บทที่ 4 เทพธิดาอยากกลับสวรรค์
อี้ปินไม่รอช้าหยิบหวีไม้ที่ตนเองพกติดตัวอยู่เสมอออกมาจากสาบเสื้อ แล้วจัดการสางให้เด็กน้อยทันทีอี้ปินเกร็งมือสุดชีวิตพยายามจัดทรงที่คิดว่าสวยที่สุดออกมา เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็มองดูผลงานของตนเองด้วยสายตาชื่นชม
“พี่อี้ปินท่านแน่ใจหรือว่ามันสวยแล้ว ข้าว่ามันแปลก ๆ อยู่นะ” เหวินซียกมือขึ้นลูบคลำบนศีรษะของตัวเองพบว่ามีจุกผมหนึ่งก้อนอยู่ตรงกลางศีรษะแต่จะบอกว่าตรงกลางก็ไม่ใช่สักทีเดียว มันดูเอียง ๆ อย่างไรพิกล
“สวยแล้วเชื่อข้า ผมของข้าข้าก็เป็นคนทำเองอยู่ทุกวัน”
เหวินซีมองสูงขึ้นไปบนศีรษะของชายหนุ่มรุ่นใหญ่ที่อ้างว่าผมของตัวเองจัดทรงสวยแล้ว แต่ที่นางเห็นมันช่างสวนทางกันยิ่งนัก อี้ปินคนนี้นางจักวางใจและเชื่อใจเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้นไม่อาจยกใจเชื่อได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นการดำรงชีวิตในโลกมนุษย์ของนางคงจะบิดเบี้ยวอย่างแน่นอน เหวินซีคิดในใจ
สองคนต่างวัยเดินมายังหอฝึกสมาธิที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาราม สถานที่แห่งนี้เงียบสงบยามนี้มีเพียงใต้ซือหลุนนั่งหลับตา ส่วนมือก็ถือประคำคล้ายกับว่ากำลังนั่งนับลูกประคำในมืออย่างไรอย่างนั้น ทั้งสองเข้ามานั่งใกล้ ๆ พร้อมคุกเข่าคำนับ
“อาตมาจะไม่พูดจาอ้อมค้อม ในตัวของเจ้ามีทั้งไอปีศาจและไอของเทพปะปนอยู่ภายในจิตวิญญาณ”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอันตราย” เหวินซีเอ่ย
“ไอปีศาจที่ติดตามตัวเจ้านั้นจะแข็งแกร่งขึ้นในคืนเดือนมืด แม้จะไม่อันตรายถึงชีวิตแต่มันจะทำให้เจ้าทรมานอยู่ไม่น้อย” ใต้ซือหลุนเอ่ยบอก
“ท่านอาจารย์มีหนทางช่วยนางหรือไม่ขอรับ” อี้ปินเอ่ยถามน้ำเสียงร้อนรน เด็กน้อยของเขาช่างน่าสงสารยิ่งนักแต่นับว่ายังโชคดีที่เขาไปเจอแล้วพามาพบอาจารย์ผู้เก่งกาจท่านจะต้องช่วยนางได้เป็นแน่
“มีหนทางเดียวคือกำจัดปีศาจที่ทำร้ายเจ้า” ใต้ซือเอ่ยบอก ดวงตาที่สามของเขาสามารถมองเห็นจิตวิญญาณของนางและเรื่องราวของนางในนิมิตมาบ้างแล้ว การเปิดดวงตาที่สามนั้นไม่ใช่ว่าจะมองเห็นได้ทุกคนและเห็นทั้งหมด ทุกสิ่งอย่างล้วนแล้วแต่สวรรค์เป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น การที่เขาเห็นเรื่องราวของเทพสาวผู้นี้คงเป็นเบื้องบนที่ต้องการให้เขาช่วยเหลืออย่างแน่นอน
“เรื่องนั้นข้าไม่อาจนิ่งนอนใจเจ้าค่ะ”
“ปีศาจเช่นนั้นหรือ? มันน่ากลัวกว่าวิญญาณร้ายที่อาจารย์เคยปราบมันหรือไม่” อี้ปินเอ่ยถามด้วยหวาดกลัวเมื่อได้ยินคำว่าปีศาจ
“มันทำให้สวรรค์ปั่นป่วน เทพธิดาต้องตกสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์เจ้าว่ามันน่ากลัวหรือไม่เล่าอาปิน” ใต้ซือเอ่ยบอกศิษย์ผู้ขลาดเขลาแต่มีจิตใจเมตตาของตน
“มันช่างร้ายกาจยิ่งนักขนาดสวรรค์ยังปั่นป่วนแล้วยังจะมีผู้ใดสามารถปราบมันได้หรือขอรับ” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งเสียหมดทุกอย่างหรอกมันต้องมีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น” ใต้ซือหลุนเอ่ยบอกศิษย์ของตน จากนั้นก็หันไปกล่าวกับเด็กน้อยตรงหน้า “ตอนนี้เจ้าไม่อาจใช้พลังของเทพได้ก็เพราะร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้ายังไม่สัมพันธ์กัน เจ้าจะต้องฝึกนั่งสมาธิรวมจิตเข้ากับเจ้าของร่างเสียก่อน”
“เป็นเช่นนี้นี่เองขอบคุณที่ชี้แนะเจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยพลางก้มคำนับด้วยความเคารพ
“ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไรนางไม่ใช่เจ้าของร่างแล้วนางเป็นผู้ใดกันขอรับ หรือว่านางเป็นผีที่มาสิงสู่ร่างของเด็กน้อยกระนั้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามทันทีเมื่อเรียบเรียงทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตนได้ยินจากปากของผู้เป็นอาจารย์
“ข้าก็คือเทพที่ตกสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์อย่างไรเล่า” เหวินซีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงตัดพ้อเล็กน้อย เมื่อเอ่ยถึงเรื่องที่นางก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น นางอยากกลับขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นฟ้ายิ่งนัก
“หะ...ห๊า...ทะ...เทพเช่นนั้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยเสียงสั่นเทาเมื่อได้รับรู้ความจริง
“เจ้าจะตกใจไปใยตอนนี้นางเป็นมนุษย์แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องช่วยสอนสั่งทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ให้นางได้เรียนรู้ด้วยเข้าใจหรือไม่” ใต้ซือหลุนเอ่ยฝากฝั่งให้ศิษย์ของตนดูแลเทพตัวน้อยตรงหน้า นางยังคงต้องปรับตัวอีกมากเมื่อต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
“ขอรับท่านอาจารย์ข้าจะสอนนางเองขอรับไว้ใจข้าได้” อี้ปินยืดอกขึ้นตั้งตรงด้วยความภูมิใจกับหน้าที่ใหม่ของตน เขาจะฝึกฝนนางให้เก่งกาจและฉลาดเอาตัวรอดไร้ผู้เทียมทาน
เหวินซีมองหน้าพี่ชายร่วมสำนักนางจะไว้ใจเขาได้ใช่หรือไม่ แต่พอคิดอีกทีใต้ซือหลุนอุตส่าห์ฝากฝังคงไม่มีอะไรน่ากังวล เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็พลันเบาใจต่อไปนางจะเชื่อใจและทำตามที่พี่ชายร่วมสำนักผู้นี้สั่งสอน
“ข้าขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะอาจารย์อี้ปิน” เหวินซียกมือประสานพร้อมกับโค้งศีรษะลงเล็กน้อย
“เรียกข้าว่าพี่อี้ปินแบบเดิมดีแล้ว” อี้ปินยิ้มเขินกับคำเรียกขานและเอ่ยให้เด็กน้อยเรียกตนแบบเดิมเพราะไม่คุ้นชิน
“เจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยรับคำ
“เจ้าสอนนางให้ดีเล่าอย่าพาออกนอกลู่นอกทางเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่” ใต้ซือหลุนเอ่ยกำชับลูกศิษย์ของตน
“ท่านอาจารย์อย่าได้กังวลข้าจะดูแลนางเอง” อี้ปินเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เหวินซีช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกนอกอารามเป็นอันขาด การที่เจ้าเห็นวิญญาณนั้นนับเป็นเรื่องที่อันตรายหากเจ้าเจอวิญญาณที่ดีก็แล้วไปแต่หากเจ้าเจอกับวิญญาณชั่วร้ายนับว่าอันตรายยิ่งหากมันรู้ว่าเจ้ามองเห็นพวกมัน” ใต้ซือหลุนเอ่ยเตือนเด็กน้อยตรงหน้า
