บทที่ 10 วิญญาณร้ายต้องการไอปีศาจ่
เมื่อกลับมาถึงอี้ปินก็จัดการหุงข้าวทันที เขาไม่ได้ใช้ให้เหวินซีทำเพราะตอนนี้ตะวันก็เริ่มบ่ายคล้อยจนใกล้ลับฟ้าเต็มที ขืนให้เหวินซีก่อไฟคงไม่แคล้วได้กินอาหารยามดึกเป็นแน่
“ไหนว่าจะสอนข้าทำอาหาร” เหวินซีเอ่ยถามด้วยความสงสัย ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้นางก็ยังไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพี่ชายร่วมโลกคนนี้แม้แต่น้อย ในทุก ๆ วันเขามักจะอ้างโน้นอ้างนี่ตลอด จนถึงบัดนี้นางยังไม่เคยก่อไฟหุงข้าวเลยด้วยซ้ำไป
“เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันเจ้าเห็นหรือไม่ตะวันจะตกดินอยู่แล้วขืนให้เจ้าทำมีหวังหิวตายกันพอดี” อี้ปินเอ่ยบอก
จริง ๆ แล้วอี้ปินเองก็อยากจะสอนเหวินซีทำอาหารอยู่หรอก แต่เขาเคยเห็นนางทำแล้วครั้งหนึ่งมันช่างเกะกะลูกตายิ่งนัก ดีไม่ดีนางจะเจ็บตัวเพราะมีดทำครัวก็เป็นได้ หรือไม่หากโชคร้ายนางอาจทำไฟไหม้ที่พักจนไม่มีที่ซุกหัวนอนเลยก็ได้ เขายังอยากมีที่พักยังไม่อยากเป็นคนเร่ร่อนไร้ที่นอน
อี้ปินหาเหตุผลมาอ้าง แต่แท้จริงแล้วเขาสงสารเทพธิดาตัวน้อยที่ต้องลำบากต่างหาก...
“ท่านก็อ้างเช่นนี้ตลอด” เหวินซีเอ่ยบ่น นางอยากจะบ่นต่ออีกสักนิดว่าอาหารที่เขาทำนั้นรสชาติมันแย่มากหากนางทำเองอาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเหวินซีไม่ได้เอ่ยออกไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะน้อยใจ
เหวินซีจึงต้องกล้ำกลืนกินอาหารที่รสชาติไม่ค่อยถูกปากลงคอไปในทุก ๆ วัน หรือว่าโลกมนุษย์เขากินอาหารรสชาติเช่นนี้กันนะ เหวินซีคิดในใจเพราะนางเองก็ยังไม่เคยกินอาหารจากที่อื่นเลยนอกจากอาหารเจในโรงทานและอาหารของอี้ปิน อาหารทั้งสองรสชาติก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
เมื่ออาหารพร้อมวางอยู่ตรงหน้าเหวินซีก็จ้องจานอาหารอย่างไม่วางตา หน้าตามันช่างประหลาดยิ่งนักนางไม่เคยเห็นมันมาก่อนจะกินได้จริง ๆ หรือ?
“น่ากินใช่หรือไม่ กินเลย ๆ ไม่ต้องเกรงใจกินเยอะ ๆ เจ้าจะได้โตไว ๆ” อี้ปินเอ่ยบอกด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
เหวินซีรู้สึกเบื่ออาหารขึ้นมาทันทีนางยังไม่หิว?หรือว่านางจะป่วย?
