บทที่ 5 เรียนรู้การใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์
เหวินซีเดินกลับมายังเรือนพักเห็นพี่อี้ปินนอนกระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์อยู่หน้าชานเรือน ดูแล้วช่างสบายอารมณ์เสียจริง
“เจ้ากลับมาเสียทีข้ารอเจ้าอยู่ตั้งนาน” อี้ปินเมื่อเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยทักทันที
“ท่านรอข้าด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“นี่ก็เริ่มเย็นแล้วเราต้องจัดเตรียมอาหารการกินของเรา ส่วนใต้ซือไม่ต้องห่วงเพราะท่านไม่กินมื้อเย็นเพียงแต่ต้มน้ำชาเอาไว้ให้ท่านเพียงเท่านั้น” อี้ปินเอ่ยบอก
“แล้วท่านใยต้องรอข้าด้วยเล่า” เหวินซีเอ่ย นางทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแล้วจะรอนางทำไมกัน
“ข้าก็จะสอนเจ้าทำอย่างไรเล่า” อี้ปินเอ่ยบอก เขาร้อนใจอยากจะสอนสั่งให้นางได้เรียนรู้ใจจะขาด เพราะอยู่อารามมาก็หลายปีนอกจากชงชาให้ใต้ซือหลุน เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ร่ำเรียนหรือก็ไม่ได้เรื่อง
“ท่านแน่ใจนะว่าสอนข้าได้” เหวินซีเอ่ยถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
อี้ปินไม่ตอบคำถามเพียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ตามข้ามา” อี้ปินเอ่ยจบก็เดินนำเด็กน้อยไปยังเรือนพักของตนที่ใหญ่โตกว่าเล็กน้อย
เรือนพักของเขาพอจะมีเครื่องครัวในการปรุงอาหารอยู่บ้าง มื้อเย็นส่วนใหญ่ต้องหากินเอง ส่วนมื้อเช้าและมื้อกลางวันจะมีแม่ครัวแวะเวียนกันมาทำอาหาร เอาไว้สำหรับให้หลวงจีน ทั้งหลายและคนที่แวะเวียนกันมากราบไว้ได้อาศัยกินกัน หรืออาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรงทาน
วัตถุดิบในการทำโรงทานนั้นก็ได้มาจากชาวบ้านใจบุญร่วมด้วยช่วยกันบริจาคมา รวมทั้งท่านเจ้าเมืองและเหล่าพ่อค้าร่ำรวยทั้งหลายก็ร่วมบริจาคมาให้ปี ๆ หนึ่งไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นการอาศัยอยู่ภายในอารามเส้าหมิงนั้นจึงนับได้ว่าไม่อดตายอย่างแน่นอน
เหวินซีกวาดสายตามองภายในห้องที่ระเกะระกะมองแล้วไม่สบายตาอย่างยิ่ง เครื่องมือพวกนี้เขาเรียกว่าเครื่องครัวเช่นนั้นหรือ? เหวินซีเดินไปเดินมาสำรวจไปทั่ว ส่วนอี้ปินก็เอ่ยบอกว่าอุปกรณ์ชิ้นใดเอาไว้ทำอะไรได้บ้างให้อีกฝ่ายหนึ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ก่อนอื่นเจ้าต้องเริ่มจากการก่อไฟเสียก่อน” อี้ปินเอ่ยบอกหลังจากแนะนำเครื่องครัวเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จัดแจงฟืนและเครื่องจุดไฟและเอ่ยอธิบายแต่ละขั้นตอน เหวินซีทำตามที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกอย่างถ้วนถี่ เมื่อจุดไฟได้แล้วก็ใช้บ้องไม้ไผ่เป่าให้ไฟติด
แค่ก ๆ ๆ เสียงสำลักควันไฟออกมาจากปากเล็ก เหตุใดมันถึงได้ยากเย็นเช่นนี้กว่าจะได้อาหารมากินในแต่ละมื้อ
เป็นมนุษย์ช่างยุ่งยากเสียจริง เหวินซีคิดในใจ
แต่ก็ยังก้มหน้าก้มตาเป่าบ้องไม้ไผ่อย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อให้ไฟในเตาลุกโชนขึ้นมา แต่เป่าเท่าไรมันก็มีแต่ควันลอยขึ้นมาเหตุใดไฟถึงยังไม่ลุกโชนสักที ควันเริ่มลอยฟุ้งไปทั่วจนแทบมองอะไรไม่เห็นทั้งแสบตาทั้งเมื่อยปาก นางเริ่มจะหมดแรงเสียแล้ว
