บท
ตั้งค่า

บทที่ 8 คิดวิธีหาเงิน

เวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือนสำหรับการใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ของเหวินซีมันช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ ถึงแม้นางจะไม่ต้องตรากตรำทำงานหนัก อย่างเช่นการตักน้ำมาอาบ กวาดเศษใบไม้หน้าอารามหรือแม้กระทั่งหุงอาหารก็ตาม เพราะทุกอย่างที่เอ่ยพี่ชายร่วมโลกเป็นผู้จัดการให้ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่นางเจ็บปวดในคืนนั้น

แต่กระนั้นนางก็ยังไม่คุ้นชินอยู่ดี ทุก ๆ วันมักจะนั่งทำสมาธิอยู่บนหอฝึกสมาธิเสียส่วนใหญ่ จนถึงตอนนี้พลังเทพที่อยู่ในกายก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะสัมฤทธิ์ผลเลย

หรือว่านางถูกเทพอัคคีหลอก...

“พี่อี้ปินข้าอยากออกไปข้างนอกอารามบ้าง มาอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้วยังไม่เคยได้ออกไปเลยข้าอยากรู้ว่ามันมีอะไรน่าดูบ้าง” เหวินซีเอ่ยบอกอี้ปินหลังจากกินอาหารมื้อเที่ยงอิ่ม

อาหารในอารามเส้าหมิงก็ยังคงเป็นผักเช่นเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนเนื้อสัตว์นั้นตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นางได้กินเพียงสองครั้งเท่านั้น อี้ปินบอกว่าเขาไม่มีเงินไปหาซื้อมาทำให้กิน นั่นทำให้นางรู้ว่าหากต้องการสิ่งของของผู้อื่นก็ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าเงินไปแลกมันมา

เหวินซีเพิ่งเข้าใจถ่องแท้เพราะเมื่อก่อนตอนที่อยู่บนสวรรค์หากต้องการสิ่งใดก็ล้วนแต่ใจนึก เพียงแค่ดีดนิ้วหนึ่งครั้งก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว แต่โลกมนุษย์นั้นต่างออกไปนางจะต้องหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เพื่อจะได้เอาไว้ซื้อหาสิ่งที่ต้องการ จะได้ไม่ต้องอดอยากเช่นนี้ เหวินซีหมายมั่นเอาไว้ในใจนางจะต้องหาเงินและก็หาเงินก่อนเป็นอย่างแรก

แต่นางจะไปหาเงินได้จากที่ไหน...

“ถ้าเจ้าอยากออกไปเช่นนั้นข้าก็พาเจ้าไปได้” อี้ปินเอ่ยบอก การออกนอกอารามนั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวใต้ซือหลุน เพราะท่านไม่เคยว่ากล่าวผู้ใดอยู่แล้ว หรือว่าอยากจะออกไปค้างอ้างแรมนอกอารามท่านก็ไม่ขัดอันใด ท่านเคยบอกว่าทุกคนกระทำสิ่งใดย่อมมีเหตุผลและท่านก็เคารพในเหตุผลของคนผู้นั้น เพียงแต่อย่าไปกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเป็นพอ

“ดียิ่งนัก เช่นนั้นเราออกไปกันเลยนะเจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเริงร่าคล้ายเด็กน้อยที่กำลังจะได้ออกไปเที่ยว

“จะดีใจอะไรขนาดนั้น ที่นี่ไม่สวยงามเหมือนสวรรค์ชั้นฟ้าของเจ้าหรอก” อี้ปินเอ่ยเมื่อเห็นสีหน้าดีใจของเหวินซี และเขาก็คิดว่าบนสวรรค์คงสวยงามมากกว่าบนโลกมนุษย์อย่างแน่นอน

“ก็บนนั้นข้าเห็นจนเบื่อแล้วนี่นา” เหวินซีเอ่ยบอก

“เช่นนั้นก็รีบไปกัน” อี้ปินเอ่ยพร้อมเดินนำหน้าเด็กน้อยไปยังตลาดทันที

สองคนต่างวัยเดินกันไปพูดคุยกันไปอย่างไม่รู้จักเบื่อ คนตัวเล็กก็ช่างถามคนตัวโตก็เอ่ยตอบอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย จนกระทั่งเดินมาถึงตลาดในตัวเมืองไห่หนาน เมืองไห่หนานเป็นเมืองเล็ก ๆ ไม่มีชื่อเสียงอันใด ถัดออกไปอีกหนึ่งเมืองก็จะเป็นชายแดนของแคว้นต้าถังแล้ว และเป็นชายแดนที่มีเขตติดต่อกับแคว้นต้าหลี่