“ทำไมถึงยังไม่กินเล่า” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความสงสัยพร้อมกับตักอาหารใส่จานข้าวของตนเองและตักเข้าปากเคี้ยวกินด้วยความเอร็ดอร่อย
เหวินซีมองอีกฝ่ายกินอาหารด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข หรือว่านางจะคิดไปเองอาหารหน้าตาแปลกประหลาดนี้อาจจะอร่อยจริง ๆ ก็ได้ คิดได้ดังนั้นเหวินซีก็จัดการตักอาหารใส่ชามข้าวแล้วตักเข้าปาก นางคิดไม่ผิดจริง ๆ ด้วย นางไม่น่ากินมันเข้าไปเลยจริง ๆ แต่เอาเข้าปากไปแล้วจะคายออกก็เกรงว่าจะน่าเกลียดเพราะพี่ชายร่วมโลกจ้องมองอยู่ตาไม่กระพริบ เขาคงอยากได้คำชมจากนางกระมัง เหวินซีต้องฝืนกลืนเนื้อก้อนดำ ๆ แข็ง ๆ ลงคอไปอย่างอยากลำบาก
“อร่อยใช่หรือไม่” อี้ปินเอ่ยถามน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“อะ...อร่อยเจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยปดคำโตเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเสียใจ รสชาติอาหารของมนุษย์อาจเป็นเช่นนี้เหมือนกันทั้งหมดก็เป็นได้ อาจผิดที่ลิ้นของนางเองที่ไม่คุ้นชินกับมันเพราะอาหารบนสรวงสวรรค์มันก็ย่อมต่างจากโลกมนุษย์อยู่แล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเหวินซีก็สบายใจขึ้นนางจะต้องปรับตัวให้ได้จะได้ใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์อย่างไม่ลำบากนัก
หากเหวินซีรู้ว่าอาหารบนโลกมนุษย์นั้นมีหลากหลายและรสชาติก็อร่อยกว่าที่นางกินอยู่ตอนนี้หลายเท่านัก นางคงอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายกระมัง
อีกหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปวันนี้เป็นคืนเดือนมืดเป็นคืนที่เหวินซีไม่อยากให้มันมาถึงเลย เพราะอาการเจ็บปวดจากไอปีศาจที่กัดกินจิตใจของนางจะมีพลังที่แรงกล้ามันจะทำให้นางเจ็บปวดเจียนตาย
ไม่เพียงเท่านั้นระยะหลัง ๆ มานี้ที่อารามมักจะมีวิญญาณเร่ร่อนอยากลองของมารบกวนท่านใต้ซือหลุนอยู่บ่อยครั้ง บางตนเป็นเพียงวิญญาณอวดเก่งแต่ไม่เก่ง แต่บางตนมีพลังอาฆาตที่รุนแรงแต่กระนั้นใต้ซือหลุนก็จัดการพวกมันได้ไม่ยากนัก
ผู้อื่นอาจจะไม่รู้แต่เหวินซีรับรู้และเห็นมากับตาเพราะส่วนมากแล้วนางจะอยู่ฝึกสมาธิกับท่านใต้ซือเป็นประจำทุกวัน ฝีมือการปราบวิญญาณของใต้ซือหลุนไม่อาจดูเบาได้เลย เหวินซีคิดในใจว่าสักวันนางจะต้องเก่งกาจให้ได้เหมือนอย่างท่านใต้ซือหลุน นางอยากเป็นนักล่าวิญญาณมากกว่าให้วิญญาณล่าอยู่แบบนี้
เหวินซียังไม่รู้อีกข้อหนึ่งนั่นก็คือในวันที่คืนเดือนดับไอปีศาจที่อยู่ในร่างของนางนั้นจะมีพลังที่แกร่งกล้าจนเหล่าวิญญาณร้ายที่กระหายพลังสามารถสัมผัสได้ นั่นเป็นเหตุให้มีเหล่าวิญญาณร้ายคิดลองดีเข้ามายังอารามแห่งนี้อยู่บ่อยครั้ง และคืนนี้คงเป็นอีกคืนที่ใต้ซือหลุนจะต้องเตรียมการรับมือกับเหล่าวิญญาณร้ายที่กระหายพลังปีศาจ
ใต้ซือหลุนยังไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่เหวินซีเพราะกลัวนางจะวิตกมากเกินไป รอให้พลังเทพของนางตื่นขึ้นมาสักหน่อยค่อยบอกก็ยังไม่สาย…
“เจ้ากลับเรือนพักไปได้แล้วตอนนี้ก็ใกล้มืดค่ำเต็มทน คืนนี้เป็นคืนเดือนดับเจ้าห้ามออกมานอนเรือนเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่” ใต้ซือหลุนเอ่ยกำชับเด็กหญิงตัวน้อย