เหวินซีเงยหน้าขึ้นจากเตาไฟแล้วหันไปถามอี้ปินที่ยืนดูอยู่ด้านข้างพลางเอ่ยถาม “พี่อี้ปินเหตุใดไฟถึงไม่ลุกโชนขึ้นมาสักทีเล่าข้าเป่าจนเมื่อยปากแล้ว”
“ฮ่า ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ หน้าเจ้าช่างตลกยิ่งนัก” อี้ปินไม่ตอบคำถามแต่กลับหัวเราะชอบใจจนตัวคดตัวงอ เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีแต่เขม่าควันสีดำติดตามใบหน้าเต็มไปหมดจนมองไม่เห็นเค้าใบหน้าจริง แม้ตัวเองจะสำลักควันก็ไม่มีทีท่าจะหยุด
“ท่านหัวเราะเยาะข้าเช่นนั้นหรือ? ท่านหลอกให้ข้าเป่ามันใช่หรือไม่” เหวินซีไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะอะไรจึงคิดว่าแกล้งตน จึงเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ข้าไม่ได้แกล้งเจ้าสักหน่อย ที่ไฟไม่ติดฟืนสักทีสงสัยว่ามันคงชื้นกระมัง ประเดี๋ยวข้าจะหาฟืนอันใหม่มาเปลี่ยนก่อนแล้วค่อยลองจุดอีกที” อี้ปินเอ่ยปากก็ยังอดขำไม่หาย แต่ก็ไม่ได้บอกอีกฝ่ายว่าตนหัวเราะนางด้วยเรื่องอันใด
“นี่ ข้ายังต้องจุดอีกเรอะ!” เหวินซีเอ่ยถาม
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” จากนั้นก็จัดแจงนำฟืนออกจากเตาแล้วเปลี่ยนฝืนชุดใหม่ใส่ลงไป แล้วสั่งให้เหวินซีจุดไฟ ร่างเล็กเหลือกตามองบนเพดานห้องอย่างหน่ายใจ
เป็นมนุษย์มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ
เหวินซีทำตามขั้นตอนอีกครั้งด้วยความตั้งใจ ครั้งนี้นางจะต้องจุดไฟให้ลุกโชนได้อย่างแน่นอน และแล้วไฟลุกโชนขึ้นมาอย่างที่เหวินซีคาดหวังนางกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ จากนั้นก็เตรียมหุงข้าวในขั้นตอนต่อไป
“กว่าจะได้กินข้าวข้าหมดแรงตายก่อนพอดี” เหวินซีเอ่ยบ่นขณะที่กำลังรอให้ข้าวสุก นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเค่อแล้วข้าวในหม้อยังไม่ยอมสุก นางต้องหิวตายก่อนกระมัง! ไหนจะต้องเตรียมหั่นผักอีก อี้ปินบอกว่ามื้อนี้มีเพียงผัดผักเท่านั้น ส่วนเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ถ้าจะกินต้องออกไปหาเอาเองเพราะที่อารามเส้าหมิงนั้นไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน
“นี่แค่เริ่มต้นเพียงเท่านั้นเจ้าอย่าบ่นหน่อยเลย ผักก็มีให้กินไม่ต้องเปลืองแรงไปปลูกเองเสียเมื่อไรกัน หรือว่าเจ้าจะให้ข้าสอนปลูกผักด้วย เอาเช่นนั้นหรือไม่” อี้ปินเอ่ยสอน
“ไม่ ๆ ๆ ข้าไม่ทำอะไรทั้งนั้นข้าหิวแล้ว...” เหวินซีรีบปฏิเสธจากนั้นก็หุบปากฉับพลันเพราะพี่อี้ปินเริ่มชักสีหน้ารำคาญนางแล้ว แล้วรีบจัดการหั่นผักตามที่อีกฝ่ายหนึ่งสอนอย่างตั้งใจ
“จับดี ๆ สิมีดในมือเจ้ามันคมกริบเชียวนะ” อี้ปินเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเด็กน้อยทำท่าทาง เก้ ๆ กัง ๆ
“ก็ข้าไม่เคยทำนี่ โอ๊ย...” เหวินซีหันหน้าไปคุยกับอีกฝ่ายจึงไม่ทันระวังโดนมีดบาดเข้าที่มือเลือดไหลซึมออกมา
อี้ปินรีบจับมือเด็กน้อยที่ไม่ระมัดระวังขึ้นมาดูบาดแผล แล้วรีบตักน้ำมาล้าง
“ซี๊ด...ด...” เหวินซีสูดปากเสียงดังด้วยความเจ็บ
อี้ปินมองหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนดุเล็กน้อย “ถ้าเจ้าไม่ระวังก็จะเจ็บตัวเช่นนี้คราวหน้าคราวหลังก็ต้องระวังให้มากขึ้นเข้าใจหรือไม่”
เหวินซีไม่ตอบเอาแต่จ้องบาดแผลที่มีเลือดสีแดงไหลไม่หยุดพล่งเอ่ย “ข้าเจ็บ...ข้าไม่เคยมีเลือดออกมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย” เหวินซีเอ่ยพร้อมกับหยดน้ำตาที่รินไหลออกมา นางรู้สึกว่าทุกอย่างบนโลกมนุษย์ล้วนยากเย็นยิ่งนัก
“เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้วประเดี๋ยวข้าจะหายามาใส่ให้ มื้อนี้ข้าจะทำเองเจ้าแค่ยืนดูข้าทำก็พอเข้าใจหรือไม่” อี้ปินเอ่ยเขาเห็นใบหน้าเล็กที่ซูบตอบมีน้ำตาพลันใจอ่อนยวบ จากที่สวมบทบาทเป็นมาดเข้มกลับอ่อนปวกเปียกไม่เป็นท่า
อี้ปินเดินเข้าไปค้นหายามาใส่ที่บาดแผลให้เด็กน้อย เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มหั่นผักที่ทำค้างเอาไว้ อี้ปินทำทุกอย่างด้วยท่าทางคล่องแคล่ว เพียงไม่นานอาหารก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมกับข้าวที่หุงก็สุกพอดี
“ทำไมหน้าตามันถึงได้เป็นเช่นนี้เล่า แน่ใจนะว่ามันกินได้” เหวินซีมองจานผัดผักที่มันเหี่ยวแห้งและยังมีสีค่อนข้างดำ
“กิน ๆ เข้าไปเถิดอย่าเรื่องมากนักเลย ข้าทำสุดฝีมือของข้าแล้วก็ได้เท่านี้แหละ” อี้ปินเอ่ยบอก เขาเองก็ลักจำมาจากแม่ครัวไม่ได้เก่งกาจอะไร อีกอย่างนาน ๆ ครั้งเขาถึงจะเข้าครัวสักทีฝีมืออาจจะตกไปบ้างก็ไม่แปลก
เหวินซีไม่กล่าวบ่นต่อพลางตักผัดผักมาใส่ชามข้าวแล้วตักกินอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่ออาหารเข้าปากก็รับรู้ถึงรสชาติที่เค็มและผักที่เหนียวจนเคี้ยวไม่ขาด นางต้องคายออกมาอย่างไม่อาจฝืนเคี้ยวมันได้
“มันทำไมถึงได้เค็มเช่นนี้เล่า ผักก็เหนียวจนเคี้ยวไม่ขาด” เหวินซีเมื่อคายอาหารออกก็ร้องถามทันที
“เค็มไปนิดเดียวเองข้าหนักเกลือไปเสียหน่อย ส่วนผักคงจะผัดนานเกินไป” อี้ปินเอ่ยบอก
“ไม่หน่อยแล้วกระมังเช่นนี้” เหวินซีเอ่ยท้วงเค็มขนาดนี้ยังบอกว่านิดหน่อยอีกหรือ
“ทนกินไปเถิดหรือเจ้าจะทนหิวเลือกเอา!”
เหวินซีทำหน้ายู่ใส่คนตรงหน้าพลางหยิบช้อนตักน้ำผัดผักมาเล็กน้อยแล้วราดบนชามข้าว นางคลุกข้าวกับน้ำผัดผักเล็กน้อย แล้วค่อยตักกินทำอย่างนี้ค่อยลดความเค็มลงได้บ้าง
กว่าจะกินอาหารเสร็จเวลาก็ล่วงเลยจนค่ำมืด อากาศค่อนข้างหนาวเหวินซีจึงเดินกลับไปยังเรือนพักแล้วเตรียมตัวเข้านอน แต่ยังไม่ทันได้ล้มตัวลงนอนก็มีเสียงคนคุ้นเคยเอ่ยเรียกเสียก่อน
“มีอะไรอีกเล่าพี่อี้ปิน” เหวินซีเดินมาเปิดประตูพร้อมกับเอ่ยถาม
“เจ้าจะนอนได้อย่างไรไม่อาบน้ำอาบท่าเช่นนั้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามเขาอุตส่าห์ตั้งน้ำร้อนเอาไว้ให้นางได้ผสมน้ำอาบเพราะเห็นว่าน้ำในลำธารค่อนข้างหนาวเย็น แต่นางกลับเดินเข้าเรือนพักแล้วปิดประตูนอนได้อย่างไรกัน
ไม่ใช่เมื่อครู่เนื้อตัวนางมีแต่เขม่าควันหรอกหรือ และเมื่อตอนเช้าก็ยังไม่อาบน้ำอีกเพียงล้างหน้าและจุ่มผมลงน้ำรวก ๆ เท่านั้น หากตอนเย็นไม่อาบอีกแมลงวันคงแย่งกันตอมแน่ ใบหน้านางก็ยังมีสีดำติดอยู่เลย...