บทที่ 5 ผดุงความยุติธรรม
สองเดือนต่อมา พวกเขาก็เดินทางผ่านหัวเมืองใหญ่มาถึงสองเมืองแล้ว อากาศในยามนี้ก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และโจวหลิวหยางก็ไม่พบเห็นความผิดปกติอันใด ชาวบ้านอยู่กันอย่างสงบสุขขุนนางมิได้เอารัดเอาเปรียบราษฎร นับว่าบิดาของเขาฝ่าบาทโจวจื่อเหลียงปกครองบ้านเมืองได้อย่างดียิ่ง และสาวใช้อย่างกูหลี่เอ๋อร์ก็ทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดีจนน่ายกย่อง
แน่นอนว่าผู้ที่ประเมินก็คือตัวนางเอง
เมื่อเข้ายังตัวเมือง คนของโจวหลิวหยางจะหาโรงเตี๊ยมให้พวกเขาพัก กูหลี่เอ๋อร์จึงคิดว่าที่แท้การเดินทางมิได้ลำบากอันใด ทั้งหมดนั้นที่นางได้ยินถึงความลำบาก ล้วนเป็นโจวหลิวหยางที่โกหก
ในยามเช้านางตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ต้มชาให้คุณชายผู้เย็นชา ทว่าถึงจะพยายามตื่นแล้วแต่ด้วยอากาศหนาวนางจึงม้วนตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มและคิดหลับตาอีกสักหนึ่งเค่อ แต่หนึ่งเค่อไยจึงกลายเป็นหนึ่งชั่วยามก็ไม่รู้ได้ เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าคุณชายของนางมักจะออกจากโรงเตี๊ยมไปแล้ว
ถึงจะตื่นสายไปหน่อยแต่หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ นางก็รีบมาต้มชาให้เขา
คงเพราะโจวหลิวหยางเป็นองค์รัชทายาท เขาจึงให้ความสำคัญกับการดื่มชาแบบชาววัง โชคดีที่กูหลี่เอ๋อร์ได้รับการฝึกปรือเรื่องนี้มาจากหลิวฉูฉู่โดยตรง ทำให้นางต้มชาได้ถูกใจเขานัก
ช่วงบ่ายของวันอากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย โจวหลิวหยางกลับมาพร้อมกับองครักษ์เฉิงจั่ว พูดคุยด้วยเรื่องงานราชการที่ไปตรวจสอบกันอยู่ในห้องพัก ยามนั้นกูหลี่เอ๋อร์ก็ให้สาวใช้ยกป้านน้ำชาเข้ามา พร้อมกับอุปกรณ์ชงชา
พวกเขาสองคนพูดคุยกันโดยมิได้ปิดบังนาง คงเพราะเรื่องที่พูดคุยไม่ได้มีความสำคัญอะไร เมืองแห่งนี้ชาวบ้านยิ้มแย้ม ไม่โดนขูดเลือดภาษี อยู่กันอย่างมีความสุข
นางต้มชาเสร็จก็จึงส่งถ้วยชาให้เขา โจวหลิวหยางใช้สายตาคมเฉยชามองนางเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า
"ที่นี่ไม่มีสิ่งใดน่าห่วง พรุ่งนี้เช้าเตรียมออกเดินทางได้"
กูหลี่เอ๋อร์ทำตาโต
"ไยรวดเร็วเช่นนี้ ข้ายังไม่ได้เที่ยวชมเมืองเลย"
โจวหลิวหยางเอ่ยตำหนิ
"เจ้านอนตื่นสายกระทั่งตะวันแยงก้น เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องตลาดเช้าอันคึกคัก ตลาดวายไปแล้วไม่มีสิ่งใดน่าดูอีก"
