ตอนที่ 3 ตัวน่ารำคาญ!!
รถม้าของท่านอ๋องเคลื่อนตัวออกไปแล้วพร้อมกับสายตาที่มองมาจากชั้นสองของหมิงอันเฟยที่มองอยู่ด้านบนนี้ นางเกือบจะหลบไม่ทันเมื่อเขามาที่หอต้าหรงทันทีหลังจากที่จับคนร้ายได้
นางทันเพียงแค่พับเสื้อคลุมเอาไว้และรีบหลบไปด้านหลังม่านในห้องผู้ดูแลบัญชีเท่านั้น
“เป็นถึงท่านอ๋องเชียวหรือ นึกไม่ถึงว่าจะลงมาจัดการคนร้ายด้วยตัวเอง ดูแล้วก็ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก”
สองวันถัดมา
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไร”
“คือว่า….พวกนาง…”
เมื่อกงหลี่พูดว่า “พวกนาง” เขาก็ทราบได้ทันทีว่าคือผู้ใดหากมิใช่สตรีบุตรสาวขุนนางที่น่ารำคาญสองคนนั้น ผู้ที่พึ่งได้แต่งตั้งเป็นพระสนมของเขาโดยที่เขาไม่ทราบมาก่อนเมื่อกลับมาจากการรบกับเมืองฉาง ชายแดนทางตะวันตก
เมื่อเขากลับมาเมืองหลวงก็มีข่าวว่า ว่าที่คู่หมายของเขาในตอนนั้น “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทไปแล้ว และฝ่าบาทเองก็เกรงว่าเขาจะโกรธจนก่อกบฏขึ้นมาจึงได้ประทาน “ตัวน่ารำคาญ” สำหรับเขามาถึงสองคน คงกลัวว่าเขาจะมีเวลาคิดร้ายกับพี่ชายคนละมารดาของตนเองกระมัง…
"พวกนางมาวุ่นวายอันใดที่นี่
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ท่านอ๋อง…โอ๊ย!!”
สตรีสองคนที่รีบวิ่งมาฟ้องเขาพร้อมกับสภาพที่บอกได้ว่าคงมีเรื่องกันมาก่อนหน้านี้ เมื่อสตรีในชุดสีแดงเลือดนั้นเดินมาถึง นางจึงได้หันมามองพระพักตร์ที่ยังเรียบเฉยและมิได้มองมาที่นางทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูล”
“เรื่องใด”
“หม่อมฉันถูกพระสนมลี่ฟางตบตีก่อนนะเพคะท่านอ๋อง นางเป็นคนตบหม่อมฉันและยังบอกว่าเป็นเพียงบุตรขุนนางชั้นต่ำ นางเป็นบุตรแม่ทัพหม่อมฉันก็เลย….”
กงหลี่เห็นเพียงท่านอ๋องที่หยุดมือเอาไว้ที่พู่กัน เขาไม่เขียนต่อแล้วนั่นแสดงว่าท่านอ๋องกำลังหมดความอดทน
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“กฎของจวนว่าอย่างไรเกี่ยวกับผู้ที่ก่อความวุ่นวายตบตีกันในจวน”
“โบยคนละห้าไม้และให้กักบริเวณพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอ๋องเพคะ หากจะลงโทษก็ขอทรงทอดพระเนตรด้วยเพคะว่าผู้ใดที่สมควรถูกทำโทษ”
“สนมลี่ เจ้าคิดว่าผู้ใดที่สมควรถูกลงโทษงั้นหรือ”
“นางเพคะ สนมซูเป็นเพียงสนมชั้นผู้น้อยและเข้าจวนมาทีหลังหม่อมฉัน นางไม่เพียงไม่เคารพหม่อมฉันที่เป็นถึงบุตรท่านแม่ทัพ แต่ว่านางยังกล้าตบหม่อมฉันอีก ดังนั้น…”
“แล้วเจ้าได้ตบนางหรือไม่”
“หม่อม….พระองค์ทรงตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ”
ท่านอ๋องพับรายงานเก็บแต่ก็ยังมิได้มองพวกนางอีกเช่นเคย เขายื่นรายงานนั้นส่งให้กงหลี่และหันมาใช้ตราประทับเพื่อจะปิดผนึกจดหมายอีกฉบับส่งตามไป
“ข้าถามเจ้าว่า…เจ้าได้ตบนางกลับหรือไม่”
“หม่อมฉัน….”
