝ่ายพูดว่า "นกฟีนิกซ์" ซึ่งเขารู้ความหมายของมันดี เพราะมันแปลว่าคู่ครองของลูก ๆ เขาคือบุคคลที่ได้รับพรจากเทพนกฟีนิกซ์ อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้และยังเป็นที่เคารพบูชาของผู้คนอีกด้วย ตามตำนานของการกำเนิดประเทศ เทพนกฟีนิกซ์ได้นำทางมนุษย์กลุ่มแรกมายังพื้นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่ด้วยภัยอันตรายอันเกิดจากการถูกรุกราน เป็นเหตุให้เทพนกฟีนิกซ์ทั้งสิบสามตนยอมสละร่างกาย ด้วยการแผดเผาตนเองกลายเป็นลูกแก้วสิบสามลูก ได้แก่ สีน้ำเงิน สีแดง สีดำ สีเทา สีทอง สีเขียวมรกต สีฟ้า สีม่วง สีแสด สีเงิน และอีกสามลูกที่มีความพิเศษมากกว่าลูกอื่น ๆ คือ ลูกแก้วมนตรา ลูกแก้วสุริยะ และลูกแก้วจันทรา
ภายหลังลูกแก้วทั้งหมดถูกเรียกขานว่า "ลูกแก้วฟีนิกซ์" ซึ่งจะมอบขุมพลังให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติและเหมาะสม ในการที่จะได้ครอบครองพลังของเทพนกฟินิกซ์ พวกเขาเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า "นักรบฟีนิกซ์" ในทุก ๆ ปีของวันที่ยี่สิบสองพฤษภาคม บรรดาเด็ก ๆ ที่มีอายุครบหกขวบหรือกำลังจะย่างเข้าหกขวบ จะถูกส่งมายังวิหารนกฟินิกซ์ซึ่งเป็นที่บรรจุลูกแก้วทั้งสิบสามลูก โดยผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องรักษาจะถูกเรียกว่า "นักบวชฟีนิกซ์" จะทำหน้าที่นำผ่านเด็ก ๆ มายังลานกว้างที่รายล้อมไปด้วยลูกแก้วฟินิกซ์ เด็กคนใดที่ได้รับพรจากลูกแก้วแล้วจะถูกส่งไปอยู่กองพันฟินิกซ์ ซึ่งเป็นกองทัพของนักรบฟินิกซ์โดยเฉพาะ
จุดเด่นของนักรบฟีนิกซ์คือพวกเขาจะมีพลังเยียวยาบาดแผล ไม่ว่าแผลนั้นจะสาหัสหนักหนาแค่ไหนมันก็ถูกรักษา และหายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นาน และยังมีโทรจิตไว้ติดต่อหากันได้อีกด้วยเพราะขุมพลังอีกอย่างคือ พวกเขามีจิตที่เชื่อมถึงกันและกันสามารถรู้ชื่อของอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องถามชื่อ ด้วยความพิเศษนี้ทำให้เหล่านักรบฟีนิกซ์รุ่นใหม่ ถูกฝึกเข้มข้นกว่าทหารทั่วไปถึงสิบเท่าเพื่อเป็นกำลังให้กับเพื่อนร่วมรบ สำหรับกองพันฟีนิกซ์จะมีอยู่ทั้งหมดเก้ากองพัน โดยหนึ่งกองพันมีสี่กองร้อยและหนึ่งกองร้อยจะมีสิบหมวด นอกเหนือจากกองพันฟีนิกซ์แล้วยังมีสองหน่วยรบพิเศษ ที่แยกออกมาอีกหน่วยรบนี้จะมีการฝึกแบบเดียวกับหน่วยรบพิเศษอื่น ๆ เพียงแต่จะมีความเข้มข้นกว่าห้าเท่า มีชื่อว่า "หน่วยรบ SAS" "หน่วยรบฟินิกซ์" และ "หน่วยรบอาร์ทิสส์"
"เดี๋ยวก่อนครับ ! เมื่อกี้ท่านว่าอะไรนะครับ" หมวดหลี่เอินไหลถามอีกครั้ง
"หมวดได้ยินไม่ผิดหรอก" สารวัตรชาญฉลาดพูด
"มัน.... เรื่องจริงหรือครับ" หมวดหลี่เอินไหลยังทำหน้าไม่เชื่ออยู่
สารวัตรชาญฉลาดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองอีกฝ่าย ครู่ต่อมาดวงตาสีดำน้ำตาลของสารวัตรก็เริ่มเปลี่ยนไป กลายมาเป็นสีทองเข้มซึ่งทำให้หมวดหลี่เอินไหลยืนแข็งทื่อเป็นหินทันที เมื่อได้เผลอสบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นและในนาทีนั้นเอง ที่หมวดหลี่เอินไหลเริ่มตระหนักแล้วว่า ทำไมชายตรงหน้าถึงเป็นมือหนึ่งของกรมปราบปราม เพราะเขาได้รับพรจากเทพนกฟีนิกซ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศนั้นเอง สิบนาทีต่อมาดวงตาสีทองเข้มก็หายไปกลับมาเป็นสีน้ำตาลแบบเดิม
"เรื่องนี้ฉันไม่โกหกนายแน่นอนหมวด.... เอาละหลังจากที่คุยมานาน ฉันขอคำตอบจากนายเดียวนี้ว่าจะเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่.... ตัดสินใจมาเลย" หมวดหลี่เอินไหลนิ่งไปสักพักก่อนจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง
++++++++++++++++
ณ ศูนย์บัญชาการหน่วยรบพิเศษ
"ปรมัตถ์" หรือ "บอม" กำลังยืนมองวิวจากด่านฟ้าของอาคาร เขามองรถที่วิ่งผ่านไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ตอนนี้มันเป็นเวลาเก้าโมงเช้าสิบสองนาทีแล้ว ซึ่งเด็กหนุ่มพบว่าเขายังไม่ได้กินข้าวเลย แต่คงเพราะเขากำลังฟังข่าวสถานการณ์สงครามจักรวรรดิเปรเซียร์อยู่ ความจริงแล้วเขาควรได้อยู่ในสนามรบกับเพื่อน ๆ ทว่าในสมรภูมิที่ประเทศไดโนนีซุส ปรมัตถ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกส่งกลับมาที่ฟรอนเทียร์ เนื่องจากเขาถูกเล่นงานโดยทหารมือดีของข้าศึก และแม้เขาจะหายดีแล้วทว่าทางกองทัพยังไม่มีคำสั่งให้เขากลับไปรายงานตัว
สักพักเขาก็ไอจามมาสองครั้งเพราะสูดดมควัน ที่ลอยโชยมาจากกล่องไม้ซึ่ง "พันเอกฟางผิง" ใช้ในการเผากงเต็กให้กับพ่อแม่ของตน สืบเนื่องจากวันนี้ครบรอบวันตายของพวกท่าน เลยทำให้เด็กหนุ่มบ่นมากไม่ได้จึงตัดสินใจมองวิวทิวทัศน์ดีกว่า ขณะเดียวกันฝั่งของพันเอกฟางผิงก็รู้ดีว่า ปรมัตถ์กำลังคิดอะไรอยู่และคงอยากกลับเข้าสู่สนามรบใจจะขาดแล้ว แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่สาหัสมากทำให้ผบ.ยังไม่อนุมัติคำสั่งให้กับปรมัตถ์ จึงทำได้แค่ฟังข่าวจากในวิทยุเท่านั้นโดยในตอนนี้กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตร สามารถปลดปล่อยเชลยชาวพื้นเมืองได้หลายคน
"บอม นายหิวไหม วันนี้ฉันเลี้ยงนายเอง" พันเอกฟางผิงพูด
"ไม่ครับ ผมไม่ค่อยหิว" ปรมัตถ์ตอบแม้จะสวนทางกับเสียงท้องร้องก็ตาม ด้านพันเอกฟางผิงก็ถึงกับส่ายหน้า
ในอดีตพันเอกฟางผิงได้สร้างผลงานในสนามรบมากมายมานับไม่ถ้วน จนกองทัพมอบฉายาให้กับเขาว่า "เทพบุตรแห่งสงคราม" ซึ่งตอนนั้นเขาได้เลื่อนยศมาเป็นนายร้อยแล้ว นับเป็นคนแรก ๆ ในกองพันฟีนิกซ์ที่ได้รับฉายาตั้งแต่ยังเป็นแค่นายจ่า กาลเวลาต่อมาเขาได้รับการไหว้วานให้มาขัดเกลานักรบฟินิกซ์รุ่นใหม่ โดยพันเอกฟางผิงมาทำหน้าที่เป็นครูฝึกเฉพาะกิจให้กับทีมจู่โจมของหน่วยรบฟีนิกซ์ อันประกอบด้วย "ทีมอีวิลลอร์ดแฟนธ่อม" "ทีมเดมอน" "ทีมดราก้อนเดมอน" "ทีมไดนาไมต์ "ทีมไทเกอร์" และ "ทีมไลแคน" สำหรับตัวปรมัตถ์เขาได้สังกัดอยู่ทีมอีวิลลอร์ดในรุ่นที่สี่ร้อยยี่สิบสี่ พร้อมกับรางวัลใหญ่ที่ได้เจอกับพันเอกฟางผิง
ซึ่งพันเอกฟางผิงก็ทำการฝึกตามมาตรฐานของหน่วยรบอย่างดี และเพราะความเข้มงวดบวกกับความโหดของพันเอกฟางผิงเอง ทำเอายุวชนทหารหลายคนแทบลากเลือดเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับปรมัตถ์ที่ไม่ใช่แค่โดนเคี่ยวเข็ญธรรมดา ยังถูกพันเอกฟางผิงจับผิดหาเรื่องลงโทษตลอดเวลา ที่เป็นแบบนั้นเพราะพันเอกฟางผิงศักยภาพบางอย่างในตัวของอีกฝ่าย จนปัจจุบันเขาพูดได้เต็มปากว่าปรมัตถ์เป็นลูกศิษย์อีกคนที่เขาภาคภูมิใจมาก ในสมรภูมิไดโนนีซุสพันเอกฟางผิงก็อยู่ด้วยและเขาคือคนที่แบกร่างของปรมัตถ์ จากในสนามรบกลับมายังค่ายพักของกองทัพสัมพันธมิตร ท่ามกลางความดุเดือดของสองฝ่ายที่กำลังเข้าห่ำหั่นกัน
"อืม ตามใจนายละกัน" พันเอกฟางผิงกล่าว
"เมื่อไหร่ผมจะได้กลับไปปฏิบัติภารกิจ" ปรมัตถ์ถาม
"เมื่อนายพร้อมกว่านี้" พันเอกฟางผิงตอบ
"แต่อาจารย์บอกผมเองว่า ผมหายดีแล้ว"
"เรื่องนี้ให้หมอเป็นคนวินิจฉัยจะดีกว่า"
ปรมัตถ์ตั้งใจจะเถียงพันเอกฟางผิงแต่แล้วสายตาของเขา ก็มาหยุดลงที่รถ Volvo V60 สีน้ำเงินเข้ามาจอดในลานจอดรถ ใกล้ ๆ กับอาคารศูนย์บัญชาการ ด้วยความอยากรู้ปรมัตถ์จึงไปหยิบกล้องส่องทางไกลออกมา จึงได้รู้ว่าเจ้าของรถคือหมวดปาร์กฮันซอและยังมีสารวัตรชาญฉลาดที่เดินออกจากฝั่งข้างคนขับ ทว่ากับอีกคนที่ออกมาจากเบาะหลังเป็นคนที่ปรมัตถ์ไม่คุ้นหน้าเลย ซึ่งดูลักษณะแล้วท่าทางจะรู้จักกับหมวดปาร์กฮันซอพอสมควร ในตอนนั้นเองที่มีเสียงโทรศัพท์ที่กางเกงของผู้พันฟางผิงดังขึ้น ทหารหนุ่มยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูพบว่าเป็นเบอร์โทรของสารวัตรชาญฉลาด
"ว่าไงเพื่อน" พันเอกฟางผิงกล่าวทักทาย
"ฟางผิง ขอโทษด้วยที่โทรมารบกวนในวันครบรอบวันตายของพ่อแม่นาย แต่....อยากให้นายมาเจอฉันที่ห้องประชุมชั้นสามหน่อย" สารวัตรชาญฉลาดพูดเข้าประเด็นทันที
"วันนี้เลยเหรอ จะบอกได้ไหมว่าเป็นการประชุมเรื่องอะไร" พันเอกฟางผิงถาม
"ภารกิจลับ..... ลูกศิษย์ของนายอยู่ด้วยไหม"
"นายหมายถึงบอมใช่ไหม"
"ใช่"
ไม่นานสารวัตรชาญฉลาดก็วางสายไปส่วนพันเอกฟางผิงทำการเก็บโทรศัพท์ และหันไปบอกปรมัตถ์ว่าให้ไปที่ห้องประชุมที่ชั้นสาม เนื่องจากสารวัตรชาญฉลาดต้องการให้ทั้งสองเข้าประชุมในภารกิจลับ แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นภารกิจเกี่ยวกับอะไรนอกจากต้องเข้าประชุมเท่านั้น เด็กหนุ่มที่ได้ฟังก็มีขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินตามหลังผู้พันฟางผิง มายังห้องประชุมชั้นสามซึ่งเป็นห้องประชุมที่ไม่ใหญ่มากนัก เมื่อเข้ามาข้างในแล้วจึงพบว่าแขกทั้งสามกำลังนั่งรอทั้งสองอยู่พอดี
+++++++++++++++++++++++