บทที่ 3
"ใช้เงินค่าอะไรนักหนาอีกละพี่คร โอ๊ย! ฉันจะตามจ่ายไม่ไหวแล้วนะ อีกอย่างตอนนี้งานก็แย่ ฉันไม่มีเงินให้พี่ถลุงเล่นแล้วนะ"
"มึงพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง กูไม่ใช่แมงดานะ อีดอก!"
"ไอ้สัตว์! แล้วที่มึงแดกกับกู ขอเงินกูนี่ มึงเป็นเทวดาหรือไง"
"อีรุ้ง มึง!"
เสียงทะเลาะด่าทอดังลั่นบ้าน ทำให้สาวน้องชักผ้าขึ้นคลุมโปง เธอนอนตัวสั่นอยู่บนเตียงของตนด้วยความหวาดกลัว หูคอยฟังเสียงของมารดาและบิดาเลี้ยง ทอประกายถูกสั่งห้ามไม่ให้ลงไป ถ้าเกิดทอรุ้งทะเลาะกับนาคร เป็นคำสั่งประกาศิตจากมารดา ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทะเลาะกัน
เสียงกรี๊ดร้องของมารดา เสียงร้องไห้ ไหนจะข้าวของหล่นโครมคราม มันทำให้ทอประกานอยากลุกขึ้น แล้ววิ่งไปหา ไปช่วยทอรุ้ง แต่คำสั่งของหล่อนถือเป็นคำขาด สาวน้อยได้แต่นอนร้องไห้กระซิก กัดริมฝีปากแน่นอย่างอดทน รอให้ทุกอย่างเงียบ แล้วจึงจะออกไปด้านนอก
เกือบชั่วโมงก่อนที่เสียงทุกอย่างจะเงียบลง สาวน้อยค่อยๆ โผล่ออกจากโปงผ้า แล้วลุกขึ้นจากเตียงเจตนาตั้งใจจะลงไปดูมารดา เธอปาดน้ำตาออก มือน้อยจับลูกบิดประตู ยังไม่ทันผลักออกไป ก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
"ฮือๆ เบลล์ เบลล์ลูกแม่ แม่ไม่เหลืออะไรแล้ว เค้าไปแล้ว"
ทอรุ้งกอดรัดร่างของบุตรสาวไว้แน่น พร้อมกับร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ ทอประกายกอดมารดา เอ่ยปลอบโยนท่านอย่างอ่อนหวาน
อีกแล้วสินะ จุดจบของความรัก ของแม่...
สาวน้อยลอบถอนใจ มือปาดไล้น้ำตาให้ทอรุ้ง คืนนี้สองแม่ลูกนอนด้วยกัน เนื่องจากทอรุ้งกำลังต้องการความอบอุ่นทางใจ เพื่อสมานใจที่มันแตกพังเพราะความรัก
ทอประกายมองใบหน้าอันงดงามของมารดา นิ้วเรียวไล้ซับน้ำตาให้ หัวใจของเธอเจ็บปวดตามบุคคลอันเป็นที่รัก กี่ครั้งกี่หนแล้วที่นาวาชีวิตคู่ของท่านพังภินท์ลง แต่ไม่นานนักหรอก ทอรุ้งก็จะแสวงหามันต่อไป คนอย่างเธอไม่เคยขาดความรัก
ความรัก...สิ่งนี้ที่สาวน้อยทอประกายก็โหยหามันเช่นกัน อ้อมแขนอันแข็งแกร่ง อกกว้างๆ ที่เหมือนปราการคุ้มกัน ใครสักคนที่จะรัก และสัมผัส โอบกอดเธออย่างอ่อนโยน
หวังว่าความรักของเธอ มันจะมาถึงในสักวัน...
.............
