9.งานแข่งเรือ 2
เรือทั้งหกลำประจำเข้าที่เรียบร้อย กงกงอวบอ้วนผู้หนึ่งวิ่งไปเตรียมตีกลองเพื่อเป็นสัญญาณปล่อยเรือ
กำหนดการคร่าวๆ ของการแข่งขันคือใครที่ถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นชนะ
ดูเหมือนง่ายแต่ไม่เลยจ้า ระยะการแข่งขันวนรอบแพสามรอบ ไม่มีกติกาใดเพิ่ม เพราะฉะนั้นเรือทุกลำถึงติดอาวุธครบมือ ปืนใหญ่เอย ธนูเอย.....ทำวิธีใดก็ได้ที่ไม่ให้เรือคู่แข่งแล่นต่อไปได้
หลังจากฟังกฎกติกาจากอิงเถาเสร็จจากง่วงๆ ก็ตาสว่างเลย
ท่านอ๋องอู๋เหลียง อยู่ๆ ในใจฉันก็นึกเป็นห่วงเขาอย่างประหลาด
จื่อเหว่ยรีบส่งสายตาสอดส่องไปมองยังเรือสีดำแดงลำนั้น ก็เห็นเขายืนถือดาบทำหน้าตาพร้อมบวกมาก..เอ่อ...คงไม่ต้องห่วงอะไรมากมายสินะ
หลังจากเรือแต่ละลำเตรียมความพร้อม ผู้คนก็ลุกขึ้นไปเกาะราวระเบียงของแพ เพื่อชมการแข่งขันอย่างใกล้ชิด
“คุณหนูจะลุกไปชมการแข่งเรือหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ..เจ้าไปเถิด ข้ารออยู่ที่นี่แหละ”
อิงเถายิ้มอย่างดีใจแล้วรีบวิ่งไปชมการแข่งเรือ
การแข่งเรืองั้นรึ พูดว่าการยกพวกตีกันบนเรือน่าจะถูกกว่า มีสิ่งใดน่าดูชมกัน
เธอยกน้ำชาขึ้นมาดื่มพร้อมเอนกายพิงหมอนอิง
“เจ้าดูสบายดี...กว่าที่ข้าคิดเอาไว้”
ฉันเหลือบมองไปยังเจ้าของเสียงที่กล่าวขึ้นมา เขาถือวิสาสะนั่งลงข้างๆ เทน้ำชาในกาของเธอใส่แก้ว แล้วยกขึ้นมาดื่มราวกับว่าเราสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
“หม่อมฉันควรต้องเป็นเช่นไร..ต้องนอนร้องห่มร้องไห้ในจวนหรือเพคะ”
“...คราแรกข้าก็คิดเช่นนั้น”
“หึ..งั้นคงต้องขออภัยที่ไม่เป็นไปตามพระองค์คิด”
ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูสลดลง เขาก้มหน้าลงมองถ้วยชาในมือ แล้วยกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“พระองค์มิต้องรู้สึกผิดใดๆ ที่ปฏิเสธการแต่งงานกับหม่อมฉัน...หม่อมฉันเสียอีกที่ต้องขอโทษพระองค์ด้วยซ้ำที่เอาแต่ตามตื๊อ บังคับท่านอ๋องมาแต่งงานด้วย ทั้งๆ ที่พระองค์มิได้รักหรือชอบใจในตัวหม่อมฉันเลย”
จื่อเหว่ยเงยหน้าขึ้นมาสบตาท่านอ๋องจวิ๋น เธอส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ข้าได้แต่หวังว่าพระองค์จะอภัยให้ข้านะ..เพคะ”
เธอจงใจปั้นยิ้มที่สวยที่สุด นางเอกที่สุดในชีวิตให้เขา แม้ในใจจะเกลียดชังเขาเพียงใด คำด่าที่คิดไว้ในใจเป็นร้อยเป็นพันคำ ต้องถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของใจไปก่อน
เพราะพอเธอมาพบเจอใบหน้าสตรีที่นั่งเคียงข้างเขา ถ้าฉันด่าออกไปคงจะเข้าทางแม่นั่นเป็นแน่
บทนางร้ายที่จื่อเหว่ยรับมาทั้งชีวิตจนนางตายตกไป ฉันในตอนนี้ไม่คิดจะรับบทนั้นอีกแล้ว เพราะว่าฉันจะรับบทนางเอกเอง!!!
ใบหน้าของท่านอ๋องตอนนี้เขาดูตกใจกับรอยยิ้มที่เธอส่งให้
เขาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนตอบกลับมา
“แต่เดิมเราก็รู้จักมักคุ้นกันมา หาข้าจะขอเป็นสหายของท่าน จะดูมากไปหรือไม่เพคะ”
“ข้ายินดียิ่งเหว่ยเออร์ อันที่จริงใจของข้ามิได้ขุ่นเคืองอันใดเจ้าเลย จะดียิ่งหากเราจะเป็นสหายกัน”
ฉันปั้นยิ้มส่งให้เขาอีกรอบก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปมองการแข่งเรือ คิดอยากจะอยู่เงียบๆ กลับต้องมาเจอคนที่รังเกียจที่สุดเสียนี่!!!