กูหลี่เอ๋อร์ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
"คุณชาย เป็นความผิดท่านไยไม่บอกข้าเล่า อีกอย่างข้ามิได้ตื่นสาย แค่งีบไปเล็กน้อยเวลานั้นต่างหากที่ผิด วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สายแล้ว"
เขางอนิ้วเขกเข้าที่ศีรษะของนาง นั่นเพราะสองเดือนมานี้ทั้งคู่อยู่ในสายตาของกันและกันแทบจะตลอดเวลา แม้เขาจะยังไม่คิดมีใจให้ทว่าความสนิทสนมนั้นล้วนเพิ่มพูนขึ้นในทุกวัน
"กระทั่งเวลาเจ้ายังสามารถโทษได้ ทั้งหมดเพราะเจ้าขี้เกียจโดยแท้ ไสหัวไปอยากไปที่ไหนก็ไปรำคาญตายิ่ง ที่ตรอกมู่เสวียทางทิศเหนือ ยังมีร้านค้าคึกคักและโรงงิ้วให้เที่ยวชมไม่แพ้ตลาดเช้าหากเจ้าไปยามนี้ก็ยังทันกระมัง"
กูหลี่เอ๋อร์ลูบศีรษะของตนเองป้อย ๆ ทั้งเม้มปาก คิดจะเอาความกับเขาที่ทำให้ตนเองเจ็บศีรษะ ทว่าเมื่อคิดถึงคำพูดของคนผู้นี้ นั่นมิใช่เขากำลังบอกใบ้นางหรอกหรือว่ายังมีสถานที่หนึ่งที่นางสามารถไปเที่ยวเล่นได้
นางจ้องมองเขาไม่วางตา แล้วยิ้มตาหยี
"ที่แท้ท่านพี่เป็นคนปากกับใจไม่ตรงกัน ปากตำหนิข้าทว่ากลับชี้แนะสถานที่ท่องเที่ยวให้ ท่านพี่ดีต่อหลี่เอ๋อร์ยิ่ง หลี่เอ๋อร์เข้าใจแล้ว เช่นนั้นจะไปเที่ยวชมให้ทั่วเลยเจ้าค่ะ"
"ไปน่ะไปได้ แต่อย่าสร้างความวุ่นวายจนเปิดเผยตัวเข้าใจหรือไม่"
กูหลี่เอ๋อร์ยิ้มแล้วทำท่าเอียงอาย
"คุณชายห่วงหลี่เอ๋อร์เพียงนี้ หลี่เอ๋อร์ย่อมต้องระวังตัวเจ้าค่ะ"
โจวหลิวหยางส่ายหน้า
"ข้ามิได้ห่วงเจ้า ข้าห่วงตัวเอง"
กูหลี่เอ๋อร์ขยิบตาให้เขา
"หลี่เอ๋อร์รู้แล้ว ว่าท่านปากกับใจไม่ตรงกัน เอาเป็นว่าไม่ห่วงก็ไม่ห่วงเจ้าค่ะ"
นางมิใช่สตรีหัวทึบ นางย่อมดูออกว่าจริง ๆ แล้วท่านพี่ผู้นี้กำลังห่วงนางจริงนางส่งยิ้มไร้เดียงสาให้เขา แสร้งทำเป็นว่าตัวเองรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ห่วงนาง จากนั้นก็คว้าข้อมือของเสี่ยวเหมยแล้วเดินออกจากห้องไป ไม่ต้องถามก็รู้แล้วว่านางจะไปที่ใด
โจวหลิวหยางส่ายหน้า สตรีนางนี้กำลังคิดเลยเถิด เขาเพียงไม่ต้องการให้นางผูกติดกับเขาทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้ การที่ไม่เห็นหน้านางสักหลายชั่วยามทำให้เขาผ่อนคลายได้เล็กน้อย
ทว่าองครักษ์เฉิงจั่วกลับคิดตรงกันข้าม เขากระแอมแล้วเอ่ยว่า
"ไม่เห็นว่าคุณชายจะมีน้ำใจกับผู้ใดเพียงนี้"
"แค่ทำให้นางพ้นหน้าจะเรียกว่าน้ำใจได้อย่างไร แม้แต่เจ้าก็ยังดูไม่ออกหรืออย่าปล่อยให้นางปั่นหัวจนเจ้ากลายเป็นคนโง่ไปอีกคน"
เฉิงจั่วหัวเราะเบา ๆ
"ข้าคงตาบอดแล้ว จึงไม่เข้าใจเจตนาของคุณชายจนเกือบจะกลายเป็นคนโง่เหมือนคุณหนูผู้นั้น"
