บทที่ 4 ตัวภาระ
เพราะต้องการให้กูหลี่เอ๋อร์ได้รับรู้ถึงความลำบากอย่างสูงสุด เขาจึงยอมให้สาวใช้ของนางติดตามมาเพียงคนเดียว ในขณะที่ตัวเขาเองก็ให้องครักษ์เงาคอยคุ้มครองอยู่ห่าง ๆ
"หากเจ้าต้องการไปกับข้า เจ้าต้องยอมรับกฎข้อหนึ่งเสียก่อน"
กูหลี่เอ๋อร์ยิ้มแป้น เขาและนางบัดนี้กำลังจะออกนอกวังหลวงแล้ว โดยอาศัยรถม้าคันหนึ่งซึ่งไม่ได้ติดตราประทับจวนใด เป็นเพียงรถม้าของชาวบ้านธรรมดา แน่นอนว่าความสะดวกสบายภายในนั้นย่อมไม่มีเฉกเช่นรถม้าของผู้สูงศักดิ์
"เจ้าต้องอยู่ในฐานะสาวใช้ของข้า มิใช่คู่หมั้นหรือน้องสาว"
เกิดมากูลี่เอ๋อร์ย่อมไม่เคยปรนนิบัติผู้ใดมาก่อน ถึงนางจะกำพร้าแต่ชะตาชีวิตก็ดียิ่งเพราะมีคนอุปถัมภ์ชุบเลี้ยงมาอย่างดี ทว่าเรื่องพวกนั้นกูหลี่เอ๋อร์คิดว่าตนเองสามารถเรียนรู้ได้จึงพยักหน้าอย่างยินดี
"ได้เพคะ ไม่ว่าสิ่งใดท่านพี่ใช้ข้าได้เลย"
ใบหน้าของโจวหลิวหยางราบเรียบ
"ต่อไปเรียกข้าว่าคุณชาย และแทนตัวเองว่าบ่าว ทุกเรื่องของข้าเจ้าต้องดูแลทั้งหมดห้ามใช้ผู้อื่น"
โจวหลิวหยางมองไปที่เสี่ยวเหมยสาวใช้ของกูหลี่เอ๋อร์ที่อยู่ในชุดชาวยุทธ์เช่นกัน กูหลี่เอ๋อร์เข้าใจทันใด
"ข้าดูแลเอง รับรองว่าไม่ต้องถึงมือเสี่ยวเหมย คุณชายโปรดวางใจ"
กูหลี่เอ๋อร์เป็นเด็กฉลาด มีไหวพริบแน่นอนว่านางปรับเปลี่ยนตนเองได้ว่องไว
"ดี เช่นนั้นก็ออกเดินทางได้"
รถม้าเคลื่อนออกจากวังหลวงในยามวิกาลอย่างเงียบเชียบ ภายในรถม้าแห่งนี้ยังมีแสงตะเกียงพายุที่พอจะมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน ทว่าสายตาของกูหลี่เอ๋อร์กลับจรดจ้องอยู่ที่หนังสือแสดงฐานะปลอมของตนเองที่ใช้ผ่านด่านเข้าประตูเมืองต่าง ๆ
"ท่านพี่..."
