บทที่ 14 ปล่อยโคมส่งสาร์นถึงองค์เง็กเซียน
วิญญาณสาวตกใจอ้าปากค้างไม่คิดว่ามันจะสามารถสัมผัสมนุษย์ได้ หรือว่าเด็กน้อยผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์? วิญญาณสาวได้แต่สงสัย
อี้ปินที่เห็นน้องสาวร่วมโลกจู่ ๆ ก็เซจนเกือบหัวทิ่มก็รีบเดินเข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวว่านางจะได้รับอันตราย
“เสี่ยวซีเกิดอันใดขึ้น?” อี้ปินเอ่ยถาม
“เสี่ยวซีเจ้าเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นภูตผีกันแน่ เหตุใดข้าถึงสัมผัสเจ้าได้” วิญญาณสาวเรียกเหวินซีตามที่อี้ปินเรียกและเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัยเช่นกัน
เหวินซีมองอี้ปินจากนั้นก็มองไปยังวิญญาณสาว นางรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมาก หากวิญญาณสาวยังติดตามนางอยู่อย่างนี้ รับรองว่าวิญญาณทุกตนในตลาดแห่งนี้ได้รับรู้เป็นแน่ว่านางสามารถมองเห็นวิญญาณได้ และนั่นก็หมายถึงหายนะย่อมมาเยือนนาง
“พี่สาวหากท่านอยากติดตามข้าท่านก็อย่าให้วิญญาณตัวอื่นรับรู้เด็ดขาดว่าข้าสามารถมองเห็นพวกเขาได้ ท่านเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” เหวินซีไม่ตอบอี้ปินแต่เอ่ยกับวิญญาณสาวตนนั้น
“ห๊ะ...มีวิญญาณติดตามเจ้าอย่างนั้นหรือ?” อี้ปินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหวาดกลัว เหวินซีพยักหน้าเป็นคำตอบ
“นางไม่ทำอันตรายพวกเราหรอก เพียงแต่นางพูดมากและอาจทำให้วิญญาณทั้งตลาดรู้ว่าข้ามองเห็นพวกมัน” เหวินซีเอ่ยตอบอี้ปินและยังไม่เลิกเหน็บแนมวิญญาณสาวพูดมากตนนี้
“นั่นมันหายนะเลยนะเสี่ยวซี นี่เจ้าห้ามให้วิญญาณตนใดรู้เด็ดขาดเลยเข้าใจหรือไม่” ประโยคหลังอี้ปินเอ่ยกับวิญญาณที่ติดตามเหวินซีมา แม้จะไปรู้ว่ามันอยู่ทิศทางใดก็ตาม
“ชิ...เจ้าหน้าเหม็น” วิญญาณสาวย่นจมูกใส่อี้ปินที่เห็นท่าทางอวดเก่งของเขา จากนั้นวิญญาณสาวก็ติดตามไปอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่คิดจะเอ่ยถามสิ่งใดอีก แต่…
“ว้าว...โคมอันนั้นสวยจัง”
“บุรุษคนนั้นดูดีมากเลย”
“ข้าอยากกินอันนั้น” และก็หลาย ๆ คำพูดที่วิญญาณสาวเอ่ยตลอดการเดินชมงาน แต่เหวินซีคร้านจะสนปล่อยให้วิญญาณสาวพูดอยู่คนเดียว หากมีวิญญาณตนใดผ่านมาก็คงคิดว่าวิญญาณสาวผู้นี้พูดคนเดียวเหมือนผีบ้า
“แย่แล้ว มันมาแล้ว...” เสียงวิญญาณสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
“ใคร?” เป็นครั้งแรกที่เหวินซีเอ่ยกับวิญญาณสาวตนนี้
“เจ้าถามข้าหรือ?” อี้ปินได้ยินเหวินซีเอ่ยจึงเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ เพราะตอนนี้เขารับรู้แล้วว่าไม่ใช่ตนเองเท่านั้นยังมีวิญญาณอีกตนหนึ่งที่อยู่ตรงนี้
“ข้าไม่ได้ถามท่าน” เหวินซีเอ่ยตอบแล้วหันไปมองวิญญาณสาวเพื่อเอาคำตอบ ณ ยามนี้ผู้คนคึกคักหนาตาเดินเบียดเสียดกัน ร้านค้าร้านรวงไม่ก็น้อย จึงไม่มีใครสนใจกันสักเท่าไรนัก ต่างคนต่างสนใจโคมไฟสวยงามที่ประดับอยู่ด้านบนอาคารตามท้องถนนและตามร้านขายโคมที่ตั้งแผงขายมากมายล้วนรูปร่างแปลกตาและงดงาม
“เจ้าเห็นหรือไม่ นั่นมันไม่ใช่คนแต่มันมีพลังที่แข็งแกร่งมันมักจะหาวิญญาณเพื่อสูบพลังวิญญาณด้วยกัน” วิญญาณสาวเอ่ยตอบ
“เช่นนั้นก็ได้ด้วยหรือ?” เหวินซีเอ่ยด้วยความสนใจ
“ได้สิ มันก็เหมือนบนโลกมนุษย์นั่นแหละใครที่แข็งแกร่งก็อยู่รอด แถวย่านนี้ไม่มีวิญญาณตนใดสู้มันได้หรอกหากเจอก็ต้องรีบหลบหนีไปให้ไกล ๆ ไม่เช่นนั้นจะถูกมันสูบพลังวิญญาณอาจไม่ได้ไปเกิดใหม่อีกเลย”
“แล้วเจ้าอยู่รอดมาได้อย่างไรกัน” เหวินซียังเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าหลบเก่ง” วิญญาณสาวเอ่ยตอบอย่างโอ้อวดแล้วเอ่ยต่อ “ไม่เพียงแต่เหล่าวิญญาณนะแม้กระทั่งมนุษย์หากดวงจิตอ่อนแอมันก็สามารถเข้าสิงร่างดึงพลังชีวิตของมนุษย์ผู้นั้นได้ แล้วมนุษย์ผู้นั้นก็จะค่อย ๆ หมดแรงตายไปอย่างช้า ๆ”
“เช่นนั้นมันก็ชั่วช้ามากเลยน่ะสิ” เหวินซีที่ได้ฟังก็อดที่จะโมโหไม่ได้
“ที่สุดเลย นั่น ๆ มันมาใกล้แล้วข้าหลบก่อนนะเอาไว้เจอกันใหม่ เจ้าก็ระวังอย่าให้มันรู้เล่าว่าเจ้าเห็นมัน ข้าไปล่ะ...” เอ่ยจบวิญญาณสาวก็หายวับไปทันที เหวินซีหันไปมองอี้ปินแล้วส่งยิ้มให้เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของตนเองไม่ให้ไปมองวิญญาณชั่วร้ายตนนั้น
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” อี้ปินเอ่ยถาม
“เดี๋ยวกลับไปแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ท่านมีเงินเหลืออยู่หรือไม่?” เหวินซีเอ่ยถาม
“ยังพอเหลือ”
“ข้าอยากลอยโคม ข้าอยากเขียนบางอย่างลงบนนั้นเผื่อว่ามันจะสามารถส่งไปยังเบื้องบนได้”
“ได้…เช่นนั้นเราไปซื้อโคมมาเขียนกันเถอะ” เอ่ยจบอี้ปินก็จูงมือเหวินซีเดินไปซื้อโคมที่ร้านค้าใกล้ ๆ
เหวินซีเดินผ่านวิญญาณชั่วร้ายตนนั้น มันเดินเบียดเข้ามาใกล้จนเหวินซีต้องแสร้งขยับตัวเบียดเกาะแขนอี้ปินแทนการจับมือเพื่อไม่ให้ร่างกายได้สัมผัสมัน ส่วนมากวิญญาณจะไม่สามารถสัมผัสโดนตัวมนุษย์ได้ มันจึงไม่ทุกข์ร้อนหากจะเดินผ่านมนุษย์โดยที่ไม่ต้องหลบหลีกเพราะอย่างไรมันก็เดินทะลุร่างอยู่ดี
“หึ...จู่ ๆ ก็มากอดข้าเสียอย่างนั้นจะอ้อนเอาอะไรอีก” อี้ปินเอ่ยถาม
“ข้าอยากกินหมั่นโถเจ้าค่ะ” เหวินซีเอ่ย
“กินเป็นอยู่อย่างเดียวนี่แหละ ไม่ลองกินอย่างอื่นดูบ้างเล่า” อี้ปินเอ่ย
“ข้าไม่ชอบ มันไม่อร่อย”
“เช่นนั้นตามใจเจ้าก็แล้วกัน”
อี้ปินและเหวินซีซื้อโคมไฟมาหนึ่งอันโดยที่อี้ปินเสียสละให้เหวินซีได้เขียนข้อความลงไปบนโคม เหวินซีบรรจงเขียนตัวอกษรตัวโต ๆ ข้อความที่เขียนนั้นสั้น ๆ แต่ความหมายของมันชัดเจน
