บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 คืนเดือนดับที่ต้องเผชิญ

หลังจากที่ทำการรักษาเสร็จสิ้นใต้ซือหลุนก็รีบเดินมายังหอฝึกสมาธิทันที เมื่อมาถึงก็เห็นร่างเล็กฟื้นตัวขึ้นมาแล้วใต้ซือหลุนจึงเอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้างหรือ?”

“รู้สึกดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะใต้ซือ” เหวินซีเอ่ยตอบเสียงอ่อน

“วันนี้เป็นคืนเดือนดับไอปีศาจในร่างเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมา คืนนี้เจ้าคงต้องจะเจ็บปวดภายใจจิตวิญญาณอยู่ไม่น้อย” ใต้ซือเอ่ยบอกพลางมองไปที่สร้อยคอหยกสีนิลแล้วเอ่ยต่อ “หยกนิลสามารถปัดเป่าวิญญาณร้ายที่จะเข้าสิงสู่ร่างของเจ้าได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกมันเข้าใกล้เจ้าไม่ได้ ต่อไปนี้ก็ระวังตัวเอาไว้ให้ดีโดยเฉพาะวันคืนเดือนดับ และระวังอย่าให้สร้อยเส้นนี้อยู่พ้นจากตัวเด็ดขาด”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณใต้ซือ” เหวินซีเอ่ยพร้อมกับก้มลงคาราวะใต้ซือหลุนด้วยความซาบซึ้งใจ

“แล้วของข้าเล่าอาจารย์ไม่มีบ้างหรือขอรับ” อี้ปินเอ่ยถาม

“เจ้าก็มีมากมายจนไม่มีวิญญาณตนใดกล้าเข้าใกล้เจ้าแล้ว ทั้งสร้อยประคำที่เจ้าคล้องไหนจะยันต์ต่าง ๆ อีกเล่าเจ้าคนโลภมาก” ใต้ซือหลุนเอ่ยดุแต่น้ำเสียงกลับเจือไปด้วยความเอ็นดูลูกศิษย์ของตน

“ข้าก็ขอเผื่อจะได้เพิ่มอีกขอรับ” อี้ปินเอ่ยบอกอย่างไม่คิดปิดบัง

“เจ้าออกไปได้แล้ว เหวินซีจะได้นั่งสมาธิต่อ” ใต้ซือหลุนเอ่ยไล่ เพราะต้องการให้เด็กน้อยมีสมาธิมากขึ้น อี้ปินได้ยินเช่นนั้นก็คำนับลาแล้วคลานเข้าออกไปทันทีอย่างไม่อิดออด

“เจ้ารีบรวมจิตให้เข้ากับร่างยิ่งเร็วยิ่งดีเข้าใจหรือไม่” ใต้ซือหลุนเอ่ยกำชับอีกครั้ง

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะวันนี้ข้าจะตั้งใจฝึกให้มากขึ้น” เหวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นางเองก็ต้องการจะรวมดวงจิตเข้ากับร่างนี้โดยไวเช่นกัน แต่ดูเหมือนร่างกายนี้จะอ่อนแอมากนักไม่รู้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ผ่านอะไรมาบ้าง ช่างน่าสงสารเสียจริง

เหวินซีนั่งหลับตาเพ่งจิตให้จดจ่อกับความว่างเปล่า วันนี้นางจะไม่ยอมปล่อยจิตให้เคลิบเคลิ้มง่วงงุนเหมือนเมื่อวานเป็นอันขาดเหวินซีสัญญากับตัวเองในใจ

ช่วงมื้อเที่ยงอี้ปินขึ้นมาตามเหวินซีไปกินข้าวแต่เห็นนางกำลังตั้งอกตั้งใจจึงไม่คิดรบกวน จึงขออาหารตักแบ่งใส่ปิ่นโตเก็บเอาไว้ให้นางมาภายหลัง อี้ปินตักเอาไว้มากหน่อยเพราะเผื่อแผ่ไปถึงมื้อเย็นด้วยเลย

อาหารฝีมือของตนคงจะไม่ถูกปากนางสักเท่าไรเห็นนางกินอาหารเมื่อวานแล้วก็พลันให้นึกสงสารยิ่งนัก ตัวของนางยิ่งเล็กแกรนอยู่เขาจะต้องหาอาหารมาบำรุงนางให้มากหน่อยเสียแล้ว เพราะอาหารในอารามแห่งนี้ก็มีแต่ผักมันคงยังไม่เพียงพอสำหรับเด็กวัยกำลังโตอย่างเหวินซี