อ๋องจวิ๋นบุรุษน่าขยะแขยง!!
“ตู้ม!!!!”
เสียงระเบิดดังลั่นสนั่นพื้นน้ำจนทุกคนตกอกตกใจกันไปหมด สิ่งที่ควรจะพังไปตามแรงระเบิดมิใช่เรือสำเภาอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นแพที่ราชนิกุลและเหล่าบัณฑิตคุณหนูที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้ต่างหาก
“คุ้มครองฮ่องเต้!!! มีการก่อกบฏ!!!”
สิ้นเสียงประกาศบรรยากาศก็โกลาหลขึ้นทันใด ผู้คนมากมายวิ่งหนีกันจ้าระหวั่น บางคนก็โดดลงน้ำ บางคนเป็นลมล้มพับไป ฉันนั่งมองผู้คนเหล่านั้นด้วยความตกใจ
ถึงจะตกใจแค่ไหนแต่ในมือก็ยังกำถ้วยชาไว้แน่น
“เหว่ยเออร์ไปกับข้า”
ฉันมองหน้าท่านอ๋องจวิ๋นที่ยื่นมือมาให้ฉันจับ
ถ้าต้องให้บุรุษผู้นี้ช่วยถึงจะรอดพ้นจากความตาย ฉันขอตายอยู่ที่นี่ยังจะดีเสียกว่า
“ท่านอ๋องรีบไปช่วยหวังเฟยเถิดเพคะ มิต้องเป็นห่วงหม่อมฉัน”
เขาส่งสายตาที่อ่านไม่ออกมาทางเธออีกครั้ง
ครั้งแรกที่เห็นสายตานี้คือตอนที่ฉันมาถึงที่แพ เกลียด เกลียดยิ่งนัก!!
ยิ่งเขาส่งสายตาเช่นนั้นมาให้ฉันมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรังเกียจเขามากขึ้นเท่านั้น!!!
หลังจากฉันกล่าวจบเขาไม่ปริปากพูด แต่เลือกจะเดินไปช่วยสตรีท่าทางอ่อนแอผู้นั้น...
สตรีผู้นั้นยังมิวายหันมายิ้มเยาะให้ฉัน ฉันยังคงนั่งอยู่กับที่ แล้วส่งยิ้มให้สตรีผู้นั้น
แต่เป็นยิ้มที่ปนด้วยความสมเพชเวทนา
เสวยสุขกันไปก่อนเถิด กักตุนความสุขนั้นไว้ให้มากๆ เพราะถ้าฉันเริ่มเอาคืนเมื่อไหร่ อย่าหวังจะได้ยิ้มเช่นนี้ออกมาจากใบหน้านั้นอีก!!
สตรีผู้นั้นค่อยๆ หุบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของฉัน....หึ..สมควรจะเป็นเช่นนั้น!!
“ตู้ม!!! ตู้ม!!!”
เสียงระเบิดตามมาติดๆ อีกสองลูก พร้อมกับคนชุดดำจำนวนหนึ่งที่กระโดดลงมาบนแพ อาวุธที่ใช้เป็นดาบเสียส่วนใหญ่
ฉันยังคงก้มมองถ้วยชาในมือ แล้วยกขึ้นมาจิบชาอย่างใจเย็น
ลืมไปแล้วใช่ไหมว่าก่อนตายฉันเป็นอะไร เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ต้องฝึกอย่างหนักถึงจะได้มายืนในตำแหน่งนั้นได้
การต่อสู้ด้วยมือเปล่าคือพื้นฐาน ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะใช้อาวุธใด เราจะต้องชนะด้วยมือเปล่าถึงจะสอบผ่าน
“เคร้ง!!!”
ฉันเงยหน้ามองก็พบกับกาน้ำชาและจานขนมที่โดนฟันจนแตก
พวกบ้าเอ๊ย!!! จะสู้ก็สู้ไปสิ จะมาทำลายของกินฉันทำไม!!
ไม่นานนัก ก็มีบุรุษชุดดำท่าทางกำยำเดินมาที่ฉัน พร้อมยกดาบขึ้นมาจ่อที่คอของจื่อเหว่ย
“น้องสาวเจ้านั่งอยู่เช่นนี้เพื่อรอข้าใช่หรือไม่...”
เธอปรายมองหน้าบุรุษที่กำลังกล่าวเรื่องไร้สาระอยู่ แต่อีกฝ่ายปิดหน้าอยู่เลยไม่ได้เห็นสีหน้าของเขา แต่ถ้าจับจากน้ำเสียง เสียงของเขาไม่ได้ตื่นเต้นหรือตกใจที่เห็นฉันนั่งอยู่อย่างที่ควรจะเป็น แสดงว่าบุรุษผู้นี้เคยเห็นฉันมาก่อนแล้ว ดาบที่จี้อยู่ที่คอ ไม่ได้วางในตำแหน่งที่จะถึงจุดตาย บางทีเขาอาจจะแค่ใช้ขู่ฉันเฉยๆ
“เราเคยเจอกันมาก่อนไหมเจ้าคะ”
บุรุษผู้นั้นสะดุ้งเล็กน้อย เขาเสียการทรงตัวไป จังหวะนี้แหละที่ฉันจะได้เฉิดฉาย!!!