‘ขอพลังให้ผู้ล่าปีศาจด้วยเพคะท่านเง็กเซียน’ พร้อมกับลงชื่อเหวินซีลงไปในนั้น
ทั้งสองได้มาปล่อยโคมตรงสะพานไม้ที่ข้ามระหว่างสองฝั่งน้ำ ระหว่างที่โคมถูกปล่อยไปแล้วนั้นเหวินซีก็พลันได้ยินเสียงผู้คนเอะอะโวยวายอยู่ริมน้ำ
“มีคนกำลังจะกระโดดน้ำช่วยด้วย!” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
เหวินซีหันไปมองตามเสียงก็พลันให้ตกใจ ร่างของบุรุษผอมสูงกำลังย่างก้าวลงสู่ผืนน้ำแต่ด้านหลังของบุรุษผู้นั้นคือวิญญาณชั่วที่เพิ่งเจอเมื่อครู่นี้ มันกำลังจะฆ่ามนุษย์...ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
เหวินซีร้อนใจเป็นอย่างมากนางอยากจะช่วยเหลือมนุษย์ผู้นั้นแต่ตอนนี้นางยังไม่สามารถทำกระไรได้ เหวินซีเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้ามองโคมของตนเองที่เพิ่งลอยสูงออกไป
‘สาร์นของนางยังคงไม่ไปถึงท่านเง็กเซียนในตอนนี้เป็นแน่’
“พี่อี้ปินลงไปช่วยบุรุษผู้นั้นได้หรือไม่” เหวินซีเมื่อช่วยเหลือเองไม่ได้ก็ต้องมองหาผู้อื่น และผู้อื่นนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพี่ชายร่วมโลกของนางนั่นเอง
“เขาอยากตายเองอันนี้ข้าไม่ยุ่ง” อี้ปินรีบเอ่ยปฏิเสธทันควัน
“ใช่ที่ไหนกันเล่า บุรุษผู้นั้นถูกวิญญาณร้ายควบคุมเขาไม่มีสติ” เหวินซีเอ่ยบอก
“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ ข้าว่าพวกเรารีบกลับอารามเถิดอย่ายุ่งกับเรื่องนี้เลย ประเดี๋ยวจะเดือดร้อน” อี้ปินเอ่ยพร้อมกับจูงมือของเหวินซีเพื่อจะพากลับอาราม
“ข้ามายังโลกมนุษย์ก็เพื่อตามล่าปีศาจตงสิงที่ร้ายกาจจนทำให้สวรรค์ปั่นป่วน แต่ตอนนี้ข้าแค่เจอวิญญาณกระจอกตรงหน้าแล้วยังนิ่งเฉย ข้าจะยังมีหน้าไปล่าปีศาจได้อยู่เช่นนั้นหรือ?” เหวินซีเอ่ย
ระหว่างที่อี้ปินและเหวินซีกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น บุรุษที่โดนวิญญาณร้ายควบคุมบัดนี้กำลังเดินลงน้ำไปอย่างช้า ๆ ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดใจกล้าคิดช่วยเหลือ ชาวบ้านที่เป็นบุรุษใจกล้าต่างลงไปช่วยชุดดึงให้ขึ้นมาจากน้ำ แต่ทว่าเมื่อพวกเขากำลังจะดึงบุรุษผู้นั้นขึ้นจากน้ำ ก็พลันโดนสะบัดดีดหงายหลังออกมาไกล ทุกคนล้วนไม่สามารถช่วยบุรุษผู้นั้นขึ้นมาจากน้ำได้ ไม่รู้ว่าเขาเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนถึงได้สะบัดทีเดียวผู้คนกระเด็นกระดอนล้มไม่เป็นท่าเช่นนี้
“จะให้ข้าทำอย่างไรบอกมา” อี้ปินกัดฟันเอ่ย เมื่อได้ฟังเหวินซีก็พลันคิดได้ มันเป็นเรื่องจริงหากพวกเขาหนีไม่คิดช่วยเหลือก็คงต้องหนีอยู่เช่นนี้ร่ำไป คนเราจะเก่งได้ก็ต้องฝึกฝน หากจะล่าปีศาจให้เก่งกาจก็ต้องฝึกล่าวิญญาณกระจอกไปก่อน อี้ปินคิดทบทวนในใจอย่างถี่ถ้วนพลันมีท่าทีหึกเหิมขึ้นมาขึ้นมา!