“เจ้าค่ะท่านใต้ซือ” เหวินซีเอ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เพราะในคืนเดือนดับนางก็ไม่สามารถเคลื่อนตัวออกไปไหนได้อยู่แล้ว
เหวินซีเดินกลับเรือนเมื่อกลับมาถึงก็เจอกับอี้ปินที่มายืนรออยู่หน้าเรือน คงเป็นเหมือนเช่นทุกวันพี่ชายร่วมโลกทำอาหารไว้รอนางเรียบร้อยแล้ว อาหารที่พี่ชายผู้นี้ทำนั้นมีไม่กี่อย่าง ต้ม ผัด ทอด ทั้งสามอย่างนี้ล้วนแต่ผ่านลิ้นของเหวินซีมาแล้วทั้งนั้น แต่ไม่รู้ทำไมลิ้นของนางยังไม่ชินกับรสชาติอาหารของเขาสักทีเฮ้อ…
แต่ในเมื่อพี่ชายร่วมโลกผู้นี้ทำให้กินนางก็เต็มใจที่จะกินมันอย่างไม่คิดอิดออดอีกต่อไป เขาเป็นผู้ที่มีบุญคุณกับนางสักวันหนึ่งนางจะต้องตอบแทนเขา หากวันใดที่พลังเทพกลับมาอย่างแรกที่นางจะทำให้พี่ชายผู้นี้ก็คืออาหารรสชาติดี ๆ ให้เขาได้กินจนไม่รู้จักเบื่อหน่ายเลย
หลังมื้ออาหารเสร็จเหวินซีก็อาบน้ำ น้ำที่ใช้อาบนั้นก็เป็นพี่ชายร่วมโลกอีกนั่นแหละที่เขาตักมาจากลำธารด้านหลังและนำมาต้มให้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นางซาบซึ้งใจได้อย่างไรเล่า ถึงแม้ว่าบางสิ่งบางอย่างพี่ชายร่วมโลกผู้นี้อาจจะทำได้ขัดหูขัดตาไปบ้างแต่เขาก็ทำด้วยความใจจริงทั้งนั้น
ค่ำคืนอันมืดสนิทวนเวียนมาอีกครั้งเหวินซีเริ่มนอนกระสับกระส่ายเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ไหลซึมเต็มกรอบหน้า ความเจ็บปวดเริ่มเกาะกินจิตใจของนางอีกครั้ง
อี้ปินนั่งเฝ้าร่างเล็กอยู่หน้าประตูเรือนนอน ในทุกคืนเดือนดับเขาจะต้องมานั่งอยู่ตรงนี้เป็นประจำทุกครั้ง เขาช่วยเหลือนางไม่ให้เจ็บปวดไม่ได้ แต่เขาก็ข่มตาให้หลับไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยเขานั่งอยู่ตรงนี้ก็ยังคอยฟังเสียงคนตัวเล็กกรีดร้องยามเจ็บปวดและเขาก็จะส่งเสียงให้กำลังใจนางบ้างก็ยังดี
ทางด้านใต้ซือหลุนในคืนเดือนดับนั้นเขามักจะนั่งสวดภาวนาตลอดทั้งคืน แต่คืนนี้ไม่อาจทำได้เนื่องจากเหล่าวิญญาณเข้ามารบกวนมากเกินไป ใต้ซือหลุนเดินออกมาจากหอสวดมนต์แล้วเดินต่อไปยังเรือนท้ายอาราม
อี้ปินจู่ ๆ ก็สัมผัสได้ถึงสายลมที่เย็นยะเยือกพัดผ่านร่างกายวูบหนึ่งเขารีบยืนขึ้นทันทีแล้วเคาะประตูเรียกคนด้านใน
“เสี่ยวซี ๆ ๆ เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” อี้ปินเอ่ยเรียกเสียงดัง
“อ๊ากก...” เหวินซีไม่ตอบแต่กลับส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมา
“ข้าจะพังประตูเข้าไปเดี๋ยวนี้” อี้ปินเอ่ยบอกเขาไม่น่าให้เสี่ยวซีลงกลอนประตู แต่เอาเถิดหากประตูพังเขาจะเป็นคนซ่อมมันเอง เมื่อคิดเช่นนั้นอี้ปินจึงถอยหลังออกมาสี่ห้าก้าวแล้วพุ่งตัวใส่ประตูอย่างเต็มแรงหวังให้มันเปิดออกในคราเดียว
และแล้วประตูก็เปิดออกอย่างที่อี้ปินต้องการแต่ไม่ใช่เป็นเพราะตนเองที่พังมันหรอก แต่เป็นเพราะร่างเล็กต่างหากที่เป็นคนเปิดมัน
ฟิ้ว...ตุ๊บ…
ร่างของอี้ปินตอนนี้เลยพุ่งออกหน้าต่างอีกด้านหนึ่งลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดท่า กระดูกกระเดี้ยวตอนนี้มันลั่นกรุบกรับไปหมดไม่รู้ว่ามีส่วนใดแตกหักบ้างหรือเปล่า