"เอ้า ค่าขนม ใช้ให้ประหยัดหน่อยล่ะ เหลือเงินเก็บไว้เผื่อกินข้าวด้วยนะเบลล์ แม่ไปทำงานหนนี้คงจะสักอาทิตย์หนึ่ง แล้วจะรีบกลับ"
ธนบัตรใบละพันถูกยัดใส่มือเธอ ทอประกายมองหน้ามารดา ท่านกำลังสาละวนกับการจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทาง จึงแทบไม่ได้สนใจเธอ เมื่อเธอยกมือไหว้ขอบคุณ ท่านก็เอื้อมมือมาลูบศรีษะเร็วๆ ก่อนจะยุ่งกับสิ่งตรงหน้าต่อ
สาวน้อยยัดเงินใส่กระเป๋าสตางค์ลายการ์ตูนสีหวานของตน แล้วคว้ากระเป๋านักเรียนใบโต พลางเดินลากขาออกมาจากบ้านหลังเล็ก บ้านหลังใหม่ของเธอกับมารดาที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้สามเดือน มันทั้งเล็กและเก่ากว่าบ้านหลังเดิมมาก ทอประกายมีสีหน้าเศร้าหมอง มือกำกระเป๋าแน่น แต่ละก้าวเดินอย่างเชื่องช้า เหมือนแทบจะไม่อยากให้ถึงจุดหมาย
ตั้งแต่มารดาเลิกรากับนาคร ก็เหมือนกับว่าชีวิตของท่านถึงคราวตกต่ำ ทอรุ้งตกงาน เพราะบริษัทปิดกิจการลง เงินเก็บร่อยหรอ จนต้องบอกขายบ้าน มาชำระหนี้สินที่นาครก่อไว้อีก เจ้าหนี้นอกระบบมาตามทวงถึงรั้วบ้าน และไม่สนใจด้วยว่าใครจะเป็นคนยืม พวกมันสนใจแค่ว่าใครจะเป็นคนชำระมากกว่า
ทอประกายทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย ชีวิตที่ต้องพลิกเปลี่ยนไปทำให้สาวน้อยรับมือไม่ทัน เธอต้องย้ายโรงเรียนจากโรงเรียนระดับหรู มาเป็นอีกระดับหนึ่ง จากค่าเทอมเดือนล่ะสองสามหมื่น มาเป็นค่าเรียนฟรี คิดดูเอาก็แล้วกันว่าสภาพแวดล้อมมันจะแตกต่างกันขนาดไหน
สาวน้อยก้มดูชุดนักเรียนของตน ที่เป็นแบบมาตรฐานแล้วเบ้ปาก นี่สิหนอชีวิตรากหญ้า เธอหัวเราะแค่นๆ อย่างจะประชดตัวเอง เพื่อนนักเรียนรุ่นๆ เดียวกันหลายคนก็กำลังเดินไปยังทางเดียวกับเธอ บางคนใจกล้าหน่อยเห็นเธอแปลกหน้าก็มาเอ่ยทักทาย แต่ทอประกายทำเป็นมองไม่เห็น เธอไม่อยากสนทนากับใครนักตอนนี้ ไม่มีอารมณ์อยากรู้จักเพื่อนใหม่ เพราะการต้องย้ายจากโรงเรียนที่เธอรักและเพื่อนๆ ของเธอ
“ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำให้รู้จักค่ะ อ้าว...แนะนำตัวหน่อย”
คุณครูประจำชั้น เอ่ยเกริ่นนำ ก่อนจะหันมายิ้มให้กับนักเรียนใหม่ เพื่อนๆ ในชั้นต่างจ้องมองเธอเป็นตาเดียว หน้าตาที่น่ารัก ผิวพรรณขาวละเอียดของทอประกาย ทำให้หลายๆ คนมองอย่างชื่นชม แต่บางคนก็มองมาอย่างริษยา
“สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ฉันชื่อ ทอประกาย ฤทธาอุดม ย้ายมาจากโรงเรียนเซนต์เซอร์เวียร์ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ”
“ลูกคนรวยว่ะ”
“หน้าตาน่ารัก ผิวพรรณก็ดี แถมมาจากโรงเรียนไฮโซแบบนั้นด้วย นึกยังไงมาเรียนโรงเรียนวัดวะ”
“อยากสัมผัสชีวิตโลโซมั้งมึง ถุย...ถามเหี้ยๆ ก็ลูกผู้ดีตกอับยังไงละ ถึงได้มาเรียนกะพวกเรานี่”
เสียงซุบซิบดังขึ้น เมื่อเด็กสาวมานั่งตรงที่นั่งของตนเอง เธอไม่ได้แจกรอยยิ้มให้กับเพื่อนใหม่ มีสีหน้านิ่งขรึม รอยยิ้มที่ทอประกายมีในตอนแนะนำตัว ก็เหมือนกับยิ้มแบบเสียไม่ได้เสียมากกว่า เด็กหญิงนั่งตัวตรง คอตั้ง หลังตรง แบบมารยาทที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
แค่ผิวพรรณก็แตกต่างอยู่มาก กับเด็กสาวแถวๆ ละแวกนี้ ไหนจะท่าทีราวกับนางหงส์ นั่นยิ่งสร้างความหมั่นไส้นักให้กับขาใหญ่ที่อยู่ในห้อง ซึ่งเป็นกลุ่มเด็กสาวสี่ห้าคน ที่กำลังจับตามองเขม้นมายังทอประกาย แล้วซุบซิบกันอย่างออกรส ตอนนี้เป็นเวลาพักกลางวัน ทอประกายไม่ได้รู้สึกหิว จึงนั่งเล่นที่โต๊ะของตัวเอง รับประทานขนมปังที่ซื้อติดมาในตอนเช้า แล้วเอาหนังสือนิยายวัยรุ่นเล่มเล็กมาอ่าน ปล่อยจินตนาการให้เคลิ้มไปกับตัวหนังสือ เรื่องราวของความรักในวัยเรียน หวานแหวว ชวนจิกหมอน ดีกว่าจะมาสนใจสภาพแวดล้อมให้ต้องเครียด
“มึงว่าจัดสักทีดีมะ ทำเชิดจนคอจะหัก”
“นั่นสิ มาเรียนวันแรก ก็ทำหยิ่งขนาดนั้น กูว่าตบมันเลยดีกว่า สั่งสอน จะได้หายหยิ่ง”