EP : 3 บอกเขาว่าหย่าให้ข้าด้วย
เมื่อทั้งสามเห็นบาดแผลบนแผ่นหลังของผู้เป็นแม่ ก็พากันน้ำตาคลอทันที พวกเขาไม่คิดว่าบาดแผลมันจะหนักขนาดนี้
“รีบทาสิ แม่เริ่มง่วงแล้วนะ” หวังซูลี่เอ่ยบอก เมื่อเห็นว่าเฉินฮุ่ยหมิงไม่ยอมทาโอสถให้ ได้ยินแต่เสียงสูดน้ำมูก เธอก็รู้แล้วว่าทั้งสามกำลังจะร้องไห้ เลยต้องเอ่ยเตือน เพราะเธอเริ่มง่วงแล้ว
“ขอรับ” เฉินฮุ่ยหมิงตอบรับ พลางพยายามจะไม่ร้องไห้ แต่ก็ทำไม่ได้ เขาร้องไห้เงียบๆ พลางทาโอสถตามบาดแผลที่อยู่บนแผ่นหลังของผู้เป็นแม่เบาๆ
“ไม่ต้องร้องหรอก เดี๋ยวไม่นานก็หาย” หวังซูลี่เอ่ยบอกเสียงเบา พร้อมกับเบ้หน้าไปด้วยความแสบ เธอกัดฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมา
กว่าจะเสร็จหวังซูลี่ก็แสบหลังไม่ไหวแล้ว เธอค่อยๆ แต่งตัวแล้วล้มตัวลงนอนตะแคง เพราะอยากจะนอนแล้ว ดีที่เตียงของเธอนั้นกว้างพอที่จะให้ลูกๆ ทั้งสามของเธอนอนด้วยได้อย่างไม่อึดอัด
“นอนเถอะ” หวังซูลี่เอ่ยบอกลูกชายทั้งสาม พลางหลับตาลงอย่างทนง่วงไม่ไหว
เด็กๆ ทั้งสามขยับนอนห่างจากผู้เป็นแม่ เพราะกลัวว่าจะนอนดิ้นไปถูกแผล แล้วทำให้ท่านแม่ของพวกเขาเจ็บเอาได้
หวังซูลี่ตื่นขึ้นมาก่อนจะรุ่งสาง เธอขยับตัวแล้วปลุกลูกๆ ให้ตื่น เพราะต้องให้เด็กน้อยทานซาลาเปาซะก่อน เนื่องจากเธอรู้ว่าวันนี้พวกเธอจะต้องเดินทางทั้งวัน และไม่ได้ทานอะไรเลย อย่างน้อยให้ทานอะไรสักหน่อยก็ยังดี
เมื่อหลังซูลี่ทานซาลาเปาเสร็จแล้ว เธอก็ทานโอสถอีกครั้ง ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นแล้ว แผลที่หลังจากก็ไม่เจ็บแล้ว แค่ตึงๆ ที่หลังก็เท่านั้น ถ้ายังไม่ถูกทำลายตันเถียน แผลของเธอคงหายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เนื่องจากถูกทำลายตันเถียนไป ทำให้เดินลมปราณเพื่อที่จะรักษาแผลหลังจากทานโอสถไม่ได้ เธอเลยได้แต่รอให้โอสถรักษาบาดแผลไปอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นลูกๆ ทานซาลาเปาเสร็จแล้ว หวังซูลี่ก็ให้ลูกๆ ไปบ้วนปากและล้างหน้าทีหลัง เพราะไม่อยากให้ใครจับได้ว่าพวกเธอได้ทานอาหาร
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
เสียงข้างนอกดังขึ้น ทำให้ทุกคนในเรือนหยุดชะงักมือที่กำลังเก็บของลงในแหวนมิติ หวังซูลี่เอ่ยบอกลูกๆ ทั้งสาม โดยไม่ส่งเสียง พร้อมกับส่งแหวนมิติของเธอให้เฉินฮุ่ยหมิ่นเก็บเอาไว้ ก่อนจะพากันออกไปข้างนอก
ซึ่งเธอให้ลูกๆ ช่วยกันประคองเธอออกไปข้างนอก โดยไม่ได้ใช้ลมปราณ เดี๋ยวมันจะเรียกร้องความสนใจคนอื่น ดีไม่ดีลูกของเธออาจจะถูกทำลายตันเถียนเหมือนเธอก็ได้ หากเขาใช้มันในเวลาแบบนี้ เพราะเวลามีคนเกลียดเรา มันก็ต้องมีคนอยากจะทำร้ายเราตอนที่เราตกต่ำอยู่แล้ว