อี้ปินได้ข่าวลือมาจากชาวบ้านที่อพยพมาว่า ที่ชายแดนตอนนี้กำลังเกิดสงครามและดูเหมือนว่ามันอาจยืดเยื้อและกินเวลานานนับปีเสียด้วย เนื่องจากแม่ทัพของทั้งสองฝ่ายต่างก็แข็งแกร่งด้วยกันทั้งคู่ ชาวบ้านที่อพยพมามีจำนวนมากเพราะพวกเขาต้องหนีตายจากสงคราม จะทำมาหากินก็ไม่ได้และต้องรอจนกระทั่งสงครามสงบลงจึงจะกลับถิ่นฐานได้ดังเดิม

ช่วงนี้ผู้คนที่เมืองไห่หนานจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นไม่น้อย บ้านหลังเล็กหลังใหญ่ที่เคยว่างกลับเต็มแน่นไปหมด ดูแล้วช่างคึกครื้นไม่น้อย พลอยทำให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดค้าขายดีมากขึ้นกว่าเดิมมีกำไรงอกงามมาไม่น้อย จนอี้ปินนึกอิจฉาตนก็อยากหาเงินมาใช้จ่ายบ้างแต่ก็จนปัญญาเพราะไม่มีผู้ใดจ้างทำงานเลย เขาทำได้เพียงอาศัยข้าวในอารามกินไปวัน ๆ ห่วงก็แต่เด็กน้อยที่กำลังเติบโต นางไม่ได้กินเนื้อสัตว์มาหลายวันแล้ว

เหวินซีเป็นครั้งแรกที่ได้ออกมายังภายนอกอารามจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางเดินดูร้านนั้นร้านนี้เข้าออกอยู่หลายแห่ง นางอยากได้อาภรณ์ชุดใหม่ที่สวยงามกว่านี้ ไม่ใช่เก่าขาดจนต้องปะชุนแถมยังเป็นของบุรุษอีกต่างหาก นางเป็นสตรีย่อมต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดาจริงหรือไม่

“เสี่ยวซีใยเจ้าเดินเข้าเดินออกร้านนั้นร้านนี้อยู่ได้ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว” อี้ปินเอ่ยบอกร่างเล็ก

“ข้าอยากได้มันนี่เจ้าคะถึงแม้จะไม่สวยเท่าของข้าเมื่อก่อนนี้ก็ตาม” เหวินซีเอ่ยบอกร่างสูงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“เจ้าก็หมั่นฝึกฝนให้พลังกลับมาโดยเร็ว ๆ สิจะได้บันดาลทุกอย่างอย่างที่เจ้าต้องการ” อี้ปินเอ่ยบอก

“ข้าก็พยายามอยู่นี่อย่างไรเล่า แต่ตอนนี้ข้าอยากได้มัน” เหวินซีเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ

“ข้าไม่มีเงิน” อี้ปินเอ่ย

“ใช่นั้นก็ต้องหาเงินมาแลกมันใช่หรือไม่”

“ใช่แล้ว”

“แล้วทำอย่างไรถึงจะได้เงินมา” เหวินซีเอ่ยด้วยความสงสัย

“ทำงานน่ะสิ แต่ข้าหามาหลายวันแล้วไม่มีใครจ้างข้าเลย” อี้ปินเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงท้อแท้

เหวินซีทำสีหน้ายับยู่ คิดทำใจว่าต้องใส่ชุดเก่าเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าพลังของนางจะกลับมา พลันสายตาเหลือบไปเห็นบางอย่างที่อยู่ไม่ไกล จึงรีบเอ่ยถามอี้ปินเพื่อความแน่ใจ

“หากข้าสามารถช่วยคนโดยใช้ความสามารถพิเศษของข้า ข้าจะได้เงินเป็นการตอบแทนหรือไม่”

“เจ้าคิดทำสิ่งใด” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความสงสัย พร้อมมองจับผิด

“ท่านเห็นบุรุษที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือไม่” อี้ปินมองตามนิ้วเล็กที่ชี้ไปยังบุรุษสวมใส่อาภรณ์สะอาดสะอ้านดูแล้วน่าจะมีฐานะดี อาจจะเป็นบุตรเศรษฐีหรือบุตรขุนนางก็เป็นได้

“ข้าเห็นแล้วทำไมหรือ?” อี้ปินเอ่ยถาม

“เขามีวิญญาณตามติดอยู่ที่หลังเป็นวิญญาณสตรี” เหวินซีเอ่ยกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น อี้ปินได้ยินเช่นนั้นก็รีบยกมือขึ้นปิดตาเด็กน้อยเพื่อไม่ให้มองไปยังวิญญาณร้าย

“ท่านจะปิดตาข้าทำไมกัน” เหวินซีร้องถาม

“หากเจ้าเผลอสบตากับมันเข้าจะเกิดอันตรายได้” อี้ปินเอ่ยบอกด้วยความห่วงใย เรื่องที่นางเห็นวิญญาณจะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือวิญญาณ เพราะมันจะนำอันตรายมาสู่ตัวของนางเอง ท่านอาจารย์เคยเอ่ยกำชับเอาไว้

“อยู่ไกลขนาดนั้นมันไม่ได้สังเกตหรอกว่าข้าเห็นมัน” เหวินซีเอ่ยบอก นางเห็นวิญญาณได้ก็เริ่มทำใจยอมรับหลังจากนั่งสมาธิก็ทำให้นางจิตใจสงบมากขึ้น แม้ว่านางจะเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ปีศาจน่าเกลียดก็เคยเห็น แต่นางยังไม่เคยเห็นวิญญาณในสภาพสยดสยองมาก่อนจึงยังตั้งตัวไม่ทัน ตอนนี้นางรู้แล้วว่าวิญญาณก็คล้ายกับปีศาจ

อีกอย่างวิญญาณที่นางเห็นบนหลังของบุรุษผู้นั้นก็ดูไม่ได้น่ากลัวมากอย่างที่เคยเห็นเมื่อก่อนนี้ แต่นางก็ไม่รับรองเหมือนกันว่าถ้าเจอกับวิญญาณที่น่ากลัวมาก ๆ จะทำใจไม่ให้หวาดกลัวได้ แต่นางก็อุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งที่มีสร้อยคอหยกนิลปกป้องคุ้มครองอยู่

“นั่นแหละเจ้าอย่าเผลอไปสบสายตากับวิญญาณตนใดเลยเชียว ข้าละหวาดกลัวยิ่งนักกลัวว่าจะเหมือนเมื่อคราก่อนที่เจ้าโดนมันสิงสู่ร่าง” อี้ปินยังเอ่ยกำชับไม่เลิกราด้วยความเป็นห่วง

“เอาเป็นว่าข้าจะรออยู่ไกล ๆ เพื่อไม่ให้พลั้งเผลอไปสบตามันเข้า แต่ท่านต้องไปบอกกล่าวกับบุรุษผู้นั้นแล้วทำอย่างไรก็ได้ให้ได้เงินเป็นค่าตอบแทน” เหวินซีเอ่ยบอกสหายต่างวัย

จากนั้นเหวินซีก็กระซิบบอกอี้ปินว่าบุรุษผู้นั้นคงจะมีปัญหาทางด้านร่างกายเพราะต้องแบกสตรีอยู่บนหลังตลอดเวลา ให้อี้ปินหาวิธีทำให้บุรุษผู้นั้นยอมเชื่อว่าตนรักษาอาการปวดที่เกิดขึ้นได้ หากบุรุษผู้นั้นยอมเชื่อก็ให้อี้ปินเจียดของขลังของใต้ซือหลุนเอาไว้ให้ชายผู้นั้นพกพา เพียงเท่านี้ผีสตรีผู้นั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้บุรุษผู้นี้ได้อีก

“เชื่อฝีมือข้าเถิด” อี้ปินเอ่ยพร้อมยืดอก ตนหากินอยู่ที่นี่มานานถ้าไม่เจ้าเล่ห์จริง ๆ คงไม่มีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้ เหวินซีเอ่ยกระซิบบอกคนร่างสูง เสร็จเรียบร้อยอี้ปินก็เดินเข้าไปหาบุรุษผู้นั้นทันที

“คาราวะคุณชายขอรับข้ามีนามว่าอี้ปินเป็นศิษย์เอกของใต้ซือหลุนคุณชายรู้จักใต้ซือหลุนหรือไม่ ท่านเป็นที่โด่งดังที่สุดในเมืองนี้เลยขอรับ” อี้ปินเอ่ยทักทายด้วยท่าทางอ่อนน้อมเป็นมิตร

“เจ้ามีธุระอันใดกับข้าหรือ? ข้าก็พอจะรู้จักจากชาวบ้านที่เล่าลือกันบ้าง ข้าเป็นคนเมืองอื่นเพิ่งย้ายมาอาศัยยังเมืองแห่งนี้” บุรุษเอ่ยบอกด้วยใบหน้าสงสัย

“ท่านดูมีโหวเฮ้งที่ดีใบหน้าก็หล่อเหลายิ่งนักหากไม่ติดว่าร่างกายท่านยามนี้ไม่สู้ดีเจ็บป่วยบ่อยครั้งจึงทำให้หม่นหมองลงไป” อี้ปินเอ่ยบอกอีกฝ่าย

ส่วนวิญญาณสตรีที่เกาะอยู่บนหลังของบุรุษได้ยินดังนั้นก็หันหน้าขวับจ้องหน้าผู้มาทักทายด้วยสายตาดุดัน วิญญาณตนนี้จ้องมองอี้ปินจนดวงตาแทบจะถลนออกมา มันมองเพื่อให้แน่ใจว่าบุรุษรูปร่างอัปลักษณ์ผู้นี้มองเห็นมันหรือไม่ แต่แล้วก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใดบุรุษผู้นี้ไม่ได้มองเห็นมัน คงเป็นพวกต้มตุ๋นทั่วไปเพราะดูจากท่าทางการแต่งกายของอีกฝ่าย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel