บทที่ 9 ตัดใจให้ของรักเพื่อแลกเงิน
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” บุรุษแต่งกายดีเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเองปวดเมื่อยหลังและบ่ามานานหลายเดือนหาหมอมาก็ตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ยอมหาย เมื่อมองอีกฝ่ายก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นพวกหลอกลวงหรือไม่ จึงไม่ได้เอ่ยบอกไปว่าเป็นอะไร
“ข้ารู้ก็แล้วกันว่าท่านกำลังเป็นทุกข์หนักเพราะว่าอาการปวดหลังและปวดบ่าของท่านใช่หรือไม่” อี้ปินเอ่ยบอกอีกฝ่ายตามที่เด็กน้อยบอกมา
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” บุรุษแต่งกายดีเอ่ยถามอี้ปินด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขากำลังป่วยเป็นอะไร ส่วนวิญญาณสตรีนั้นเมื่อได้ยินก็หันขวับกลับมาอีกครั้ง มันเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายจะเป็นพวกหลอกลวงแต่ก็ยังดูเชิงไปก่อน
“ข้ารู้ก็แล้วกัน หากท่านอยากหายจากอาการป่วยข้ายินดีช่วย แต่ท่านต้องมีค่าเหนื่อยให้ข้าเพื่อเป็นการตอบแทน” อี้ปินเอ่ยบอก
“เจ้าคิดจะหลอกเอาเงินของข้าหรือ?” อีกฝ่ายหนึ่งฉุนขึ้นทันทีเมื่อรู้ว่าชายตรงหน้าต้องการเงิน หากหายเขาก็ยินดีจะจ่าย แต่ที่ผ่านมาเขารักษามาหลายหมอแต่ก็ไม่เป็นผล แล้วบุรุษแต่งกายมอซอตรงหน้าจะเอาอะไรมารักษากัน ช่างไม่น่าเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าคิดท่านไม่แพงหรอกข้ามีน้องสาวที่ยังเล็กนางต้องการเครื่องแต่งกายและของกินอร่อย ๆ เพียงเท่านั้น หากท่านไม่ต้องการหายปวดหลังก็ตามใจข้าไม่บังคับ หากท่านอยากหายเพียงจ่ายเงินมาให้ข้าแค่ห้าตำลึงเงิน” อี้ปินเอ่ยบอก คราแรกเขาคิดจะเรียกเงินแค่หนึ่งตำลึงเงินเพียงเท่านั้น แต่เมื่อคิดดูดีแล้ว เขาจะต้องสูญเสียของขลังของท่านอาจารย์ไป มันเป็นของรักของหวงถึงแม้ว่าจะมีมันอยู่หลายชิ้นก็ตาม
“เหตุใดเจ้าจึงคิดแพงเช่นนั้นเล่าไหนว่าแค่อาภรณ์ชุดใหม่กับของกินอร่อย ๆ เพียงเท่านั้น” อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้น ถึงแม้ว่าเงินห้าตำลึงเงินขนหน้าแข้งของตนจะไม่ร่วงแต่มันก็เป็นเงินที่มากมายอยู่ดี
“ข้าต้องสูญเสียของรักของหวงให้กับท่านนับว่าคุ้มแล้ว” อี้ปินเอ่ยบ่นอุบอิบ แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยิน
“เจ้าบ่นอะไรอะไรกัน” อีกฝ่ายเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก ตกลงท่านจะยอมจ่ายหรือไม่ หากไม่ข้าก็ไม่บังคับท่าน” อี้ปินเอ่ยบอก
“ข้ายอมจ่ายก็ได้แต่ข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะหายหรอกนะแต่ข้าสงสารน้องสาวของเจ้าต่างหาก” เอ่ยจบก็หยิบถุงเงินออกมาแล้วจ่ายให้อีกฝ่ายทันที เงินเพียงเท่านี้เขาไม่เสียดายหรอกถือเสียว่าทำทานแต่ถ้าหายก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะที่ผ่านมาเขาเสียเงินทองไปมากกว่านี้ตั้งมากมาย
อี้ปินรับเงินมาด้วยความยินดีเขาไม่เคยจับเงินมากมายเช่นนี้มาก่อนอย่างมากก็แค่เงินไม่กี่อีแปะ อี้ปินหยิบขวดยาน้ำสีเขียวที่พกติดตัวเอาไว้ออกมา ยาขวดนี้เป็นยาทาแก้ฟกช้ำหรือเวลาที่โดนแมลงกัด ท่านใต้ซือหลุนเป็นผู้ทำมันขึ้นมาเอง เพราะสมุนไพรที่ขึ้นด้านหลังอารามนั้นมันมีมากมายและยาชนิดนี้ก็ทำได้ไม่ยากแถมยังใช้ได้ผลดีอีกต่างหาก
“ยาขวดนี้เอาไว้ทาบริเวณที่ท่านปวดเมื่อยรับรองว่าหายขาดอย่างแน่นอน อ้อ...แล้วก็พู่อันนี้ข้ายกให้ท่าน ของชิ้นนี้เป็นของหายากมันไม่ใช่พู่ธรรมดามันเป็นของท่านใต้ซือหลุนที่ทำมันขึ้นมา หากท่านพกพาติดตัวเอาไว้รับรองว่าจะโชคดีและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายไม่ให้มากล้ำกรายได้” อี้ปินเอ่ยบอกพร้อมส่งพู่สีขาวที่ทำจากด้ายปลุกเสกของใต้ซือหลุนให้กับบุรุษตรงหน้า
“ข้าพอได้ยินที่ชาวบ้านเล่าขานเกี่ยวกับใต้ซือหลุนอยู่บ้าง ขอบใจเจ้ามากข้าจะพกมันติดตัวเอาไว้เพื่อเป็นสิริมงคล”
ผีสาวเมื่อได้ยินคำสนทนาของทั้งสองนั้นมันก็ไม่ยินยอมมันพยายามจะทำร้ายอี้ปิน ผีสาวยกมือขึ้นมาพร้อมกับกางมือพลันเล็บอันแหลมคมก็งอกยาวออกมาอย่างน่าหวาดกลัว มันพยายามจะทำร้ายอี้ปินโดยการใช้กงเล็บอันแหลมคมนั้น แต่ไหนเลยมันจะเป็นผลเพราะอี้ปินไม่ได้สัมผัสถึงวิญญาณ และอีกอย่างของขลังกันภูตผีที่อี้ปินพกติดตัวนั้นมันก็สามารถปกป้องเขาได้อย่างดีเยี่ยม กงเล็บอันแหลมคมจึงทำได้เพียงแหวกอากาศที่ว่างเปล่าเพียงเท่านั้น
เหวินซีมองภาพเหล่านั้นอยู่ไกล ๆ ก็พลันให้ขนลุกเมื่อเห็นวิญญาณสาวแผลงฤทธิ์พยายามจะทำร้ายอี้ปิน หากคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนางแล้วละก็มีหวังได้เจ็บตัวเป็นแน่ นางจะต้องระวังตัวให้มากจะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาดโดยเฉพาะพวกเหล่าวิญญาณทั้งหลาย และนางจะต้องหมั่นฝึกฝนตนเองให้มีพลังกลับมาเหมือนเดิมจะได้เอาไว้ใช้ต่อกรกับภูตผีร้ายได้
เมื่อบุรุษผู้นั้นรับพู่ห้อยสีขาวมาจากอี้ปินผีสาวที่เกาะติดเขาอยู่บนหลังนั้นก็พลันกรีดร้องออกมาเสียงดังอย่างทรมาน เสียงนั้นดังมาถึงเหวินซีที่ยืนมองอยู่เสียงของมันฟังดูแล้วช่างน่าสงสารจับใจ แต่จะปล่อยให้มันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นก็ยิ่งไม่สมควร เพียงไม่นานผีสาวตนนั้นก็ดับสลายหายไปทันทีอย่างไร้ร่องรอย เหวินซีคาดว่าผีตนนั้นน่าจะไปยังภพภูมิของตนแล้ว
การที่มีวิญญาณคอยติดตามและวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ จะทำให้มนุษย์ผู้นั้นร่างกายจะเริ่มอ่อนแอลงไปอย่างช้า ๆ และสุดท้ายมนุษย์นั้นก็จะสิ้นใจตายเพราะพลังชีวิตถูกภูตผีดูดกลืนไปอย่างไม่รู้ตัว
หลังจากแลกเปลี่ยนสินค้ากันเรียบร้อยอี้ปินก็กล่าวคำลาและเดินจากมาทันที
“เสี่ยวซีทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือไม่” อี้ปินเอ่ยถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ เหวินซีก็เข้าใจในคำถามของอีกฝ่ายว่าเขาหมายถึงสิ่งใดจึงตอบกลับไปทันที
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะเป็นควันลอยขึ้นสวรรค์ไปแล้ว”
“ข้าค่อยโล่งใจหน่อยนึกว่าผีตนนั้นจะติดตามข้ามาด้วยเสียอีก ถึงข้าจะมองไม่เห็นแต่ข้าก็รู้สึกขนลุกอยู่เหมือนกันตอนที่ยืนอยู่ตรงนั้นมันเหมือนมีลมเย็น ๆ พัดวูบวาบไปมา” อี้ปินเอ่ยบอก
“ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกท่านคงคิดไปเอง อีกอย่างของขลังของท่านใต้ซือหลุนที่ท่านพกติดตัวเอาไว้ก็สามารถปกป้องคุ้มภัยได้ท่านวางใจเถอะ” เหวินซีเอ่ยปลอบ ใครจะกล้าบอกความจริงกับพี่อี้ปินคนนี้กันเล่า ว่าผีตนนั้นพยายามจะทำร้ายเขา ขืนบอกไปครั้งหน้าคนตาขาวผู้นี้ยังจะกล้าทำอยู่อีกหรือ? ตอบเลยว่าไม่เด็ดขาด
“จริงอย่างที่เจ้าเอ่ย แต่หากมีแบบนี้อีกครั้งหน้าข้าจะไม่ยอมเสียของขลังไปอีกแล้วนะมันไม่คุ้มกันสักเท่าไร” อี้ปินเอ่ยดักคอคนตัวเล็กอย่างรู้ทัน
“ก็ได้ ๆ เอาไว้เราค่อยมาหาวิธีกำจัดวิญญาณร้ายแบบไม่ต้องสูญเสียของขลังกัน แต่ตอนนี้ท่านหาซื้ออาภรณ์ชุดใหม่และของกินให้ข้าก่อนจะได้หรือไม่” เหวินซีเอ่ย
“ย่อมได้...มื้อนี้พี่อี้ปินจะเลี้ยงเจ้าเองน้องสาว” อี้ปินเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“จัดไปพี่ชาย...” เหวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นกัน นางดีใจที่วันนี้จะได้มีอาภรณ์ชุดใหม่ที่งดงามสวมใส่และจะได้กินอาหารอร่อย ๆ เสียทีนางอดอยากปากแห้งมานานมากแล้ว
เหวินซีรู้สึกว่าร่างใหม่นี้ต้องการอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์มากกว่าผักและผลไม้ คงเป็นเพราะกำลังจะเติบโตเข้าสู่วัยสาวกระมัง นางจะต้องบำรุงร่างนี้ให้ได้กินอาหารที่ครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ผักหรือผลไม้ ร่างกายนี้จะต้องเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามจนผู้คนต้องมองเหลียวหลังให้จนได้ แต่ดูจากสภาพในตอนนี้นางคงต้องบำรุงอีกมากเลยทีเดียว
อี้ปินพาน้องสาวร่วมโลกไปซื้ออาภรณ์ชุดใหม่ เขาซื้อชุดบุรุษให้นางโดยอ้างว่าตอนนี้นางอาศัยอยู่ที่อารามไม่เหมาะสมนักที่จะสวมใส่อาภรณ์ของสตรี เหวินซีเห็นว่าเหตุผลของอี้ปินฟังขึ้นจึงยินยอม นางซื้ออาภรณ์บุรุษมาสองชุดเนื้อผ้าดีปานกลางเพราะราคาของมันไม่แพงมาก และซื้ออาภรณ์ชุดใหม่ให้พี่ชายร่วมโลกของนางอีกสองชุดเช่นกัน แต่พี่ชายร่วมโลกของนางขอเลือกเอาแค่ชุดเดียวเท่านั้นเพราะเสียดายเงิน เขาพอใจที่จะสวมใส่อาภรณ์เก่า ๆ เช่นนี้ดังเดิม แต่ขอให้ท้องของเขาอิ่มเป็นพอเหวินซีจึงไม่ขัดใจ
หลังจากซื้ออาภรณ์ชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยทั้งสองเดินไปซื้อเนื้อสัตว์เพื่อจะนำไปทำอาหาร ส่วนผักและผลไม้นั้นไม่ต้องซื้อหาเพราะที่อารามมีมากมาย เมื่อซื้อเนื้อสัตว์เสร็จแล้วยังเหลือเงินอยู่อีกสามตำลึงเงินนั่นก็หมายความว่าทั้งสองจะได้กินเนื้อสัตว์ไปอีกหลายเดือนเลยทีเดียว
อี้ปินพาเหวินซีกลับอารามก่อนตะวันจะตกดิน เพราะหากมืดค่ำเขากลัวว่าจะมีวิญญาณร้ายออกมาตามทางเดินแล้วเหวินซีเผลอไปสบตาเข้าจะทำให้นางเกิดอันตรายได้ ตัวเขาเองมองไม่เห็นย่อมไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างไร แต่กลับเหวินซีนั้นมันต่างและนางก็ยังเล็กเกินไปที่จะทำตัวให้ปกติได้เมื่อเจอกับสิ่งลี้ลับที่น่ากลัว