ส่วนเธอก็ได้แต่ทำหน้าไม่มีแรง ราวกับคนเจ็บหนัก ซึ่งดีมากที่ลูกๆ ของเธอไม่ถามอะไร หรือทำหน้าสงสัยกับท่าทางของเธอ
พวกเธอเดินตามองครักษ์คนหนึ่ง ที่เธอจำได้ว่าเขาเป็นคนสนิทของเฉินฮุ่ยเฟิน และชาติที่แล้วเขาก็เป็นคนพาพวกเธอไปส่ง แถมยังเดินทางด้วยรถม้าที่ดูเหมือนเป็นรถม้าธรรมดา แต่ม้าที่ใช้บังคับนั้นเป็นสัตว์อสูรม้า เลยเดินทางได้เร็วกว่าม้าธรรมดา แต่เพราะเกวียนที่ดูธรรมดานั่นแหละ ทำให้พวกเธอนั่งไปอย่างยากลำบาก
“ข้าฝากเจ้าไปบอกท่านแม่ทัพด้วยนะ บอกเขาว่าหย่าให้ข้าด้วย” ก่อนที่จะขึ้นรถม้าไป หวังซูลี่ก็เอ่ยบอกกับชายชราที่เป็นพ่อบ้านประจำตระกูลเฉิน
“ขอรับ” ต้าซวนตอบรับอย่างเข้าใจ แม้จะใจหายที่หวังซูลี่ต้องออกไปจากตระกูล เขาไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้นเลยสักนิด เพราะหน้าของคุณชายทั้งสามเหมือนกับท่านแม่ทัพมากๆ
หวังซูลี่พยักหน้าให้กับต้าซวนเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นรถม้าไปอย่างยากลำบาก พร้อมกับถอนใจหายอย่างโล่งอกที่นั่งบนรถม้าได้สำเร็จ
เด็กทั้งสามขึ้นรถม้ามา โดยไม่ได้หันไปมองด้านหลังเลยสักนิด เพราะต่อไปนี้มันไม่ใช่บ้านของพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
จากนั้นรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า ทั้งสี่นั่งเงียบไม่พูดอะไร เฉินฮุ่ยหวงนั่งข้างผู้เป็นแม่ และไม่ยอมปล่อยมือจากท่านแม่ของเขาเลยสักนิด
“อดทนหน่อยนะ” หวังซูลี่เอ่ยบอกลูกๆ เมื่อเห็นว่านี่มันก็เลยเที่ยงมาแล้ว แต่รถม้าก็ไม่ได้จอดแวะเลย เธออยากจะเอาอาหารออกมาให้ลูกๆ ทาน แต่กลัวว่าชิงเฉวียนคนสนิทของท่านแม่ทัพ ที่เป็นคนขับรถม้ามาส่งเธอกับลูกจะรู้
เพราะเธอทราบดีว่าอีกฝ่ายเก่งกาจขนาดไหน ไม่อย่างนั้นเฉินฮุ่นเฟินไม่ส่งเขามาแค่คนเดียวเพื่อส่งเธอกับลูกไปยังที่ไกลแสนไกลแบบนี้หรอก
“ขอรับ” ทั้งสามรับตอบพร้อมกันอย่างไม่เรื่องมาก แม้ว่าจะหิวพวกเขาก็อดทนได้
ตกเย็นพวกเธอก็ถึงจุดหมาย เป็นเพราะเดินทางมาอย่างไม่หยุดพัก ก็เลยมาถึงเร็ว แถมม้าที่ใช้ยังเป็นสัตว์อสูรม้า เลยเดินทางได้รวดเร็วกว่าม้าปกติ
“ถึงแล้วขอรับ” ชิงเฉวียนเอ่ยบอก เมื่อมาถึงเรือนหลังเล็กเก่าทรุดโทรมแห่งหนึ่ง พื้นบริเวณรอบๆ ก็เป็นผืนดินที่แห้งแล้ง ซึ่งเมื่อก่อนที่เห็นแห่งนี้เป็นป่าที่สมบูรณ์ หลังจากผ่านแหตุการณ์สัตว์อสูรคลั่ง พื้นป่าแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างที่เห็นตรงหน้า
“ลงไปกันเถอะ” หวังซูลี่เอ่ยบอกลูกๆ ก่อนจะให้เด็กๆ ลงไปก่อน ส่วนเธอก็ตามลงมาทีหลัง เมื่อลงมาได้ เธอก็มองรอบๆ ด้วยความคิดถึงอยู่ลึกๆ พลางคิดว่าจะทำยังไงให้พื้นที่แห่งนี้กลับไปเป็นเหมือนในอดีต
แต่มันคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะเธอใช้ลมปราณไม่ได้อีกแล้ว แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง เพราะลูกๆ ทั้งสามของเธอได้เริ่มเรียนการใช้อักขระและพวกค่ายกลกันมาแล้ว เนื่องจากตระกูลเฉินเชี่ยวชาญพวกอักขระที่สุดในแคว้นแล้ว
“ท่านแม่ เราจะอยู่ได้หรือขอรับ” เฉินฮุ่ยหวงเอ่ยถามผู้เป็นแม่อย่างอดไม่ได้ เมื่อได้เห็นเรือนหลังเล็กเก่าทรุดโทรมที่พวกเขาต้องอยู่ที่นี่ ซึ่งมันเหนือความคาดหมายของเขามากๆ
“ได้สิ” หวังซูลี่ตอบเฉินฮุ่ยหวง พลางยิ้มให้ลูกชายคนเล็ก พร้อมกับพากันเดินไปข้างใน ส่วนชิงเฉวียนก็ขับรถม้าออกไปแล้ว ทำให้เธอไม่ได้พูดอะไรกับเขา
แม้ว่าภายนอกเรือนหลังนี้จะดูทรุดโทรม แต่ด้านในนั้นดูดีในระดับหนึ่ง ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด ตอนนั้นที่มาที่นี่ครั้งแรกเธอไม่ได้สนใจรายละเอียดมากนัก เพราะมัวแต่ตรอมใจ จนละเลยสิ่งต่างๆ
“มาทานอาหารกันเถอะ” หวังซูลี่เอ่ยบอกลูกๆ พลางเอาอาหารมากมายออกมา เพราะกลัวว่าลูกๆ ของเธอจะทานไม่อิ่ม เนื่องจากไม่ได้ทานมื้อกลางวัน
เด็กน้อยทั้งสามตั้งใจทานอาหารมื้อเย็น โดยไม่พูดคุยกัน เนื่องจากหิวเป็นอย่างมาก
หวังซูลี่มองลูกน้อยทั้งสามก็ยิ้มเบาๆ ก่อนจะคิดหาน้ำมาไว้ที่บ้าน เนื่องจากถ้าจะตักน้ำก็ต้องเดินไปตักไกลพอสมควร ซึ่งคนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับพวกเธอนั้นไม่มี แต่จะมีก็ไกลออกไป
อีกอย่างพื้นที่แห่งนี้มันแห้งแล้ง ก็เลยแทบจะไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่คนแก่ที่หวงที่ดินเลยไม่ย้ายหนีออกไป ซึ่งเธอเห็นว่ามีสามหลังเท่านั้น
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินไปหาน้ำนะขอรับ” เฉินฮุ่ยหมิ่นเอ่ยขึ้น หลังจากที่เขาอิ่มแล้ว เพราะเขาก็พึ่งนึกได้ว่าเรือนหลังนี้ไม่มีน้ำให้พวกเขาได้ใช้เลย
“อืม งั้นพรุ่งนี้เราจะไปสำรวจรอบๆ กันดีหรือไม่” หวังซูลี่เอ่ยขึ้น เพราะเธอยังไม่เคยได้เดินออกไปสำรวจเลย เอาแต่ตรอมใจอยู่ในเรือน แล้วปล่อยให้ลูกๆ ไปหาอาหารมาให้เธอทาน คิดแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดที่ตัวเธอในอดีตเป็นแบบนั้น แม้จะรู้ว่าที่เธอทำลงไปทั้งหมด มันก็เป็นเพราะบทของเธอในนิยาย
“ดีขอรับ” เด็กทั้งสามตอบรับพร้อมกัน ก่อนจะเอาที่นอนออกมาจากแหวนมิติ ดีที่พวกเขาเก็บเข้าแหวนมิติมาด้วย ไม่อย่างนั้น พวกเขาต้องนอนกับพื้นแข็งๆ อย่างแน่นอน พวกเขาน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่แม่ของพวกเขาเนี่ยสิ ที่น่าเป็นห่วง