Chapter 12
โรงฝึกจำลอง หน่วยรบฟีนิกซ์
ร้อยโทฟางผิง (ยศในขณะนั้น) จำต้องรีบสาวเท้าเดินตรงไปยังโรงฝึกหมายเลขศูนย์แปด เขาแทบไม่สนใจทหารหรือยุวชนทหาร ที่ต่างยืนทำความเคารพเขาตลอดทาง อันที่จริงเขาพึ่งกลับมาจากภารกิจ ควรจะได้พักผ่อนแต่เพราะข้อความของ ร้อยโทฟางเหยียน (ยศในขณะนั้นโดยปัจจุบันดำรงพันโท) พี่ชายฝาแฝด ทำให้เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางที่ต้องกลับบ้าน กลายเป็นต้องเดินทางมาค่ายยุวชนทหาร ในสังกัดหน่วยรบพิเศษแทน เมื่อมาถึงหน้าทางเข้าโรงยิมหมายเลขศูนย์แปด
เขาไม่รอช้ารีบผลักประตูเดินเข้ามาและเห็นร้อยโทฟางเหยียน ซึ่งอยู่ในชุดพละสำหรับออกกำลังกาย กำลังยืนสำรวจหุ่นดรอยด์ต่อสู้นอนพิงกำแพงแน่นิ่ง สภาพเสียหายพอสมควร ทว่าสิ่งที่ร้อยโทฟางผิงสนใจมากกว่า คือรอยฝ่ามือบนกำแพงที่หุ่นดรอยด์ต่อสู้นอนพิงอยู่ ทหารหนุ่มซะงักนิ่งไปเมื่อเห็นรอยฝ่ามือขนาดใหญ่นี้
ตอนแรกเขาตั้งใจจะถามแฝดพี่ว่าเกิดอะไรขึ้น บัดนี้เขาพอจะคาดเดาได้ไม่ยากนัก ร้อยโทฟางผิงเดินมายืนขนานข้างกับร้อยโทฟางเหยียน พลางมองสำรวจรอยฝ่ามือบนกำแพง
"นี้ใช่ไหมที่นายบอกว่า ฉันควรมาดูด้วยตาตัวเอง" ร้อยโทฟางผิงถาม
"ใช่" ร้อยโทฟางเหยียนตอบ และหันมามองแฝดน้องที่อยู่ในเครื่องแบบทหาร "เข้าเรื่องเลยละกัน ฟางผิง นายสอนวิชาหัตถ์เทวะให้กับปรมัตถ์แล้วหรือ"
ร้อยโทฟางผิงค่อนข้างแปลกใจพอสมควร ที่แฝดพี่ถามแบบนี้ จริงอยู่ที่พันเอกอภิวิชญ์ได้ฝากคัมภีร์หัตถ์เทวะแก่ตน โดยทั้งสองมีเงื่อนไขกันว่าจะถ่ายทอดวิชานี้แก่ปรมัตถ์ได้ ก็ต่อเมื่อเขาอายุครบสิบห้าเท่านั้น ทว่าในตอนนี้เด็กชายพึ่งอายุได้แค่สิบเอ็ดปีเอง แถมเขายังเก็บคัมภีร์เล่มนั้นไว้ในตู้เซฟอย่างดี เว้นเสียแต่....
"ตามที่นายคิดนั่นแหละ น้องชาย" ร้อยโทฟางเหยียนตอบ "แต่อายุแค่นี้ทำได้ระดับนี้มันก็... ไม่ธรรมดาเลยนะ"
ร้อยโทฟางผิงกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น
"เจ้าปรมัตถ์... หมอนั่นอยู่ไหนตอนนี้" ร้อยโทฟางผิงถามเสียงเครียด
"ที่ห้องทำงานของนาย ฉันบอกให้เขารอนายที่นั้นแหละ"
ร้อยโทฟางผิงได้ยินแบบนั้นเขาก็รีบก้าวเท้าออกจากโรงฝึกในทันที
+++++
ห้องทำงานของร้อยโทฟางผิง
ปรมัตถ์ในวัยเพียงสิบเอ็ดปีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน ด้วยใจที่ไม่ค่อยเป็นสุขนักเหตุเพราะวีรกรรมที่เขาก่อไว้ มันได้รู้ของร้อยโทฟางผิงแน่นอน ครู่ต่อมาประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร้อยโทฟางผิง เด็กชายนั่งตัวแข็งทื่อยิ่งกว่ารูปปั้นและไม่กล้าสบตาอีกฝ่าย ส่วนร้อยโทฟางผิงที่เข้ามาในห้องทำงาน เขาก็ไปสำรวจตู้เซฟที่ตั้งอยู่มุมขวาหลังโต๊ะทำงาน ร้อยโทฟางผิงมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง
เขาพบร่องรอยของการงัดแงะที่ไม่ธรรมดา หากจะใช้อุปกรณ์ช่วย มันก็ต้องใช้แรงพอสมควรซึ่งเด็กอายุสิบเอ็ดไม่มีทางทำได้.... เว้นเสียแต่ปรมัตถ์ไม่ได้ก่อเหตุคนเดียว และพอเขาเปิดตู้เซฟพบว่า คัมภีร์หัตถ์เทวะมันหายไปจากตู้เรียบร้อยแล้ว ร้อยโทฟางผิงจึงมานั่งฝั่งตรงข้ามกับลูกศิษย์ตัวแสบที่เอาแต่ก้มหน้า
"ยุวชนทหารปรมัตถ์" เขาเอ่ยชื่อจริงอีกฝ่ายทั้งที่ความจริง เขาจะเรียกชื่อเล่นมากกว่า สาเหตุก็เพื่อให้ปรมัตถ์รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
"ผมขอให้เพื่อนคนหนึ่งใช้พลังจิตเปิดตู้เซฟและเอาคัมภีร์ออกมาครับ" ปรมัตถ์สารภาพออกมาเองโดยที่ร้อยโทฟางผิงยังไม่ทันได้ถาม
นับเรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาพอสมควร อย่างน้อยลูกศิษย์คนนี้ยังมีความละอายใจบ้างไม่คิดจะแต่งเรื่องหรือโกหกต่อหน้าเขา ไม่อย่างนั้นเขาคงโกรธมากกว่านี้
"ดี งั้นเข้าเรื่องเลยละกัน" ร้อยโทฟางผิงพูด "นายฝึกหัตถ์เทวะสำเร็จได้ยังไง"
+++++
ปัจจุบัน
ปรมัตถ์และสหายรบทั้งสามกลับมารายงานตัวกับร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว พร้อมด้วยลูกทีมคนอื่น ๆ ทว่าเขาสังเกตเห็นว่าภายในห้องประชุม ไม่ได้มีแค่พวกเขา กลับมีชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกับร้อยโทกู้เจิ้นหนาน สวมชุดสูทสีดำผูกเทคไทสีดำ ไว้ผมสั้นเสกข้างซ้ายมีผมสีทอง กำลังนั่งพูดคุยกับสองหัวหน้าของปรมัตถ์อยู่ และหลังจากที่ทุกคนมาพร้อมกันแล้ว รวมทั้งทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนด้วย ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวจึงแนะนำชายคนนี้ให้รู้จัก
ซึ่งเขาคืออัยการมีนามว่า อัยการโพล แมทท์ ที่ทางกระทรวงยุติธรรมส่งมา เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินคดีกับแก๊งขวานซิ่งโดยตรง ซึ่งเขาก็ได้แบ่งปันข้อมูลว่า จากการสืบค้นประวัติของโอโตฮวามา ทำให้ได้รู้ว่าโอโตฮวาติดอยู่ในรายชื่ออาญากรสงครามที่มีตราประทับว่า "หายสาบสูญ" ตั้งแต่ยุคก่อนสงครามของจักรวรรดิเปรเซียร์จะเกิดขึ้นเสียอีก ซึ่งปรมัตถ์นึกออกแค่อย่างเดียวคือสงครามระหว่างสหราชอาณาจักรโกยาตเลย์กับจักรวรรดิฮันจา
ช่วงเวลานั้นปรมัตถ์ยังเป็นยุวชนทหารอายุแค่สิบสามยังไม่สามารถไปรบได้ สมรภูมิรบแห่งนั้นจึงมีเพียงแค่พี่ชายสองคนที่ได้ไป โดยตอนนั้นสหราชอาณาจักรโกยาตเลย์ที่นำโดย องค์ราชาควอนยูริ ทรงตัดสินพระทัยเซ็นสัญญาว่าจ้างฟรอนเทียร์มาช่วยรบ ด้านวีรกรรมในสงครามของโอโตฮวายาวเป็นหางว่าว ทั้งข่มขืนเชลยและสังหารเชลยไปมาก กระทั่งอัยการโพลได้ข้อมูลจากทหารคนหนึ่งที่เคยไปรบที่นั้น ให้ข้อมูลมาว่า
ตนกับเพื่อนในทีมเคยเผชิญหน้ากับโอโตฮวามาก่อน แต่มีทหารอีกคนกลับกล้าสู้กับปีศาจแบบนั้นได้ และต่อให้เล่าร้อยครั้งก็ยังเล่าแบบเดิม พวกเขาทุกคนเห็นด้วยตาเปล่าว่าทหารคนนั้น ใช้ดาบตัดแขนขวาของโอโตฮวาแขนสะบั้น จนมันต้องหนีเอาตัวรอดเหมือนหมาหนีตาย มันยังคงเป็นภาพติดตาพวกเขาจนถึงปัจจุบัน
"ใครกันที่เป็นคนตัดแขนไอ้บ้านั่น" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานถามขึ้น "ผมก็ถูกส่งไปรบด้วยเหมือนกัน แต่ยังไม่มีโอกาสได้เจอมันเลย"
"คนที่ตัดแขนโอโตฮวาพึ่งได้รับการเลื่อนยศอย่างไม่เป็นทางการ ให้เป็นสิบตรีเอง" อัยการโพลพูด
"อัยการรู้ชื่อเขาไหมครับ" จ่าสิบเอกแลนเดนถามขึ้น
"รู้ เขามีชื่อว่าสิบตรีภาสพงษ์ วิสิษฐ์ยุทธศาสตร์" อัยการโพลตอบ
ปรมัตถ์นั่งแข็งทื่อเป็นหินในขณะที่เพื่อนอีกสามคนพร้อมใจหันมาทางเขา แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรต่อเพราะคิดว่าปรมัตถ์ไม่อยากบอกใคร ว่าเขาคือน้องชายของทหารที่ตัดแขนโอโตฮวา และปรมัตถ์ยังเป็นจัดการชายคนนี้ลงด้วยเช่นกัน ทำเอาคณณัฐ์อดสงสัยไม่ได้ว่าโอโตฮวาจะรู้สึกอย่างไร ถ้ามันรู้ว่าแพ้ให้กับน้องชายคนที่ตัดแขนมัน
แต่ถึงแม้จะสามารถจับกุมโอโตฮวาได้ อัยการโพลจำต้องบอกข่าวร้าย อาชญากรคนนี้จะไม่ถูกดำเนินคดีในฟรอนเทียร์ เนื่องจากศาลโลกต้องการเรียกความยุติธรรมให้กับญาติพี่น้องที่ต้องตายด้วยน้ำมือโอโตฮวา
"เดี๋ยวก่อนสิ !" ปกรณ์วุฒิโพร่งขึ้นอย่างไม่พอใจ "มันก่อเหตุในบ้านเรานะ ! และเราก็เป็นคนจับมันได้ คนที่ต้องตัดสินโทษคือฝ่ายเราสิครับ ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนที่นี้ก็ต้องการความยุติธรรมเหมือนกัน"
บุญธรหันมาจับให้ปกรณ์วุฒินั่งลง
"ยุวชนทหารปกรณ์วุฒิ" ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวพูดเสียงดุ "รักษามารยาทของนายด้วย"
อัยการโพลยกมือห้ามปรามร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยว "อย่าว่าแต่พ่อหนุ่มคนนี้เลย ผมเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน แต่ทางเบื้องบนมอบคำสั่งมาแล้วเราก็ต้องทำตาม"
"แล้วจะเคลื่อนย้ายมันเมื่อไหร่ครับ" ร้อยโทกู้เจิ้นหนานถาม
"พรุ่งนี้ตอนเช้า พวกคุณทุกคนต้องอารักขาการเคลื่อนย้ายโอโตฮวาให้ถึงสนามบินของกองทัพ ที่นั้นพวกแก๊งขวานซิ่งไม่กล้าลงมือแน่ไม่งั้นพวกมันจะถูกถล่มด้วยอาวุธหนัก" อัยการโพลสรุปภารกิจให้ทั้งหมด
ร้อยเอกหลิวเสี่ยวเสี่ยวจึงหันมาทางลูกทีมทุกคน
"ระหว่างนี้พวกนายไปเก็บแรงกันก่อนเถอะ ฉันมีประชุมเรื่องเส้นทางวันพรุ่งนี้ต่อ"
ทุกคนจึงพร้อมใจกันลุกเดินออกจากเต้นท์เพื่อไปหาอะไรกินเสียหน่อย ซึ่งปรมัตถ์พึ่งนึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่มาเมืองโฮรุก เขาแทบยังไม่ได้กินอะไรตกถึงท้องเลย และเมื่อเด็กหนุ่มรู้ตัวเท่านั้นแหละ เสียงท้องร้องก็ดังทันที
++++++
ปรมัตถ์และเพื่อนทั้งสี่ต่างตรงมายังเต้นท์ทำอาหาร เพื่อพลังกันเสียหน่อยซึ่งปรมัตถ์เลือกกินข้าวกับแกงมัสมั่นไก่ใส่มันฝรั่งอบ ในขณะที่บุญธรเลือกอาหารหลายรายการ เหมือนกับเพื่อนอีกสองคนแต่ไม่ว่าพวกเขาจะกินกี่อย่าง ทั้งสี่คนก็ก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารบนจาน เป็นการบอกว่าพวกเขาหิวมากขนาดไหน ทางฝั่งหลี่ชิงชิงกับทีมของตัวเองก็มานั่งรับประทานอาหาร ตรงโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
"ดูเจ้าสี่คนนั่นสิ" หนึ่งในทีมของจ่าสิบเอกแลนเดนพูดและชี้มาทางกลุ่มปรมัตถ์ "ดูท่าคงจะหิวมาก วันนี้คงใช้แรงไปเยอะ"
"อืม พวกเราทุกคนนั่นแหละ" จ่าสิบเอกแลนเดนกล่าว "ฉันเองก็หิวจนลำไส้บิดจนกลายเป็นลูกเต๋าแล้ว"
ทุกคนไม่มีใครพูดอะไรต่อจึงพากันจัดการอาหารบนจาน หลี่ชิงชิงยังไม่อยากอาหารมากนัก อาจเพราะใจนึกกังวลเป็นห่วงร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลผู้เป็นพ่อ จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววของพ่อจะกลับมาเลยแถมระหว่างไปรับอาหาร หลี่ชิงชิงได้ยินมาว่าตรงปีกตะวันตกของเมืองโฮรุก ค่อนข้างจะศึกหนักพอสมควร ทำให้เธออดห่วงพ่อไม่ได้
ฝั่งปรมัตถ์กินอาหารเสร็จเขาก็เดินมาวางจานลงในอ่างล้าง ก่อนจะไปล้างไม้ล่างมือและคิดว่าจะงีบหลับเอาแรงเสียหน่อย บุญธรเดินตามมาสมทบพร้อมกับคณณัฐ์และปกรณ์วุฒิ ทั้งสี่พากันไปงีบหลับในเต็นท์ที่เตรียมไว้ แม้ต้องนอนพื้นพวกเขาก็ไม่ได้มีปัญหา สี่ยุวชนทหารช่วยกันปูผ้าลงพื้นและเอากระเป๋าทหารมาวางเป็นหมอน คณณัฐ์หลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอน
แล้วจึงค่อยตามด้วยบุญธรกับปกรณ์วุฒิที่หลับไปแล้ว เหลือแค่ปรมัตถ์ที่นอนไม่หลับเพราะเขายอมรับว่าเป็นห่วงหลี่ชิงชิง เส้นผูกวิญญาณระหว่างปรมัตถ์กับเด็กสาว ได้ทำให้เขารู้ว่าเธอกำลังเป็นห่วงร้อยตำรวจโทหลี่เอินไหลผู้เป็นพ่อ กอปรกับสถานการณ์ปีกตะวันตกทางโฮรุก ก็ไม่สู้ดีเท่าไหร่
แต่แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเสียงของหลี่ชิงชิงก็ลอยเข้ามาในจิตใต้สำนึกของเด็กหนุ่ม
[ไม่ต้องมากังวลเรื่องฉันหรอก เธอพักเอาแรงเถอะ บอม]
++++++