“สนมลี่นางให้สาวใช้จับหม่อมฉันเอาไว้และตบไม่ยั้งเลยเพคะท่านอ๋อง ฮือ…..หม่อมฉันเต็มไปด้วยรอยเล็บของนางพระองค์ทอดพระเนตรสิเพคะ”
“ท่านอ๋องเพคะ ซูหลิงนาง….”
“กงหลี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“พาพวกนางออกไป โบยคนละห้าไม้กักบริเวณสิบวันอย่าสร้างความวุ่นวาย”
“ท่านอ๋องเพคะ!! หม่อมฉันเป็นถึงบุตรีของท่านแม่ทัพ…”
“แล้วอย่างไร เป็นลูกแม่ทัพแล้วทำผิดได้งั้นหรือ ที่นี่จวนของข้า ผู้ใดทำผิดข้าไม่เว้นเอาไว้สักคน เอาตัวไป!!”
“ท่านอ๋อง!! พระองค์มิกลัวว่าหม่อมฉันจะนำเรื่องนี้…ไปฟ้องท่านพ่อหรือเพคะ”
“เจ้ารีบเขียนไปฟ้องสิ ข้ายินดีส่งเจ้ากลับจวนแม่ทัพได้ทุกเวลา จะไปก่อนจะถูกโบยข้าก็ไม่ว่าอะไรเจ้าหรอกนะ”
“ท่านอ๋อง!!”
“เอาตัวพวกนางออกไป น่ารำคาญ!!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของพระสนมทั้งสองยังดังอยู่จนเซียวฟู่เฉินนึกรำคาญ เขาไม่เคยอยากได้สตรีน่าเบื่อน่ารำคาญเช่นนี้ แม้ว่าพวกนางจะเป็นสตรีเช่นกันแต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบ
แต่เขากับนางหมดทางหวนคืน เขาไม่มีแม้แต่โอกาสถามนางด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดจึงเปลี่ยนใจ แต่ในยามนี้ฟู่เฉินก็ไม่ได้อยากรู้เหตุผลนั้นอีกแล้วเมื่อสามวันก่อนวังหลวงพึ่งประกาศข่าวดีว่าพระชายาองค์รัชทายาททรงตั้งพระครรภ์แล้ว นั่นถือว่าสิ้นสุดเรื่องระหว่างเขาและนาง
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เสียงนั่น…น่ารำคาญชะมัด”
“พระสนมทั้งสองเป็นบุตรสาวของขุนนาง ระ…เรื่องถูกโบย….”
“จะได้หลาบจำจนไม่กล้าก่อเรื่องอีก หากทนไม่ไหวก็กลับจวนไปข้าไม่ได้อยากได้สตรีมารกหูรกตาที่จวนนี้”
“เห็นที…คงจะยากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!! เจ้าว่าอะไรกงหลี่”
“ฝะ…ฝ่าบาทส่งพวกนางมาที่นี่เพราะว่าพระองค์ไม่กลับไปที่ตำหนักใน ก็เลยมีราชโองการให้พวกนาง…ตามมาปรนนิบัติพระองค์ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ปรนนิบัติ พูดได้ดีนัก เสด็จพ่อคงเห็นข้าว่างมากกระมังจึงได้ส่งพวกนกแก้วนกกระเต็นน่ารำคาญพวกนี้มาไว้ที่นี่ เจ้ารีบออกไปส่งจดหมายนั่น บอกว่าข้าอยากได้คำตอบโดยเร็ว หากว่าอยากได้เงื่อนไขหรือเงินค่าจ้างเพิ่ม ข้าก็ยินดีจ่าย”
“นี่พระองค์…..”
ท่านอ๋องหันมามองหน้าองครักษ์คนสนิทพร้อมกับสีหน้าเรียบเฉย กงหลี่คุ้นชินกับสีหน้าเช่นนี้ของผู้เป็นนายดีเพราะเขาแทบจะไม่มีสีหน้าอื่นเลยนับตั้งแต่ทราบว่า “หานจินซือ” กลายเป็นพระชายาองค์รัชทายาท เขากลายเป็นท่านอ๋องน้ำแข็งและเย็นชา แม้ว่ากำลังยิ้มแต่ก็ทำให้ผู้ที่ยืนอยู่เย็นวาบจนถึงสันหลังได้
“เจ้าสงสัยอันใด”
“กระหม่อมไม่คิดว่า….”
“เจ้าเป็นผู้แนะนำเองมิใช่หรือว่าให้ข้าหาพระชายา รีบไปสิ แล้วเอาคำตอบมาด้วย รอจนกว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจมา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หอต้าหรง
“นายท่านเรียนว่าขอคำตอบที่น่าพอใจมิเช่นนั้นข้าน้อย….”
“แต่ว่าคุณชาย เรื่องนี้….ข้าต้องถามความสมัครใจของผู้รับงานด้วย เช่นไรแล้ว….ท่านก็บอกให้นายท่านรอสักหน่อยรับรองว่าข้าจะให้คำตอบที่นายท่านพอใจแน่ขอรับ”
“มิใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านแต่ข้าเองก็..ท่านก็รู้ว่านายท่านของข้า”
“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าขอเวลาเกลี้ยกล่อม..เอ้ย คุยกับนางก่อน หากว่านางยอมรับเงื่อนไขได้ข้าจะรีบให้คนไปแจ้งท่านโดยด่วน”
“เช่นนั้น…ได้ขอรับ เรื่องนี้คงต้องฝากท่านแล้ว”
“เฮ้อ…ข้าก็บอกตามตรงว่าไม่มั่นใจนัก ข้ากับนางพึ่งพบกันเมื่อสิบวันก่อน แม้ว่านางจะจับคนร้ายคดีใหญ่ ๆ ได้หลายคดีแต่งานเช่นนี้....ข้าเองก็ไม่แน่ใจนักว่านางจะรับหรือไม่
“ท่านก็ลองดูหน่อย นายท่านบอกว่ายินดีเพิ่มเงินให้ตามที่นางต้องการ เงื่อนไขหากว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมก็สามารถแจ้งได้เลย”
“ข้าเข้าใจแล้ว ท่านกลับไปแจ้งนายท่านเถอะ เรื่องนี้ข้าจะพยายามให้เต็มที่ขอรับ”
“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวลาก่อน”
ผู้คุมบัญชีหอต้าหรงถึงกับกุมขมับทันทีเมื่อส่งจาง หลี่กลับไปแล้ว เขาเปิดอ่านจดหมายปิดผนึกนี่แล้วก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องจึงต้องเจาะจงใช้เฉพาะสตรีชุดแดงในคืนที่จับคนร้ายฆ่าคนตายเก้าศพผู้นั้นด้วย
เขาเองแม้ว่าจะให้ห้องพักตามที่นางขอพร้อมอาหารสามมื้อแต่นอกจากนั้นเขาแทบไม่เคยถามข้อมูลส่วนตัวนางเลย นอกจากป้ายหยกที่นางติดตัวเอาไว้ นอกนั้นไม่ได้มีสิ่งใดบ่งบอกฐานะของนางได้เลย
“เจ้าไปเชิญคุณหนูหมิงมาพบข้าที่ห้องทีสิ บอกว่าเรื่องด่วน”