บทที่ 13 ช่วยเหลือวิญญาณสาว
หลายวันต่อมาพลังของเหวินซีก็เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่ามันจะยังน้อยนิดถ้าเทียบกับเมื่อตอนอยู่บนสวรรค์ แต่ตอนนี้นางก็พอช่วยเหลือตัวเองได้บ้างแล้วอย่างเช่น เวลาสระผมนางก็สามารถทำให้มันแห้งได้โดยไม่ต้องเช็ดต้องสางให้ยุ่งยาก แต่นางก็ยังไม่สามารถทำให้ผมสะอาดได้โดยที่ไม่ต้องสระผม ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นนางลองแล้วแต่มันก็ยังไม่ปรากฏ นั่นหมายความว่านางยังไม่สามารถเนรมิตสิ่งของขึ้นมาได้
นางต้องพยายามให้มากขึ้น เหวินซีคิดในใจ
“โป๊ก...โอ๊ย...” เหวินซีร้องเสียงหลงในขณะที่กำลังนั่งดูไม้กวาดกำลังกวาดใบไม้เองอยู่หลังอาราม ไม้กวาดมันขยับเองไม่ได้หากไม่ใช่เพราะฝีมือของเหวินซี
“เดี๋ยวนี้เจ้าหัดขี้เกียจเช่นนั้นหรือเสี่ยวซี” อี้ปินอดหมั่นไส้น้องสาวร่วมโลกผู้นี้ไม่ได้ ตั้งแต่พลังเริ่มกลับมาก็หัดขี้เกียจสันหลังยาว แม้กระทั่งกวาดใบไม้ง่าย ๆ นางก็ยังใช้พลัง เขาจะต้องปรามนางก่อนที่นางจะเสียคนไปมากกว่านี้
อี้ปินคงหลงลืมไปว่าตั้งแต่เหวินซีมาอาศัยอยู่ที่อารามแห่งนี้นางก็ได้เสียคนไปแล้ว นั่นก็เพราะอี้ปินไม่เคยอบรมสั่งสอนหรือสอนงานใด ๆ แก่เหวินซีเลย โดยที่เขาอ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพราะอี้ปินเอ็นดูและสงสารเหวินซีเทพธิดาตกสวรรค์นั่นเอง
“ก็ใบไม้มันร่วงเยอะนี่นาข้าเมื่อย อีกอย่างข้าตัวเล็กแถมยังผอมแห้งเช่นนี้จะมีแรงไปกวาดเองได้อย่างไรกันเล่า” เหวินซีเอ่ยเถียง
“เออ...ก็ถูกของเจ้า ต่อไปเจ้าก็กินข้าวเยอะ ๆ สิจะได้มีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ นี่กระไรกินข้าวแต่ละทีอย่างกับแมวดม” อี้ปินเอ่ยบ่นอีกครั้ง เพราะเหวินซีกินข้าวแต่ละมื้อนั้นช่างน้อยนิดไม่รู้ว่านางยังมีกระเพาะไว้ใส่อาหารอยู่หรือไม่
หรือว่าบนสวรรค์เหล่าเทพเขาไม่กินอาหารกันเหวินซีจึงติดเป็นนิสัย อี้ปินคิดในใจ
“ข้ายังไม่ชินกับรสชาติอาหารของโลกมนุษย์” เหวินซีเอ่ย
“เจ้าพูดมาก็ถูก” อี้ปินเห็นด้วยกับคำตอบของเหวินซี เพราะคิดว่านางไม่ชินกับรสชาติอาหารที่นี่จริง ๆ โดยไม่ทันคิดว่าเหวินซียังไม่เคยลองกินอาหารจากที่อื่นเลยนอกจากฝีมือของตนและอาหารเจที่รสชาติจืดมีแต่ผักเท่านั้น
“ว่าแต่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือไม่เจ้าคะ” เหวินซีเอ่ยถามเพราะปกติแล้วหลังอาหารมื้อเที่ยงพี่ชายร่วมโลกผู้นี้จะหายหัวไปนานจะกลับมาอีกทีก็ตอนเย็น
“เย็นนี้ที่ตลาดจัดงานลอยโคมพวกเราไปเที่ยวกันดีหรือไม่” อี้ปินเอ่ยชวนเพราะเห็นว่าเหวินซีเพิ่งมาอยู่บนโลกมนุษย์คงยังไม่เคยเห็น
“สวยงามหรือไม่” เหวินซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเช่นกัน
“ที่สุด...”
“เช่นนั้นข้าไป” เหวินซีเอ่ยตอบ จากนั้นก็หันหน้าไปทางหอฝึกสมาธิแล้วเอ่ย “แล้ว...” เพียงเท่านั้นอี้ปินก็รู้ในความหมายทันทีโดยไม่ต้องเอ่ยต่อ
“เรื่องนั้นไม่ยาก” เอ่ยจบอี้ปินก็คิดแผนการพาตัวน้องสาวร่วมโลกหนีเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเปิดหูเปิดตา นางจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์มากขึ้น อี้ปินให้เหตุผลกับตัวเองเช่นนั้น
เหตุที่ต้องหนีเที่ยวนั้นก็เพราะว่าใต้ซือหลุนต้องการให้เหวินซีฝึกสมาธิให้พลังของนางกลับมาโดยเร็ว เมื่อพลังของนางกลับมาอย่างน้อยก็จะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ในยามคับขัน แต่วันนี้ไม่ใช่คืนเดือนดับไม่น่าจะมีอะไรต้องกังวล เพราะเหวินซีเองก็สามารถควบคุมตัวเองได้มากขึ้นเวลาก็เจอกับเหล่าวิญญาณ
อี้ปินกระซิบบอกแผนการของตนให้เหวินซีได้ฟังและให้นางทำตาม เหวินซีพยักหน้าเข้าใจ
พอตกตอนเย็นเหวินซีก็เริ่มทำตามแผนการในทันที โดยอ้างกับใต้ซือหลุนว่านางปวดท้องวันนี้ขอเข้านอนแต่หัวค่ำ หากเป็นนางนอนที่ห้องพักท้ายอารามก็ไม่เป็นอะไรนางไม่กลัวว่าใต้ซือหลุนจะมาเห็น แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นทุกวันนี้นางยังนอนอยู่ที่หอฝึกสมาธิอยู่เลย และใต้ซือหลุนก็จะเข้ามาดูบ้างเป็นครั้งคราว
คืนนี้ที่หอสมาธิจึงดับไฟมืดเพื่อเข้านอนและใต้ซือหลุนก็คงจะไม่เดินมาดูอย่างแน่นอน ทางอี้ปินรายนั้นตกมืดก็แสร้งเข้านอนโดยไม่สนใจผู้ใดอีกต่อไปจึงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เหวินซีปูที่นอนของตนที่อยู่ไม่ห่างจากอี้ปินนัก จากนั้นก็นำหมอนข้างมาวางแทนที่ตัวเองแล้วใช้ผ้าห่มคลุมทับอีกทีเป็นอันเสร็จเรียบร้อย เหวินซีทำตามอย่างที่อี้ปินทำก่อนหน้าอย่างไม่ผิดเพี้ยน จากนั้นก็ย่องออกมาด้านนอกและพากันออกจากอารามทันที
“เจ้าออกมาเสียทีข้าอยู่รอเจ้ามาตั้งหลายวันแล้ว” เมื่อก้าวเท้าออกมาได้ไม่เท่าไรเหวินซีก็เจอกับวิญญาณสาวตนเดิม เหวินซียังทำตัวเหมือนคนปกติที่ไม่เห็นสิ่งลี้ลับใด ๆ ชวนอี้ปินคุยนั่นนี่ไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่ได้สนใจ
แต่ทว่า…
“ช่วยข้าด้วย!!” เสียงวิญญาณสาวผู้นั้นเรียกให้เหวินซีช่วยเหลือ แต่เหวินซีคิดว่าวิญญาณสาวผู้นั้นกำลังหลอกล่อนางจึงไม่สนหันไปมองด้านหลังจนกระทั่ง
“ข้าตามหาเจ้าตั้งนานมาอยู่ที่นี่นี่เอง” เสียงทุ้มห้าวของบุรุษดังขึ้นเหวินซีจึงหยุดชะงัก จากนั้นก็ได้ยินเสียงของวิญญาณสาวร้องให้ช่วยเหลืออีกเป็นระยะ ๆ
ในที่สุดเหวินซีก็อดทนต่อเสียงนั้นไม่ไหวจึงหันหลังไปมอง แล้วสิ่งที่เห็นก็คือวิญญาณสาวถูกวิญญาณชายรูปร่างอ้วนท้วมใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่
“เจ้าเห็นสิ่งใดหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องสาวหันหลังเหมือนกำลังมองบางสิ่งอยู่
เหวินซีไม่ตอบอี้ปินแต่ล้วงมือเข้าไปยังย่ามใบน้อยที่นางสะพายติดตัวมา ยันต์ขับไล่ภูตผีของใต้ซือหลุนถูกนำมาใช้ เหวินซีเดินดิ่งไปยังวิญญาณชายอ้วนที่หันหลังอยู่ เหวินซีเอื้อมมือสะกิดบ่าของมัน เมื่อวิญญาณอ้วนถูกขัดจังหวะจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
“ผู้ใดมาขะ...” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบยันต์สีเหลืองก็แปะลงบนหน้าผากของมัน “อ๊าก...”