หลังจากที่ไปอาบน้ำและกินมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วเหวินซีก็มานั่งสมาธิอยู่ในหอฝึก อาหารและน้ำอุ่นนางไม่ต้องเสียเวลาเตรียมเพราะพี่อี้ปินจัดเตรียมเอาไว้ให้เสร็จสรรพโดยที่นางไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย อี้ปินผู้นี้ช่างมีจิตใจดียิ่งนักเมื่อรวมจิตเข้ากับร่างนี้และได้พลังคืนมาเมื่อใด นางจะต้องตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างแน่นอน

ภาในหอฝึกสมาธิมีใต้ซือหลุนนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน การรวมจิตให้เข้ากับร่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันจะค่อย ๆ หลอมรวมจนเป็นจิตเดียวกันแต่นั่นคงต้องใช้เวลาสักหน่อย เมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าความมืดเริ่มคืบคลาน เหวินซีรับรู้ถึงความอึดอัดร่างกายเริ่มกระสับกระส่าย ตามกรอบหน้าเริ่มชื้นไปด้วยเม็ดเหงื่อที่เริ่มผุดขึ้นมา

“ทำสมาธิให้มั่นคงมันจะช่วยให้เจ้าบรรเทาความเจ็บปวดนั้นลงได้บ้าง” ใต้ซือหลุนเอ่ยบอกทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่

เหวินซีรีบทำตามทั้งที่ตอนนี้นางก็เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมาบ้างแล้ว ความเจ็บปวดนี้มันคล้ายกับตอนที่นางโดนเจ้าปีศาจทำร้ายมันเจ็บปวดแสนสาหัสนางยังจดจำมันได้ดี ไม่นึกว่าความร้ายกาจของไอปีศาจนั้นจะยังตามมาถึงโลกมนุษย์อีก

เวลายิ่งล่วงเลยไปมากเท่าใดความเจ็บปวดนั้นก็เพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เหวินซีเจ็บปวดทรมานจนไม่อาจสะกดกลั้นอีกต่อไปได้ ร่างเล็กล้มนอนตัวขดงออยู่กับพื้นพร้อมกับดิ้นไปมา แขนเล็กยกขึ้นมาแล้วยัดใส่ปากตัวเองเพื่อระบายความเจ็บปวดจนมีเลือดไหลซึมออกมา

ใต้ซือหลุนมองร่างเล็กด้วยความเวทนาตนก็สุดจะช่วยเหลือนางได้ในยามนี้ มีแต่นางเพียงเท่านั้นที่จะต้องแข็งใจผ่านพ้นมันไปให้ได้

อี้ปินนั่งเฝ้าอยู่หน้าทางเข้าหอฝึกสมาธิเมื่อเห็นร่างเล็กเจ็บปวดทรมานก็พลันสงสารจับใจ น้ำตาไหลหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ พลางนึกในใจว่าต่อไปนี้เขาจะดูแลนางเป็นอย่างดีจะไม่ใช้ให้นางต้องทำงานอีก แค่นี้นางก็เหน็ดเหนื่อยและทรมานมากพอแล้ว เรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาเองก็แล้วกัน

เหวินซีไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว รับรู้เพียงว่า ร่างกายยามนี้เริ่มทานทนไม่ไหวนางกระอักเลือดออกมาคำโตจากนั้นก็แน่นิ่งไป อี้ปินเมื่อเห็นร่างเล็กแน่นิ่งไปก็รีบเข้ามาดูทันที

“เจ้าพานางไปนอนพักที่เรือนเถิดแล้วเจ้าก็คอยดูแลนางด้วย” ใต้ซือหลุนเอ่ยบอกลูกศิษย์ของตน

“ขอรับอาจารย์ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี” อี้ปินตอบรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น จากนั้นก็อุ้มร่างเล็กแล้วเดินกลับเรือนนอนทันที

อี้ปินพาเหวินซีมายังเรือนพัก วางร่างเล็กลงบนเตียงไม้ขนาดพอตัว จัดแจงห่มผ้าให้เรียบร้อยจากนั้นตัวเขาเองก็ล้มนอนลงด้านล่างข้างเตียงอย่างไม่กลัวหนาว เพราะร่างกายของเขาแข็งแรงมาก ความเย็นเพียงเท่านี้ไม่ระคายผิวของเขาเท่าใดนัก ห่วงก็แต่เด็กน้อยหากตื่นขึ้นมาจะมีอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีกก็เป็นได้