กูหลี่เอ๋อร์กับเสี่ยวเหมยเดินเอ้อระเหยอยู่ในตรอกมู่เสวียอันเป็นย่านการค้าของเมืองแห่งนี้ เป็นจริงดั่งโจวหลิวหยางเอ่ยที่นี่คึกคักเป็นอย่างยิ่ง นางเลือกโรงน้ำชาแห่งหนึ่งเพื่อผ่อนคลาย
กูหลี่เอ๋อร์สั่งสุราขาวดอกเหมยอันเป็นสุราเลื่องชื่อของเมืองมาลองชิม นั่งแทะเม็ดแตงแกล้มเหล้าดูงิ้วพร้อมกับบ่าวรู้ใจอย่างมีความสุข และแล้วนางก็ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากชั้นบนกลบเสียงงิ้วจนทำให้เสียอารมณ์
ยามนี้จึงสังเกตุเห็นว่าที่จริงแล้วรอบกายนางแทบจะไม่มีผู้ใดดูงิ้วยกเว้นพวกนางสองคน ผู้คนเข้ามาไม่ขาดสายทว่ากลับเดินขึ้นชั้นสองไป
"เจ้าว่าแปลกหรือไม่เสี่ยวเหมย"
เสี่ยวเหมยพยักหน้า
"แปลกเจ้าค่ะ ที่ชั้นสองมีสิ่งใดกัน"
เสี่ยวเหมยเรียกเสี่ยวเอ้อร์ผู้หนึ่งมาสอบถาม จึงได้ความว่าชั้นสองของโรงน้ำชาแห่งนี้ได้เปิดเป็นสถานที่เล่นพนัน แต่คนที่จะขึ้นไปได้ต้องจ่ายค่าเข้าไปเล่นคนละสิบตำลึง
เงินสิบตำลึงไม่นับว่ามาก สตรีที่มีตั๋วเงินจำนวนมหาศาลอยู่ในมือเช่นกูหลี่เอ๋อร์จึงไม่รอช้า เผลอ ๆ วันนี้นางอาจทำเงินได้หลายร้อยตำลึงก็เป็นได้
เสียงอึกทึกดังสนั่นไปทั่วเมื่อจู่ ๆ ก็มีแม่นางดวงดีผู้หนึ่งโผล่มา หลังจากแทงสูงต่ำผ่านมาหลายตา เบื้องหน้าของกูหลี่เอ๋อร์ก็มีเงินกองใหญ่กองอยู่
ทว่าหลังจากนั้นนางกลับเริ่มเสียไปทีละน้อย แรกเริ่มกูลี่เอ๋อร์ยังมองไม่ให้ความผิดปกติ ทว่าหลังจากนั้นกลับเริ่มแน่ใจ ว่าเจ้ามือหอพนันแห่งนี้กำลังใช้เล่ห์กลเพื่อโกง ทว่านางยังไม่ได้เอ่ยปากชายชราผู้หนึ่งก็ตะโกนขึ้น
"ทุกท่าน พวกเราถูกโกงแล้ว เมื่อสักครู่ข้าเห็นพวกเขาแอบสับเปลี่ยนลูกเต๋า พวกเราถูกโกงแล้ว"
จากนั้นวงพนันจึงหยุดชะงัก ทุกคนเงียบกริบสายตาของทุกคนต่างหันไปมองเจ้ามือ รวมทั้งกูหลี่เอ๋อร์ ที่แท้คนที่ฉลาดในเมืองนี้ก็ยังมี เอาล่ะ ไม่ต้องให้นางลงมือเปิดโปงแล้ว
"ผู้ใดว่าข้าโกง โรงพนันของข้าไม่เคยคิดโกงผู้ใด เด็ก ๆ จัดการสั่งสอนคนผู้นั้นที่วาจาสามหาวนัก"
ชายผู้นั้นเป็นชายชราสวมเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งขาด เขาถูกคนรุมตีพร้อมกับเสียงร้องไห้ดังจ้าของเด็กชายผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เด็กน้อยผู้นั้นถูกผลักจนล้มก้นกระแทก
กูหลี่เอ๋อร์เป็นสตรีที่รักความยุติธรรม เดิมทีนางคิดแค่จะทวงถามเงียบ ๆ ไม่คิดก่อเรื่อง ทว่าเมื่อเห็นคนถุูกรังแกเช่นนี้มิหนำซ้ำยังมีเด็กไม่รู้เรื่องราวผู้นั้นถูกรังแกไปด้วยนางมีหรือจะทนไหว