วิญญาณชายอ้วนกรีดร้องดังลั่นจากนั้นก็สลายหายไปทันที อี้ปินเห็นทุกการกระทำของเหวินซีเขามีสีหน้าซีดเผือดพลางคิดในใจ ซวยแล้วตรู...
“ข้าขอบใจมากที่ช่วยเหลือข้า” วิญญาณสาวเอ่ย
“ข้าคิดเอาไว้ไม่ผิดจริง ๆ ว่าเจ้าต้องมองเห็นข้าอย่างแน่นอน” วิญญาณสาวยังเอ่ยต่อและเดินวนเวียนมารอบ ๆ ตัวเหวินซีตลอดเวลา
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงแสร้งมองไม่เห็นข้าเล่า” วิญญาณสาวยังเอ่ยถามไม่หยุด ตลอดการเดินทางตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาจากอาราม
“หุบปากข้าหนวกหู!!” เหวินซีอดรนทนไม่ไหวกับเสียงเอ่ยถามของวิญญาณสาวที่ถามไม่หยุดหย่อน
“ข้ายังไม่ได้เอ่ยกับเจ้าสักคำเดียวเลยนะเสี่ยวซี” อี้ปินสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ ๆ น้องสาวร่วมโลกก็ตะหวาดตนเสียงดังลั่นทั้ง ๆ ที่ตนก็ยังไม่ได้เอ่ยสักเพียงครึ่งคำ
“ข้าไม่ได้หมายถึงท่าน” เหวินซีเอ่ยบอกพี่ชาย
“ไม่ได้หมายถึงข้า เช่นนั้นก็...” อี้ปินไม่ได้เอ่ยต่อแต่สายตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว เหวินซีพยักหน้าให้อีกฝ่ายเป็นคำตอบ
“ข้าเตือนเจ้าแล้วว่าห้ามยุ่งกับเหล่าวิญญาณ” อี้ปินเอ่ยบอกพลางล้วงมือหยิบของบางอย่างออกจากย่ามที่ตนสะพายติดตัวเอาไว้ นั่นก็คือข้าวสารเสกของใต้ซือหลุนนั่นเอง อี้ปินขว้างข้าวสารเสกไปรอบ ๆ ตัวของเหวินซีโดยไม่มีเป้าหมาย เพราะเขามองไม่เห็นสิ่งลี้ลับพวกนี้
วิญญาณสาวหายตัวหลบบางสิ่งที่อีกฝ่ายซัดมาทางนั้นทีทางโน้นที เมื่อหันมามองพี่ชายร่วมโลกเหวินซีก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ตัวเล็กบอกเจ้าคนหน้าเหม็นว่าข้ามาดี ข้าไม่ทำร้ายใคร” วิญญาณสาวเอ่ยบอกเหวินซี
“พี่อี้ปินหยุดมือเถิด” เหวินซียอมทำตาม
“มันไปแล้วหรือ?” อี้ปินหยุดมือที่ซัดข้าวสารเสกแล้วเอ่ยถาม
“ยัง แต่เขามาดี” เหวินซีเอ่ยบอก
“จะไว้ใจได้อย่างไรไล่มันไปให้พ้นจะดีกว่า” อี้ปินเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“เอาน่า...เรารีบเดินไปกันเถิดชักช้าเช่นนี้เมื่อไรจะถึงที่หมายเสียที” เหวินซีเริ่มเหนื่อยใจทั้งคนทั้งผี นางอยากไปเที่ยวอยากไปเห็นโคมไฟสวย ๆ จะแย่อยู่แล้ว แต่นี่กระไรมัวแต่ทะเลาะกันแล้วเมื่อไรจะเดินไปถึงเสียที
เหวินซีเดินจ้ำอ้าวโดยที่ไม่สนใจสิ่งใดอีก วิญญาณสาวตนนั้นก็ตามเหวินซีมาติด ๆ และตามด้วยอี้ปิน เหวินซีหยุดเดินอย่างกะทันจนทำให้วิญญาณสาวที่ตามมาติด ๆ ชนเข้าอย่างจัง ทั้งเหวินซีและวิญญาณสาวต่างเซด้วยกันทั้งคู่