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” เหวินซีงุนงงกับคำกล่าวเตือนของใต้ซือหลุน
“คนที่มองเห็นวิญญาณจะสามารถสัมผัสหรือจับต้องวิญญาณได้ผิดกับคนที่มองไม่เห็น หากมีวิญญาณร้ายรับรู้มันก็จะมาก่อกวนเจ้าแล้วบังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่มันต้องการอย่างไรเล่า”
“แล้วเช่นนี้จะมีวิธีแก้หรือไม่ขอรับ” อี้ปินเอ่ยถาม
“อาตมาถึงได้เรียกนางมาอย่างไรเล่านางต้องฝึกจิตให้เข้มแข็งเวลาเจอวิญญาณร้ายจะได้ไม่ตื่นตกใจ และอาตมาจะสอนนางกำราบพวกผีร้ายที่จะเข้ามากล้ำกราย” ใต้ซือหลุนเอ่ย
“อาจารย์สอนนางคนเดียวหรือขอรับแล้วข้าเล่า” อี้ปินเอ่ยถาม
“อาตมาสอนเจ้าไปหมดแล้วแต่สมองของเจ้ามันไม่เอาไหนเลยไม่เกิดผล” ใต้ซือหลุนเอ่ย
“อ่า...เช่นนั้นข้าไปต้มชาแบบเดิมดีกว่าขอรับ” เอ่ยจบอี้ปินก็คลานเขาออกไปทันที เพราะเขาไม่ชอบการนั่งสมาธิท่องบทสวดเลยจริง ๆ
“เอาล่ะ เจ้ามานั่งสมาธิตรงนี้แรกเริ่มเจ้าจงตั้งใจรวบรวมสมาธิให้นิ่งสงบไม่วอกแวกเสียก่อน การรวมดวงจิตใช่ว่าจะทำเพียงวันเดียวสำเร็จได้”
“เจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยรับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นก็คลานเข้าไปนั่งบนเบาะรองนั่ง เริ่มหลับตาทำสมาธิทันทีนางจะต้องฝึกฝนให้สำเร็จโดยเร็วการดำรงชีวิตของนางจะได้สะดวกขึ้นกว่านี้
ใต้ซือหลุนและเหวินซีนั่งฝึกสมาธิกันอยู่นานหลายชั่วยามจนกระทั่งเวลาล่วงเลยจนบ่ายคล้อย ใต้ซือหลุนลืมตาขึ้นมากวาดสายตามองไปยังเด็กน้อยที่นั่งด้านข้าง เห็นนางนั่งคอพับคออ่อนก็รู้ได้ทันทีว่าสมาธิของนางคงเตลิดไปไกลแล้ว ใต้ซือหลุนเอื้อมมือคว้าพู่ที่เอาไว้ใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายยกขึ้นเคาะไปที่ศีรษะเล็กทันที
เหวินซีสะดุ้งตื่นลืมตาเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ศีรษะ เมื่อเห็นว่าเป็นฝีมือของผู้ใดก็พลันยิ้มเจื่อนแล้วเอ่ย “อากาศมันเย็นสบายแถมยังเงียบยิ่งนักข้าเลยปล่อยจิตเตลิดไปไกลนิดหน่อยเจ้าค่ะ”
“ถ้าเจ้าตั้งใจมันก็เกิดผลดีกับตัวเจ้าเอง” ใต้ซือหลุนเอ่ยเตือนเทพตัวน้อย
“ต่อไปข้าจะตั้งใจให้มากกว่านี้เจ้าค่ะ การใช้ชีวิตบนโลกมนุษย์นั้นมันไม่ง่ายเลยข้ายังปรับตัวไม่ได้เจ้าค่ะ จากปกติไม่เคยหิวก็หิวจนแสบท้อง น้ำก็ต้องอาบมันช่างดูวุ่นวายไปเสียหมด” เหวินซีเอ่ย
“นับว่ายังน้อยนักที่เจ้าเอ่ยมานับต่อจากนี้เจ้าต้องพบเจอความยากลำบากอีกไม่น้อย เอาล่ะเจ้าไปพบกับความลำบากในการดำรงชีวิตของเจ้าได้แล้ว พรุ่งนี้ก็เข้ามาฝึกที่หอสมาธิได้ทุกเมื่อ” ใต้ซือเอ่ยจบ จากนั้นก็หลับตานั่งทำสมาธิของตนต่อโดยไม่ได้สนใจสิ่งภายนอกอีก
เหวินซีเห็นใต้ซือนั่งหลับตาฝึกสมาธิแล้วนางจึงค่อย ๆ คลานเข่าออกมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อลุกเดินก็พบว่าแข้งขาปวดเมื่อยไปหมด จนต้องนั่งบีบนั่งนวดอยู่พักใหญ่จึงจะเดินเหินได้ตามปกติ เหวินซีโอดครวญในใจว่าเป็นมนุษย์ไม่มีอะไรดีสักอย่างร่างกายก็เจ็บป่วยง่ายยิ่งนัก แต่นางจำต้องก้มหน้ายอมรับในชะตากรรมและยังสาบานกับตนเองในใจว่าจะต้องตามหาเจ้าปีศาจตงสิงให้พบแล้วจัดการมันได้ โทษฐานที่มันทำให้นางต้องมาลำบากเช่นนี้