บทที่ 12 เริ่มมีพลังเทพ
เวลาผ่านไปนานสามเดือนเหวินซีทั้งฝึกสมาธิทั้งกินและนอนอยู่ที่หอฝึกสมาธิ นางมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่จนกระทั่งในที่สุดพลังของนางก็เริ่มกลับมาแล้ว
เหวินซีชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงมุมห้องให้เลื่อนไปอีกทางเก้าอี้ก็เลื่อนไปตามที่นางต้องการ เหวินซีดีใจลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น
“เจ้าทำได้แล้วเสี่ยวซีข้าดีใจกับเจ้าด้วยจริง ๆ” อี้ปินที่นั่งลุ้นอยู่ตรงนั้นด้วย ก็ออกอาการดีใจไม่แพ้กันทั้งสองกอดกันกลมแล้วกระโดดหมุนตัวไปด้วยกัน
“ข้าเองก็ดีใจเหลือเกิน...” เหวินซีเอ่ย แต่นางอยากจะบอกต่ออีกสักนิดว่านางดีใจเหลือเกินที่จะไม่ต้องทนกินอาหารบนโลกมนุษย์อีกแล้ว หากพลังของนางกลับมาอย่างแรกที่นางต้องการคืออาหาร
“ไหน ๆ เจ้าลองทำอีกสิ...” อี้ปินเอ่ยบอก
เหวินซีไม่รอช้านางนึกถึงสิ่งที่ต้องการจากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ไปที่ไม้กวาดที่อยู่ไม่ไกลมันขยับและกวาดพื้นเองได้อย่างที่เหวินซีต้องการ เหวินซีหันไปยิ้มกับอี้ปินจนตาหยี
“เจ้าเก่งมากเสี่ยวซีข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
“วันนี้เราไปตลาดกันดีหรือไม่เจ้าคะ ข้านั่งอยู่ในนี้ไม่ได้ออกไปไหนมาตั้งหลายเดือนแล้ว ข้าอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” เหวินซีเอ่ยบอกพี่ชายร่วมโลก ที่ผ่านมานางไม่ได้ก้าวเท้าออกจากหอฝึกสมาธิเลย มีท่านใต้ซือที่มานั่งภาวนากับนางบ้างในตอนกลางวัน ส่วนตอนกลางคืนนั้นก็จะมีอี้ปินมานอนอยู่ด้วยตลอดทุกวัน ด้วยหอฝึกสมาธินั้นเป็นพื้นที่โล่งและกว้างขวางจึงไม่รู้สึกว่าคับแคบ
ส่วนคืนเดือนมืดนั้นใต้ซือหลุนจะมานั่งภาวนาและสวดมนต์อยู่ด้วยตลอดทั้งคืน เนื่องจากมีวิญญาณไม่ได้รับเชิญเข้ามาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง
เรื่องอาหารการกินนั้นเป็นหน้าที่ของอี้ปินที่คอยจัดหามาให้ตลอดทั้งสามมื้อ เรียกได้ว่านางแทบไม่ต้องทำอะไรเลยตลอดสามเดือนมานี้
“พี่อี้ปินเหตุใดจึงมีคนมารับสมุนไพรน้ำกันมากมายเช่นนี้เล่า” เหวินซีเอ่ยถาม เมื่อเดินลงมาด้านล่างแล้วเจอชาวบ้านยืนต่อแถวขอรับสมุนไพรน้ำแก้ปวดเมื่อยกันเป็นจำนวนมาก
“อ้อ...ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าคุณชายที่เจ้าช่วยเหลือเมื่อคราก่อนนั้นเดินทางมาที่อาราม เขามีใบหน้าที่สดใสขึ้น อาการปวดหลังก็หายเป็นปลิดทิ้ง เรื่องนี้คุณชายบอกกล่าวแก่คนข้างเคียงจากนั้นก็พูดกันปากต่อปากจึงเป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ” อี้ปินเอ่ย
“แล้วพวกเขาจะหายกันหรือ? อาการของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันลำพังยาสมุนไพรน้ำมันคงรักษาให้หายขาดไม่ได้หรอก” เหวินซีเอ่ยบอก
“เอาน่า...อย่างน้อยยาสมุนไพรของท่านอาจารย์ก็พอช่วยบรรเทาได้บ้างแหละ เจ้าอย่าคิดมากเลยเรารีบไปกันเถิด” อี้ปินเอ่ยบอกอย่างไม่ใส่ใจนัก
จากนั้นทั้งสองก็เดินทางมายังตลาด ตอนนี้เหวินซีร่างกายเริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแล้วไม่ได้ผอมแห้งหนังหุ้มกระดูกเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าเทียบกับเด็กสาวรุ่นเดียวกันก็ยังนับว่าผอมและเตี้ยเกินไป ส่วนการแต่งกายนั้นนางยังคงต้องแต่งกายเหมือนบุรุษเพราะอยู่ในอารามจะได้ไม่เป็นที่ครหาเอาได้
ระหว่างทางที่เดินมายังตลาดนั้น เหวินซีได้พบกับวิญญาณเร่ร่อนอยู่บ้างแต่นางสามารถทำตัวให้เป็นปกติได้ เนื่องจากหลายเดือนที่ผ่านมานางพบเจอกับวิญญาณมาหลายตนแล้ว และส่วนมากก็เป็นวิญญาณร้ายและน่ากลัวด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อมาเจอวิญญาณเร่ร่อนทั่วไปนางจึงไม่รู้สึกตื่นกลัวเลยสักนิด นางสามารถใช้ชีวิตให้เหมือนปกติได้แล้ว เหวินซีเดินชมตลาดด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน ตั้งแต่มายังโลกมนุษย์นางยังไม่ได้เรียนรู้สิ่งใดจากที่นี่มากมายนักเพราะยังต้องนั่งสมาธิรวมจิตให้เข้ากับร่างกาย แต่ตอนนี้นางสามารถรวบรวมจิตได้สำเร็จแล้วและนางเชื่อว่าอีกไม่นานพลังของนางก็จะสมบูรณ์อย่างแน่นอน
ระหว่างที่กำลังเดินอย่างเพลิดเพลินนั้นก็มีเสียงกรีดร้องของชาวบ้านดังมา เหวินซีหันมองไปตามเสียงนั้นพบว่ามีเด็กคนหนึ่งอยู่กลางถนน และมีรถม้ากำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว ดูเหมือนว่ารถม้าก็ไม่อาจหยุดได้ทันและชาวบ้านก็ไม่อาจเข้าไปช่วยเด็กออกมาได้เหมือนกัน
เหตุการณ์ตรงหน้าเกิดขึ้นเร็วมากเพียงชั่วลมหายใจเท่านั้นเหวินซีก็ใช้พลังของตน เด็กน้อยคนนั้นคล้ายโดนรั้งตัวให้ถอยหลังออกมาเองอย่างฉิวเฉียดเพราะเมื่อเด็กน้อยถอยออกมารถม้าก็แล่นผ่านพอดิบพอดี
บางคนทนดูไม่ได้ถึงกับต้องยกมือปิดบังใบหน้าของตนเอง เพราะคิดว่าอย่างไรเสียเด็กน้อยก็หลบไม่พ้นต้องโดนรถม้าชนอย่างแน่นอน
บางคนที่ยืนดูต่างก็ตกตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและพวกเขาก็ดูไม่ทันเหมือนกันว่าเด็กน้อยรอดจากการถูกชนมาได้อย่างไร มีเพียงอี้ปินที่ยืนอยู่ข้างเหวินซีเท่านั้นที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีว่าเด็กน้อยรอดพ้นมาได้อย่างไร
“เก่งมากน้องสาว...วันนี้พี่ชายจะเลี้ยงอาหารดี ๆ แก่เจ้าเอง” อี้ปินเอ่ยพลางวางมือของตนไว้บนศีรษะของเด็กน้อยแล้วโยกเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู
“เงินที่ได้จากคราก่อนยังเหลืออยู่อีกหรือ?” เหวินซีเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าไม่เหลือ” อี้ปินเอ่ยบอก
“อ้าว...แล้วเอาเงินที่ไหน”
“คุณชายผู้นั้นมอบเงินให้ข้าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอนที่เขาเดินทางมาที่อารามเมื่อหลายวันก่อน” อี้ปินเอ่ยบอก
“แล้วท่านจะเลี้ยงอะไร”
“เจ้าอยากกินอะไรเล่า” อี้ปินเอ่ยถาม
“ข้าไม่อยากกินอาหารบนโลกมนุษย์” เหวินซีเอ่ยบอก เพราะว่าเชื่อไปสนิทใจแล้วว่าอาหารบนโลกมนุษย์คงรสชาติเหมือนกันกับที่อี้ปินและแม่ครัวที่โรงทานทำให้กิน มันไม่อร่อยเลยสักนิดในความคิดของนาง นางจึงไม่อยากกินอะไรทั้งสิ้นบนโลกมนุษย์นี้
“เจ้าคิดถึงอาหารข้างบนนั้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถามพร้อมกับชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้า เหวินซีพยักหน้าเป็นคำตอบพร้อมกับทำหน้าเศร้า
อี้ปินก็ไม่ได้รบเร้าอะไรเพราะคิดว่าอาหารบนสรวงสวรรค์คงอร่อยมากและรสชาติก็คงแตกต่าง จะให้เหมือนกับอาหารของมนุษย์ธรรมดาได้อย่างไรกัน
“เอาน่า...อย่าเศร้าไปเลยพลังของเจ้าเริ่มกลับมาแล้วอีกไม่นานเจ้าก็จะได้กินอาหารของเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ?” อี้ปินเอ่ยปลอบ
“ก็จริงเจ้าค่ะ”
“เจ้าไม่กินอาหารเช่นนั้นเราไปซื้อหมั่นโถกินดีหรือไม่”
“ข้าชอบกินหมั่นโถเจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ยตอบ หมั่นโถเป็นอาหารอย่างเดียวที่นางเคยกินแล้วรสชาติมันไม่แย่มากนักจึงเลือกที่จะกินแทนมื้ออาหารที่อี้ปินเสนอเลี้ยง
เหวินซีไม่รู้ตัวเลยว่าตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว…
ทั้งสองซื้อหมั่นโถมาหลายลูก เดินไปกินไปอย่างไม่สนใจว่าจะเสียกิริยาเพราะทั้งสองไม่มีบิดามารดาไม่มีชาติตระกูลจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเสื่อมเสียไปถึงผู้ใด
ตลาดแห่งนี้มีผู้คนคึกคักมากกว่าเมื่อก่อน ส่วนหนึ่งมาจากชาวบ้านที่หนีศึกสงครามมาจากชายแดนใาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ผู้คนจึงเดินจับจ่ายซื้อของกันแน่นจนแทบเบียดเสียดกัน เหวินซีเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเฉิดฉายอยู่บนถนนนางกรีดกรายชายตามองบุรุษด้วยสายตายั่วยวนออกหน้าออกตา แต่บุรุษทั้งหลายต่างก็ไม่ได้สนใจในตัวสตรีผู้นั้นเลยสักนิด
เมื่อสตรีผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้ไม่รู้ว่ามัวแต่เดินทอดสายตาให้บุรุษหรือว่าเหวินซีตัวเล็กกันแน่สตรีผู้นี้จึงเกือบจะเดินชนนาง เหวินซีเดินหลบสตรีชุดแดงทันที
“เสี่ยวซีเจ้าเดินหลบผู้ใดกัน” อี้ปินที่เดินอยู่ด้านข้างสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม เพราะบริเวณนี้ก็ไม่เห็นมีใครที่จะเดินชนนางเลยสักนิด
“พี่อี้ปินมะ...” เหวินซีกำลังจะบอกว่าพี่อี้ปินมองไม่เห็นหรือ?แต่ก็ถูกเอ่ยขัดเสียก่อน
“เจ้าเห็นข้าหรือ?เด็กน้อย” เหวินซียังไม่ทันจะเอ่ยจบ เสียงหวานของสตรีชุดแดงที่เหวินซีเดินเลี่ยงเมื่อครู่ก็เอ่ยขัดขึ้นมาทันที เหวินซีตกใจอ้าปากค้างไม่รู้ว่าสตรีชุดแดงมาอยู่ด้านหลังของนางได้อย่างไรกัน
และไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้แล้วว่านางเป็น.... เหวินซีเคยเห็นแต่วิญญาณที่น่าเกลียดน่ากลัว ยังไม่เคยเห็นวิญญาณตนใดงดงามและเหมือนมนุษย์ขนาดนี้ จึงไม่คิดว่าสตรีชุดแดงจะเป็นวิญญาณ
นางพลาดไปเสียแล้ว…
“เจ้าเห็นข้า...เจ้าเห็นข้า” สตรีชุดแดงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
“เสี่ยวซีเจ้าเป็นอะไร” อี้ปินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเพราะเห็นอีกฝ่ายมีใบหน้าขาวซีดเหมือนกำลังตกใจบางสิ่งบางอย่างอยู่
“ป่าวเจ้าค่ะ เรากลับอารามกันเถิดข้าจะรีบกลับไปนั่งสมาธิ” เหวินซีเอ่ยจบก็รีบเดินจ้ำอ้าวโดยไม่รีรออี้ปินอีก ส่วนสตรีชุดแดงนั้นก็ยังคงตามติดเหวินซีอย่างไม่ลดละ และยังคงถามคำถามเดิมนั่นคือเจ้าเห็นข้า? เจ้าเห็นข้าอยู่อย่างนั้น
ทางด้านเหวินซีแกล้งทำไม่ได้ยินในสิ่งที่อีกฝ่ายถามและแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพื่อให้วิญญาณสาวชุดแดงนั้นเข้าใจว่านางไม่ได้เห็นวิญญาณจริง ๆ
เมื่อมาถึงอารามเหวินซีก็รีบเดินตรงเข้าหอฝึกสมาธิทันที ส่วนผีตนนั้นได้หายวับไปแล้วตั้งแต่ก่อนที่นางจะเข้ามาภายในอาราม เหวินซีผ่อนลมหายใจออกอย่างโล่งอก เกือบไปแล้ว…