นางสั่งให้เสี่ยวเหมยไปช่วยพวกเขา เสี่ยวเหมยจัดการทันใด ไม่นานก็ซัดคนพวกนั้นจนหมอบคาเท้าแล้วปลอบเด็กน้อยที่บัดนี้ปรี่เข้าไปประคองร่างที่มีเลือดโทรมกายของท่านพ่อของตน เสี่ยวเหมยยัดเงินก้อนหนึ่งใส่มือเด็กน้อยเอ่ยเสียงเบาไม่ให้ผู้ใดได้ยิน
"พาพ่อเจ้าออกไปจากที่นี่ อย่าคิดกลับมาอีก"
เด็กคนนั้นรู้ความยิ่ง รีบกล่าวขอบคุณเสี่ยวเหมยแล้วพาร่างชายชราออกจากโรงพนันไปอย่างรวดเร็ว
คนของโรงพนันต่างตกตะลึง เสี่ยวเหมยเป็นสตรีร่างเล็กทว่าวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก นางยืนขวางคนพวกนั้นไม่ให้ลงมือ กูหลี่เอ๋อร์ที่นั่งดูอย่างเกียจคร้านหาวออกมาคราหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน นางเอ่ยเสียงดัง
"ท่านเจ้ามือ ข้าคิดว่าเจ้าโกงข้าแล้ว ตัวข้าเป็นพยานให้กับท่านลุงผู้นั้นได้"
เจ้ามือผู้นั้นทุบโต๊ะทันใด
"นี่เจ้าแพ้แล้วพาลคิดใส่ความข้าหรือ อย่าคิดว่าเป็นสตรีอ่อนแอใบหน้างดงามแล้วจะเที่ยวใส่ความผู้ใดก็ได้"
กูหลี่เอ๋อร์กลับไม่เกรงกลัว ถึงคนผู้นั้นจะตัวโตมิหนำซ้ำยังมีคนมากมายที่เป็นพวกของเขา แต่ก็เห็นแล้วว่าคนพวกนั้นไม่อาจสู้เสี่ยวเหมยของนางได้ นางยกขาข้างหนึ่งขึ้นเหยียบที่เก้าอี้วางท่าทางใหญ่โต
"หากไม่โกง เช่นนั้นข้าขอตรวจสอบดูลูกเต๋าของท่าน"
ผู้คนในหอแห่งนี้เริ่มพยักหน้าเห็นด้วย เพราะตนเองก็หมดตัวเช่นกัน เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นพร้อมกับเอ่ยว่า
"ใช่ แม่นางคนงามพูดถูก หากไม่โกงก็นำลูกเต๋าออกมาตรวจสอบเสีย"
เจ้ามือผู้นั้นแค่นเสียงเอ่ย
"ฮึ พวกเจ้ามันคนพาล เล่นเสียแล้วยังหน้าด้านมาขอตรวจสอบ ได้เช่นนี้ก็ดูเอาเถิด"
ลูกเต๋าถูกส่งออกมา กูหลี่เอ๋อร์ตรวจสอบดูไม่พบความผิดปกติ ยังมีพี่ชายหลายคนมาช่วยตรวจก็ไม่พบความผิดปกติใดเช่นกัน
"เห็นหรือไม่ พวกเจ้าเสียแล้วก็ไสหัวไป อย่ามาทำตัวป่วนที่นี่ให้วุ่นวาย"
จากนั้นชายหลายคนก็ล้อมนางและเสี่ยวเหมยเอาไว้ กูหลี่เอ๋อร์แสยะยิ้มชี้ไปที่ชายผู้นั้น
"ลูกเต๋าที่เจ้าใช้โกงอยู่ในแขนเสื้อชายผู้นั้น มิใช่อันนี้ เจ้าแน่จริงขยับมานี่ให้ข้าค้นตัว"
"ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้แอบซ่อนสิ่งใด เข้าใจผิดกันแล้ว"
ชายผู้นั้นลนลานแก้ต่าง แต่ก็ถูกสายตากดดันจากคนจำนวนมาก เขาลังเลทำท่าจะวิ่งหนี
"คิดจะหนีหรือ หลักฐานอยู่ในตัวคนผู้นั้น"
กูหลี่เอ๋อร์เป็นคนตาไว นางมองเห็นพวกเขาแอบสับเปลี่ยนลูกเต๋ากันตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อคนผู้นั้นคิดวิ่งหนี นางจึงไปดักเขาเบื้องหน้าแล้วจับแขนคนผู้นั้นพร้อมกับบิดอย่างแรง
"เสี่ยวเหมยค้นตัว"
เสี่ยวเหมยรีบค้นตัวชายผู้นั้น กระทั่งเจอลูกเต๋าหลายลูกนางจึงทำลายเสีย พบแม่เหล็กสีดำอยู่ในนั้น หลักฐานการโกงคาตา
"เจ้ามีสิ่งใดจะแก้ต่าง"
กูหลี่เอ๋อร์ปล่อยแขนชายคนนั้นแล้ว แม้นางจะร่างกายบอบบางแต่พลังภายในมีมหาศาล ชายผู้นั้นจึงรู้สึกคล้ายแขนกำลังจะหลุดออกจากร่างตนเอง
เจ้ามือผู้โฉดชั่วขี้โกงตะโกนก้อง
"เพราะเจ้าแท้ ๆ กิจการของข้าจึงเป็นเช่นนี้"
ผู้คนต่างรุมล้อมเจ้ามือ ร้องขอเงินคืนและคิดจะจัดการเขา ทว่าเมื่อกล้าเปิดโรงพนันย่อมมีชายร่างโตคุ้มครองเป็นจำนวนมาก ไม่นานชาวบ้านเหล่านั้นก็ถูกตีจนแตกกระเจิง
กูหลี่เอ๋อร์และเสี่ยวเหมยจึงต้องลงมือด้วยตนเอง ภายในพริบตาก็จัดการเหล่าคนพาลลงไปนอนดิ้นอยู่ที่พื้น เลือดกระเซ็นจนเปรอะเปื้อนใบหน้า เสี่ยวเหมยส่งแพรพกให้นาง กูหลี่เอ๋อร์ซับหน้าของตนเองจนสะอาด พร้อมทั้งเอ่ยว่า
"เงินของพวกท่านก็จัดแบ่งกันให้ลงตัว ทีหลังอย่าให้ผีพนันเข้าสิงจนหมดเนื้อหมดตัวอีก คนพวกนี้ล้วนขี้โกง ข้าขอลา"
ขณะที่พูดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีอาวุธลับไม่รู้ว่าซัดมาจากทิศใด กูหลี่เอ๋อร์เบี่ยงตัวหลบแต่อาวุธซัดมาเยอะจนเกินไปนางจึงถูกอาวุธเข็มเงินพุ่งเข้ามาปักที่แขนข้างหนึ่ง
อาวุธนั้นมีพิษทำให้นางรู้สึกมึนงงทันใด เสี่ยวเหมยร้องออกมาคำหนึ่งด้วยความตกใจ ในขณะที่กระบี่เล่มหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา จู่ ๆ ก็มีบุรุษแปลกหน้ารับกระบี่เล่มนั้นเอาไว้แทน
เกิดการต่อสู้กันหลังจากนั้น ผู้ที่อยูู่ในความมืดและซัดอาวุธลับออกมานั้นก็ถูกบุรุษผู้นั้นจับกุมแล้ว
บุรุษที่มาช่วยนางนับว่าเป็นคนหล่อเหลา แต่ในสายตาของกูหลี่เอ๋อร์ย่อมไม่มีผู้ใดสู้ท่านพี่ของนางได้ นางกล่าวขอบคุณเขาเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า
"พบกันเหมือนมีวาสนา ไม่ทราบท่านมีนามว่าอย่างไรบุญคุณครานี้ลี่เอ๋อร์จะจดจำเอาไว้"
เขายิ้มเล็กน้อยกล่าวอย่างสุภาพ
"นามข้าคืออู๋กวง นับว่ามีวาสนาที่ได้ช่วยเหลือคนงามเช่นแม่นาง"
กูหลี่เอ๋อร์รู้สึกว่าร่างกายร้อนผ่าวและเริ่มดวงตาพล่าเลือน นางต้องกลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้วในใจคิดถึงเพียงคนผู้นั้นที่ช่วยนางได้ และแล้วในยามนั้นนั่นเองที่ร่างของนางซวนเซเกือบคล้ายจะล้มลงบนพื้น ทว่ากลับมีอ้อมแขนของคนผู้หนึ่งรับนางเอาไว้
กูหลี่เอ๋อร์ดวงตาพร่าเลือนก่อนที่จะหลับลึกไม่รู้สึกตัวหางตาก็คล้ายจะเห็นใบหน้าของคนผู้หนึ่ง
"ท่านพี่..."