โชคดีที่อาการเจ็บเจียนตายนี้เป็นแค่คืนที่ไร้ดวงจันทร์เท่านั้น หากเกิดขึ้นทุกยามราตรีมาเยือนแล้วละก็เขาไม่อยากจะคิดเลยว่านางจะมีชีวิตรอดไปจนถึงเติบใหญ่หรือไม่ ช่างน่าสงสารโดยแท้เด็กน้อยของเขา พรุ่งนี้คงต้องออกไปนอกอารามเพื่อหาเนื้อสัตว์มาทำอาหารให้นางกินเสียหน่อยแล้ว เพราะคืนนี้นางเพิ่งพบพานเรื่องเลวร้ายมาของกินอาจทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้ อี้ปินนอนหมายมาดอยู่ในใจจนกระทั่งหลับไป

ทางด้านหนึ่งของอารามใต้ซือหลุนกำลังสวดคาถาขับไล่ดวงวิญญาณร้ายที่มุ่งหน้าเข้ามาในเขตอาราม ปกติแล้วขึ้นชื่อว่าอารามเส้าหมิงวิญญาณร้ายต่างไม่กล้าย่างกราย แต่คืนนี้ไม่เหมือนกัน เพราะไอปีศาจที่แผ่ออกมาจากร่างของเหวินซีน่าดึงดูดเกินไป แต่โชคดีที่มีใต้ซือหลุนคอยปัดเป่าคืนนี้จึงไม่น่ากลัวนัก…

แสงจากดวงอาทิตย์เริ่มสาดส่องบ่งบอกว่าวันใหม่เริ่มมาเยือน อี้ปินปกติเป็นตื่นเช้าอยู่ก่อนแล้วจึงนับว่าไม่เป็นปัญหา เขารีบล้างหน้าล้างตาแล้วคว้าถุงเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดจากการรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกเดินทางมุ่งหน้ามายังตลาดแต่เช้าตรู่ เพื่อซื้อเนื้อสัตว์ไปทำอาหาร

เหวินซีตื่นขึ้นมาในช่วงสายของวันใหม่ เมื่อคืนนางหมดสติไปยามใดไม่อาจรู้ เพราะความเจ็บปวดมันมากเกินทานทน ร่างเล็กลงจากเตียงเดินออกมาด้านนอกลำธารเพื่อล้างหน้า นางไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะยกถังน้ำขึ้นมาตักเสียด้วยซ้ำ

มองไปทางเรือนของอี้ปินก็พลันเห็นว่ามีกลุ่มควันลอยออกมาแสดงว่าเขาอยู่ในนั้น ร่างเล็กจึงเดินไปหาทันที เมื่อมาถึงก็พบว่ามีจานใส่อาหารสองอย่างแต่ในจานหนึ่งนั้นเป็นเนื้อสัตว์ท่าทางน่ากินยิ่งนัก เหวินซีรีบยกแขนเล็กขึ้นมาเช็ดน้ำลายที่กำลังจะไหลหยดออกจากปากของตนเอง

“เด็กน้อยเจ้ามาพอดีข้ากำลังไปตามเจ้าอยู่แล้ว” อี้ปินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส

“จานเนื้อนั้นเขาเรียกว่าอะไรหรือ? ท่าทางน่ากินชะมัด” เหวินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะอยู่บนสวรรค์นางก็ไม่ค่อยได้กินเนื้อสัตว์สักเท่าใดนัก ส่วนมากจะกินก็แต่ผลไม้ทิพย์กินทีก็อิ่มท้องไปนานหลายร้อยปีหลายพันปีเลย

“หมูสามชั้นผัดเปรี้ยวหวานเจ้าลองชิมดูข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะเลย”

“ท่านทำเองหรือ? แน่ใจนะว่ามันกินได้” เหวินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย ฝีมือการทำอาหารของอี้ปินผู้นี้นับว่าไม่ธรรมดาแต่ไปในทางที่แย่

“เจ้านี่นะ” อี้ปินเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ตักเนื้อหมูใส่ถ้วยข้าวของเด็กน้อยเพื่อให้นางได้ลิ้มลอง เหวินซียอมตักเนื้อเข้าปากแล้วเคี้ยวกินยอมรับว่ารสชาติไม่ได้แย่มากอย่างวันนั้น แต่มันก็ไม่ได้ดีเลิศอย่างที่คาดหวังหรือว่านางจะเรื่องมากไปเอง พวกมนุษย์เขาคงกินอาหารรสชาติแบบนี้กระมัง คิดได้ดังนั้นเหวินซีก็ตั้งใจกินอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางที่เปี่ยมสุข นางต้องปรับตัวกินอาหารรสชาติของมนุษย์ให้ได้ อี้ปินมองดูเด็กน้อยกินอาหารก็เผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความพึงใจ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel