Chapter 13
ปรมัตถ์ก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงวุ่นวายจากด้านนอก เขาจึงหันมาปลุกเพื่อนอีกสามคนให้รีบตื่น และพากันออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว เห็นทั้งตำรวจกับทหารวิ่งวุ่นไปหมด พอดีกับที่มีทหารคนหนึ่งเห็นทั้งสี่ยืนงงงวยกันอยู่ จึงรีบวิ่งไปเรียกสติทันท่วงที ด้วยการตบหัวพวกเขาเรียงตัว ทำให้สติกลับคืนสู่ร่างในบัดดล
"เกิดอะไรขึ้นครับ" ปกรณ์วุฒิถามขึ้นทันทีที่ได้สติ
"แก๊งขวานซิ่งโจมตีขบวนเคลื่อนย้ายโอโตฮวานะสิ ตอนนี้พวกเรากำลังไปช่วยทีมคุ้มกันอยู่" ทหารคนนั่นตอบ
"อะไรนะ !" ทั้งสี่ร้องเสียงหลงพร้อมกัน
คณณัฐหันมาทางปรมัตถ์ "ทำไมผู้กองหลิวไม่ปลุกพวกเราล่ะ"
"นั้นสิ แบบนี้ไม่ดีแน่" บุญธรพูดอย่างกังวล
"ตอนนี้ขบวนเคลื่อนย้ายอยู่ตรงไหนแล้วครับ" ปรมัตถ์ถามทหารคนนั่น
"ห่างจากตรงนี้อีกเจ็ดร้อยกี่โหลเมตร ตรงหัวมุมถนนมิเนอร์ว่า"
ปรมัตถ์พยักหน้าและหันมาทางเพื่อนทั้งสาม
"ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน พวกนายตามมาให้ทันล่ะ" เขาบอก
"เดี๋ยว ! นายจะไปยังไง...."
คณณัฐ์ยังไม่ทันที่จะพูดจบปรมัตถ์ก็ใช้พลังควบคุมธาตุวายุ ส่งร่างตัวเองขึ้นสูงไปในอากาศโดยไม่ทันฟังคำเพื่อนเลยแม้แต่นิดเดียว บุญธรพอรู้ว่าทำไม
เพราะหนึ่งในทีมอารักขาขบวนเคลื่อนย้าย มันมีหลี่ชิงชิง คู่ผูกวิญญาณของเขาอยู่ด้วย
+++++
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้
หลังจากประชุมเส้นทางที่จะไปสนามบินของกองทัพ ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนานได้มาบอกให้ทุกคนในทีม พักเอาแรงอย่างน้อยสองชั่วโมง แล้วค่อยมารายงานตัวจากนั้นเธอก็เดินมาที่เต็นท์หนึ่ง ซึ่งสี่ยุวชนทหารกำลังหลับพักผ่อนอยู่ แต่ละคนหลับลึกมากบอกให้รู้ว่าพวกเขาคงเหนื่อยมาก ครู่ต่อมาร้อยโทกู้เจิ้นหนานเดินมาสมทบ เขามองทั้งสี่คนที่กำลังหลับอยู่
"ให้ตายสิ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานพูดขึ้น "หลับเหมือนเด็กทารกเลย"
"หึ ! เมื่อก่อนตอนนายฝึกจนหมดแรงก็มีสภาพไม่ต่างจากเจ้าพวกนี้หรอก" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว
ร้อยโทกู้เจิ้นหนานครางเบา ๆ
"ฉันว่าปล่อยให้พวกนี้พักก่อน ถ้าถึงเวลารวมพลฉันจะมา..." ร้อยโทกู้เจิ้นหนานยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเสียก่อน
"ไม่ต้องหรอก ให้พวกเขาได้พักเถอะทีเหลือพวกเราจัดการกันได้" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสรุป
"จะดีหรืออาเสี่ยว" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานถาม
"ฉันตัดสินใจแล้วและจะขอรับผิดชอบเอง"
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนครบสองชั่วโมง ทุกคนต่างมารายงานตัวตรงหน้ารถหุ้มเกราะ ในขณะที่ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวและร้อยโทกู้เจิ้นหนาน กำลังพูดคุยกับอัยการโพลเกี่ยวกับคนที่จะมารับตัวโอโตฮวา เป็นเจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติส่งตัวมามีชื่อว่า แม็กซ์ มาร์ช เป็นเพื่อนสมัยเด็กของอัยการโพล ซึ่งเพื่อให้การเดินทางราบรื่นคนของเจ้าหน้าที่แม็กซ์จะมาช่วยอีกแรง
ซึ่งร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวสังเกตเห็นสีหน้า ที่ดูไม่สบายใจเท่าไหร่ปรากฏบนใบหน้าของอัยการหนุ่ม เธอคิดว่ามันคงจะเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่แม็กซ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวแต่หากมันมีผลต่อภารกิจ เธอก็จำเป็นที่ต้องรู้
"ท่านอัยการดูไม่สบายใจเลยนะคะ" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวตัดสินใจถาม "มันเกี่ยวกับเพื่อนในวัยเด็กของท่านหรือไม่"
เจอคำถามตรง ๆ อัยการโพลมีสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนคนที่เจอเรื่องหนัก ๆ มาครึ่งชีวิต แต่เขาไม่สามารถเอาความรู้สึกส่วนตัวมายุ่งกับภารกิจ
"ผมไม่รู้จะเรียกว่ากังวลหรือไม่สบายใจดี แม็กซ์เป็นคนดีและเกลียดความอยุติธรรมเหมือนผม..." อัยการโพลหยุดพูดไปครู่หนึ่ง
"ท่านอัยการ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานเรียกสติอีกฝ่าย
"โทษทีหมวด เพื่อนผมคนนี้บ้างครั้งเขาก็มีความรุนแรงและโหดจน... แม้แต่กับเพื่อนร่วมอาชีพยังหวาดหวั่น"
"อืม ฉันพอจะนึกภาพออก มันคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าหน้าที่แม็กซ์ถึงถูกส่งมาที่นี้"
อัยการโพลไม่รู้อะไรต่อและทั้งสามก็พากัน เดินมายังจุดรวมพลซึ่งมีทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนและทีมของเจ้าหน้าที่แม็กซ์ ตามรายงานอีกประมาณเจ็ดนาทีจะมีการนำตัวโอโตฮวาออกมา มีรถคุ้มนักโทษจอดรออยู่ อัยการโพลยืนนิ่งไม่พูดอะไรกับใคร แต่ในใจได้แต่นึกเจ็บใจเล็กน้อย เพราะเขาทุ่มแรงกายใจเพื่อจับโอโตฮวามาลงโทษ
แต่ใครจะนึกล่ะว่าโอโตฮวาคนนี้ จะเป็นคน ๆ เดียวกับอาชญากรสงคราม ในยุคของฮันจารบกับโกยาตเลย์ ซึ่งเข่นฆ่าผู้คนไปมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นเพื่อให้ดวงวิญญาณของผู้บริสุทธิ์มากมาย ที่ต้องตายด้วยน้ำมือโอโตฮวาได้ไปสู่สุขคติ และมันยังเป็นการเรียกความยุติธรรม ให้กับเหล่าบรรดาเหยื่อที่ยังมีลมหายใจด้วย
ทางฟรอนเทียร์จึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องส่งชายคนนี้ไปรับการพิพากษาในศาลโลก ซึ่งโทษเดียวที่รอโอโตฮวาคือการประหารชีวิตเพียงอย่างเดียวไม่มีการรอลงอาญา บางทีนี้อาจเป็นการลงโทษคนชั่วในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้
ครู่ต่อมาเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็เดินมาหาอัยการโพล เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงเท่ากับอัยการหนุ่มผู้เป็นเพื่อน หากแต่มีสีผมดำสนิทและมีทางท่าที่ดุดันมาก ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวเชื่อสนิทใจว่าคน ๆ นี้สร้างความน่าสะพรึงได้ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายเดียวกัน เหมือนที่อัยการโพลพูดไว้ไม่มีผิด
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะโพล ยินดีด้วยกับผลงานของนายครั้งนี้" เจ้าหน้าที่แม็กซ์กล่าวทักทายและแสดงความยินดีไปด้วย
"ขอบใจนะแม็กซ์" อัยการโพลพูด พลางถอนหายใจเบา ๆ "แต่ฉันอยากให้เราเจอกันในสถานการ์ที่รื่นรมย์กว่านี้"
"เหมือนกัน"
สักพักในที่สุดโอโตฮวาก็ถูกคุมตัวออกมาในชุดนักโทษ มีโซ่ตรวนไว้มี่แขนซ้ายมีการกำกับอาคมไว้ สำหรับอัยการโพลนี้อาจเป็นนักโทษรายแรก ที่โดนใส่โซ่แค่แขนข้างเดียว ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็คว้าบุหรี่ม้วนหนึ่งมาสูบ
"หือ.. นี่นายยังสูบอยู่อีกเหรอ"
"ทำไงได้ล่ะ ตอนนี้มันกลายเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจฉันแล้ว" เจ้าหน้าที่แม็กซ์พูดและพ่นควันขึ้นบนฟ้า
อัยการโพลส่ายหน้าเล็กน้อยพลางนึกถึงอดีต สมัยที่เขาไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สำนักงานอัยการโลกที่เฮสติงส์ ส่วนเจ้าหน้าที่แม็กซ์ในตอนนั้นยังเป็นแค่ระดับสิบตำรวจพึ่งเข้ามาประจำการ แรก ๆ เจ้าหน้าที่แม็กซ์เป็นเพื่อนที่พูดจาตลกและสนุกสนาน มีความกระตือรือร้นต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมายเสมอ ตำรวจรุ่นพี่ต่างก็เอ็นดูแม็กซ์อย่างมากโดยเฉพาะ สารวัตรบาเบล ผู้เปรียบได้เหมือนพ่อคนที่สองของเจ้าหน้าที่แม็กซ์
ทว่าในภารกิจตามจับ เลนิน หัวหน้ากลุ่มหัวรุนแรงมายังศาลโลกเพื่อพิพากษา แต่ระหว่างเดินทางพวกเขาถูกลอบโจมตีโดยเหล่าผู้ภักดีของเลนิน ทำให้เกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดมาก ซึ่งสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของตำรวจมือปราบ ทว่าด้านความสูญเสียก็ย่อมเกิดขึ้นตามมามีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 26 คน และเสียชีวิต 19 คนหนึ่งในนั้นคือสารวัตรบาเบล นับแต่นั้นมาเจ้าหน้าที่แม็กซ์ก็แปรเปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิมที่อัยการโพลรู้จัก
โอโตฮวาขึ้นรถคุ้มนักโทษโดยมีทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนขึ้นไปคุม หลี่ชิงชิงที่สวมหน้ากากปกปิดใบหน้า เธอนั่งตรงริมประตูแทนเพราะจ่าสิบเอกแลนเดนไม่อยากให้เธอนั่งใกล้นักโทษ ทางฝั่งอัยการโพลก็เหใอนจะพึ่งสังเกตว่า ในทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวขาดไปสี่คน
"ผู้กองหลิว คนในทีมคุณขาดไปสี่คนไม่ใช่หรือ" อัยการโพลถาม
"พวกเขาสี่คนเหนื่อยจากการทำภารกิจ และมีอาการบาดเจ็บด้วยอีกหนึ่ง ฉันจึงให้พักฟื้นก่อน" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวอธิบาย
"ที่สำคัญนี้เป็นแค่การย้ายนักโทษ ทีมพวกผมมีแค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานเสริม
อัยการโพลพยักหน้าและจากนั้นทุกคนต่างก็รีบขึ้นรถหุ้มเกราะเพื่อเตรียมตัวเดินทาง ขณะเดียวกันทางด้านฝั่งทีมจ่าสิบเอกแลนเดน ซึ่งมีหน้าที่คุ้มกันตัวนักโทษอยู่ขณะนี้ โอโตฮวาอยู่ในท่านั่งสงบไม่มีท่าทีจะขัดขืน แต่เพื่อความไม่ประมาท ทุกคนจึงจับอาวุธให้มั่น
"ไม่ต้องกังวล... พวกนั่นไม่ปล่อยให้กูมีลมหายใจอยู่แล้ว" โอโตฮวาพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบและอึดอัด
"เออ แต่ฟังน้ำเสียงมึงแล้วดูจะสบายใจจังนะ" สิบเอกจางเสิ้งที่อยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้น ในใจนึกอยากเอารองเท้ายัดหน้าสักยก
โอโตฮวาหันมามองทหารหนุ่มด้วยแววเหยียดหยาม
"เหอะ คนที่ต้องกังวลคือพวกมึงมากกว่าเพราะหน้าที่ของพวกมึง คือ..."
ผัวะ !
ปลายศอกอันแหลมคมก็ประทับเข้าที่ใบหน้าของโอโตฮวา โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันจะพูดจบและคนที่เอาศอกอัดเข้าหน้าก็คือ จ่าสิบเอกแลนเดนที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของโอโตฮวานั้นเอง
"หุบปากเน่า ๆ ของมึงซะ หนวกหู !"
ด้านชายร่างใหญ่ที่ถูกตรึงด้วยโซ่ตรวนจึงยอมสงบปากสงบคำ พร้อมกับเลือดไหลอาบในหน้าอันบู้บี้ดูไม่ได้ (อันที่จริงหน้าปกติก็ไม่ได้น่ามองอยู่แล้ว)
ทว่าทันใดนั้นเอง....
บึ้ม !
เสียงระเบิดจากด้านซ้ายของรถดังขึ้น พร้อมกับแรงสั่นสะเทือนจนคนข้างในสัมผัสได้ จ่าสิบเอกแลนเดนทำการวิทยุถามคนอื่น ๆ จึงได้คำตอบว่าแก๊งขวานซิ่งบุกโจมตี ฉับพลัยเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง รอบนี้ดังใกล้กว่าเดิมทำให้จ่าสิบเอกแลนเดนบอกให้ทุกคนรีบลงจากรถ รวมทั้งตัวโอโตฮวาด้วยเช่นกัน
ทว่าทันทีที่ลงจากรถมาบรรดาศัตรูพร้อมอาวุธ ต่างพากันกรูวิ่งตรงมาทางทีมจ่าสิบเอกแลนเดน หลี่ชิงชิงที่ไหวตัวทันก็คว้ากระบี่ออกมา สู้กับศัตรูที่บุกเข้ามา โดยมีจ่าสิบเอกจางเสิ้งออกมาช่วยอีกแรง
ด้านโอโตฮวามันก็เงยหน้ามองไปด้านบน และเห็นบนมุมตึกหนึ่ง มีเงาคนยืนอยู่บนนั้นพร้อมกับลูกไฟขนาดเท่าฟุตบอล และขว้างมาทางที่ทีมจ่าสิบเอกแลนเดนอยู่ เดชะบุญที่รอบนี้การโจมตีไม่โดนพวกเขา แต่ถ้าไม่เคลื่อนพลก็อาจไม่รอด
"พวกเราต้องไป เดี๋ยวนี้ !" โอโตฮวาพูดเสียงดังแข่งกับเสียงสู้รบ "ถ้าไม่อยากโดนย่างสด"
จ่าสิบเอกแลนเดนไม่รอช้ารีบสั่งให้ทุกคนรีบเคลื่อนพล ไปสมทบกับทีมของฝั่งตำรวจสากล และทีมของร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว ทันทีกลับมารวมพลครบ สิบตรีจางเสิ้งหันมาจับคอเสื้อของโอโตฮวาเพื่อเค้นข้อมูลบางอย่าง
"บอกพวกกูมา !" ทหารหนุ่มตะคอกเสียงดัง "คนที่อยู่บนตึกนั้น มันเป็นใคร"
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตเห็นแบบเดียวกัลโอโตฮวา และสิบเอกจางเสิ้งคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีข้อมูลพวกเดียวกัน
"รู้จักสิ รู้จักอย่างดีเลย" โอโตฮวาตอบเสียงเรียบ "และมันมาเพื่อฆ่ากู"
++++