ต้องเตะตัดขาของเขา แล้วม้วนตัวทุ่มเขาลง อาศัยช่วงที่เขาตกใจไม่ทันได้ระวังตัว หยิบดาบขึ้นมาจ่อคอเขาแทน!!
หนึ่ง สอง สาม!!!
“ผลัวะ!!!”
“คุณหนูกำลังทำสิ่งใดหรือขอรับ...”
ฉันที่เตะตัดขาเขาอย่างแรง....แต่ทว่าเขาดันไม่มีทีท่าว่าจะล้มลงแม้แต่น้อย....ฉันจึงเตะอีก..หนึ่ง..สอง..สามครั้ง จนถึงสามครั้งบุรุษผู้นั้นไม่มีท่าทีจะสะดุ้งสะเทือนใดๆ
บุรุษชุดดำอุ้มฉันขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ เขานั่งคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะหันมามองหน้าฉัน ถึงแม้เขาจะคลุมใบหน้าครึ่งล่างไว้ให้เห็นแค่ตา ฉันก็รับรู้ได้ถึงเสียงหัวเราะของเขา
ทำไม...ร่างกายนี้ถึงได้อ่อนแอนักนะ...ทั้งที่ฉันวางแผนมาอย่างดีแท้ๆ!!!
“ปล่อยนาง...ถ้าหากเจ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่!!”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองน้ำเสียงที่คุ้นหูนั้น...บุรุษชุดดำขลิบแดงกำลังชี้ดาบไปที่ต้นคอของบุรุษโม่งดำ
‘อ่า...วันนี้เขาก็ยังคงงดงามเช่นเดิม....ท่านอ๋องอู๋เหลียง’
บุรุษโม่งดำหมุนตัวไปมองท่านอ๋อง แววตาของเขาไร้ความรู้สึกตกใจหรือเกรงกลัวแม้แต่น้อย
เซียวอี้เดินมาด้านหลังพร้อมกับทหารอีกกว่าสามสิบนาย
บุรุษโม่งดำหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ดูท่าวันนี้ข้าต้องหยุดเรื่องสนุกไว้แค่นี้..”
เขาหันมายกมือขึ้นจับที่ปลายคางของฉัน ท่านอ๋องอู๋รีบเดินไปปัดมือบุรุษโม่งดำออกทันที
“ไว้ข้าจะหาโอกาสมาสนุกใหม่...”
บุรุษโม่งดำหันหน้ามาสบตาฉัน
“นะคุณหนูจื่อเหว่ย...”
“ใครสนุกกับท่านกั....”
ไม่ทันได้พูดจบประโยคท่านอ๋องอู๋ก็อุ้มฉันขึ้นมาพาดบ่า แล้วเดินขึ้นเรือสำเภาของเขา ถึงจะมีผู้คนอยู่ไม่มาก แต่ฉันก็แน่ใจว่าชื่อเสียงของฉันต้องดังในชั่วข้ามคืนเป็นแน่ ฉันยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอับอายยิ่งนัก
พอขึ้นมาบนเรือเขาเดินเข้ามาในห้องที่ฉันเดาว่าน่าจะเป็นห้องนอน เขาวางฉันลงบนเตียงอย่างเบามือ
ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยอาการประหม่า
“เอ่อ...ทำไมวันนี้ท่านอ๋องไม่สวมหมวกคลุมใบหน้า..”
“...ไม่ทันได้ใส่”
“อ๋อ...เอ่อ..”
“เหตุใดเจ้าถึงชอบยุ่งวุ่นวายกับบุรุษผู้อื่นนัก!!”
เอ้า!!!....ไม่ให้ยุ่งกับบุรุษจะให้ยุ่งกับสตรีหรืออย่างไร
“เหตุใดข้าถึงยุ่งเกี่ยวกับบุรุษอื่นมิได้เพคะ”
ใบหน้าเขาตอนนี้โกรธเคืองราวกับจะบีบฉันให้แหลกคามือให้ได้
“เจ้าเป็นสตรีของข้าแล้ว..จะไปยุ่งกับบุรุษอื่นได้อย่างไร”
ฉันถอนหายใจแล้วยกเเขนให้เขาดูแต้มพรหมจรรย์ที่ยังเป็นจุดสีแดงเด่นชัด
“ท่านกับข้ายังมิได้..”
เขาฉุดแขนฉันอย่างแรงทำให้ฉันเซไปซบอกเขาอยู่ตอนนี้ เขาเลื่อนใบหน้ามากระซิบที่ข้างหูฉันเบาๆ
“ถ้าหากข้าทำให้แต้มนี้หายไป...เจ้าจะยอมเป็นสตรีของข้าหรือไม่”