นางกำลังจะถามเขา ทว่าเมื่อสบเข้ากับดวงตาที่ลึกล้ำดุจบ่อน้ำนั่นทำให้นางถึงกับหยุดชะงัก แล้วยิ้มแหยออกมา
"เอ่อ คุณชายแดนเหนือที่เราจะไปต้องผ่านเมืองจำนวนมากน้อยเพียงใดเจ้าคะ"
โจวหลิวหยางอยู่ในชุดดำร่างกายสูงโปร่งจึงคล้ายกำลังกลืนหายไปกลับรัตติกาล เขานั่งอยู่ตรงพื้นรถที่ยกสูง ปูด้วยแผ่นหนังจิ้งจอกผืนใหญ่ช่วยให้ความอบอุ่น แผ่นหลังใหญ่กำลังพิงผนัง ขายาวเหยียดออกจนสุดในขณะที่ยกมือกอดอก
"ผ่านหัวเมืองใหญ่ราวสิบสองเมือง ไม่นับหัวเมืองย่อย"
"เราจะใช้เวลานานเท่าไหร่หรือเจ้าคะ จึงจะได้กลับเมืองหลวงอีกครั้ง"
"หากไม่มีอุปสรรคอันใดขัดขวาง ระยะเวลาที่ใช้ก็ราวหนึ่งปี"
กูหลี่เอ๋อร์ยิ้ม นางเข้าใจเจตนาของฮองเฮาหลิวฉูฉู่ผู้เป็นมารดาแล้ว ก่อนที่นางจะออกเดินทางฮองเฮายังได้กำชับมาหลายคำ โดยเฉพาะเรื่องของคู่หมั้นของนางผู้นี้
"หลี่เอ๋อร์แม่รับรองกับเจ้าได้ ความใกล้ชิดย่อมทำให้หัวใจของคนอ่อนลง เรื่องของแม่เจ้าก็รู้ดีก่อนหน้าฝ่าบาทยังรังเกียจแม่นัก ทว่าสุดท้ายก็มอบหัวใจให้แม่เพราะความใกล้ชิด หลี่เอ๋อร์เป็นสตรีที่สดใสทั้งยังจริงใจเช่นนี้ ด้วยนิสัยของเจ้าหยางเอ๋อร์ต้องมองเห็นเป็นแน่"
ทว่ายามนี้คนที่อยู่เบื้องหน้าของนางบึ้งตึงนัก ใจของคนจะเปลี่ยนได้ง่ายดายเช่นนั้นหรือ
โจวหลิวหยางหลับตาลงคล้ายไม่ต้องการสนทนากับนางอีก กูหลี่เอ๋อร์บัดนี้จึงมองใบหน้าคมในยามหลับใหลอย่างเผลอไผล
โจวหลิวหยางเป็นบุรุษที่มีเครื่องหน้าชัดเจนสมบูรณ์ไร้ที่ติ ผิวขาวประดุจถูกเคลือบเอาไว้ด้วยไข่มุก กลิ่นอายสูงส่งแผ่ออกมารอบกายปกติเขามักจะตีสีหน้าเคร่งขรึมกับนางเสมอ ทว่าเมื่อยามที่หลับตาทำให้เขาดูอ่อนโยนลงไม่น้อย
กูหลี่เอ๋อร์เผลอจ้องมองใบหน้านี้อยู่ชั่วครู่ กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงนางจึงเกิดอาการง่วงงุน นางนั่งอยู่บนพื้นด้านล่างที่ปูด้วยแผ่นหนังจิ้งจอกเช่นกัน เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ห่มผ้า นางจึงขยับตัวช้า ๆ ค่อย ๆ ดึงผ้าห่มผืนหนาออกมาแล้วห่มให้เขาเบา ๆ เพราะกลัวเขาตื่น
นางยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกลับมานั่งยังตำแหน่งเดิมแล้วล้มตัวนอน สองมือกอดเตาอุ่นเอาไว้ภายใต้เสื้อคลุมผืนโตและมีบุรุษผู้นั้นอยู่ใกล้ ๆ ทำให้หัวใจของกูหลี่เอ๋อร์อบอุ่นนัก
ต่อให้ต้องติดตามเขาในฐานะสาวใช้นางก็ยินยอม ขอเพียงมีเขาอยู่เคียงข้างเช่นนี้ตลอดไป
เดินทางมานานเพียงใดไม่รู้ ในยามนี้ที่กูหลี่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาก็พบว่าแสงแดดอ่อนอบอุ่นกำลังพาดผ่านเข้ามาในรถม้าและแยงตาของนางจนทำให้ตื่น
นางขยับตัวช้า ๆ ลืมตาขึ้นจนเต็มจึงพบว่าผ้าห่มผืนใหญ่อบอุ่นที่นางห่มให้โจวหลิวหยางเมื่อคืนนี้ บัดนี้ได้อยู่บนร่างกายของนางแล้ว ฉับพลันความรู้สึกอบอุ่นใจแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
หรือว่าสิ่งที่ท่านแม่บุญธรรมของนางได้กล่าวเอาไว้จะเป็นจริง รวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ
ปกติกูหลี่เอ๋อร์มิใช่คนหลงตัวเอง ทว่ายามนี้นางกลับฉีกยิ้มจนปากถึงรูหูไปแล้วทั้งยังหัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงก่ำซาบซึ้งกับความใส่ใจของเขาจนน้ำตาแทบไหล
ในขณะที่นางเพ้อเจ้อเพียงคนเดียวอยู่นั้น เสียงอันคุ้นเคยของเสี่ยวเหมยก็ดังขึ้น
"คุณหนูตื่นหรือยังเจ้าคะ"
กูหลี่เอ๋อร์ตบหน้าของตนเองเบา ๆ ให้สติกลับมา จากนั้นจึงคลานออกมาจากรถม้า โผล่ใบหน้าเล็กขาวออกมาเล็กน้อย เพียงปะทะกับความเย็นด้านนอกนางก็หดคอกลับคล้ายเต่าตัวหนึ่ง แล้วส่งเสียงแหบเครือออกไป
"ตื่นแล้ว แต่หนาวยิ่ง"
เสี่ยวเหมยกล่าวอย่างกระตือรือร้น
"เช่นนั้นก็บ้วนปากล้างหน้าเสียหน่อยนะเจ้าคะ บ่าวเตรียมน้ำอุ่นให้แล้ว"
ในเมืองหลวงแน่นอนว่าอากาศไม่หนาวเย็นเท่านี้ เมื่อเผชิญหน้ากับความหนาวของจริงกูหลี่เอ๋อร์จำต้องปรับตัวเล็กน้อย ทว่าถึงเสี่ยวเหมยจะบอกว่าน้ำอุ่นแต่กูหลี่เอ๋อร์ก็ยังไม่อยากขยับตัวออกจากรถม้าอยู่ดี
นางได้ยินเสียงของคนผู้หนึ่งเดินมา ก่อนที่ประตูรถม้าจะเปิดออก คิ้วกระบี่ของคนผู้นั้นขมวดมุ่น มองสตรีที่เพิ่งรับปากเขาว่าจะยอมเป็นสาวใช้ขดตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งยังทำท่าว่าจะไม่ขยับไปไหน
"เจ้ามีวรยุทธ์มิใช่หรือ เดินพลังภายในมาที่ห้าอวัยวะอินหกอวัยวะหยางจะทำให้เจ้ารู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้น"
กล่าวจบคุณชายของนางก็สะบัดผ้าเดินจากไป กูหลี่เอ๋อร์ยิ้มตะโกนตามหลังเขาไป
"ท่านพี่ ห่วงข้าก็บอกตรง ๆ เจ้าค่ะ หลี่เอ๋อร์ซาบซึ้งแล้ว"
คำพูดของนางทำเอาโจวหลิวหยางถึงกับเดินสะดุด ได้แต่คิดในใจว่า
ผู้ใดห่วงเจ้ากัน ยังไม่รู้ตัวอีกว่ากำลังเป็นตัวถ่วงของผู้อื่น!
หลังจากเดินพลังตามที่เขาบอกกูหลี่เอ๋อร์จึงสามารถออกมาจากรถม้าได้ แต่นางก็ยังห่อตัวเป็นบ๊ะจ่างก้อนกลมอยู่ดี หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยเสี่ยวเหมยก็นำโจ้กมาให้นางกิน
โจ้กร้อน ๆ กับทิวทัศน์ของทะเลสาบช่างงดงามยิ่งนักบัดนี้น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งส่องประกายวิบวับล้อกับแสงแดดอุ่นเจิดจ้าคล้ายอัญมณี และด้านหลังทะเลสาบนั้นนางยังสามารถมองเห็นหอประจำเมืองอยู่ลิบ ๆ
นางรีบกินโจ้กจนหมดก่อนจะเดินไปหาโจวหลิวหยางที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ กำลังกางแผนที่เพื่อดูเส้นทางกับองครักษ์ประจำตัวนามเฉิงจั่ว
เขาหันมามองนางเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเสียงแข็งทื่อไร้ความรู้สึก
"ข้ารอเจ้าต้มชาจนหายอยากไปแล้ว หากเจ้ายังคิดทำผิดข้อตกลงข้าจะให้เฉิงจั่วส่งเจ้ากลับวังหลวง"
กูหลี่เอ๋อร์แสร้งลูบหน้าทั้งกล่าวว่า
"คุณชาย เมื่อคืนนี้คงเป็นเพราะข้านอนดึกจึงตื่นสาย แต่มิใช่ความผิดข้าหากท่านต้องการให้ข้าต้มชาให้ไยไม่ปลุกข้าเล่า เช่นนี้ไม่นับเป็นความผิดของหลี่เอ๋อร์นะเจ้าคะ"
สายตาเย็นเยียบนั้นส่งมาอย่างเอือมระอา เขาหันกลับไปสนใจแผนที่เช่นเดิมและไม่เอ่ยคำใดกับนางอีก
กูหลี่เอ๋อร์นั่งลงข้าง ๆ เขาซึ่งตรงนั้นเป็นขอนไม้ท่อนยาว เขาหันมามองนางกูหลี่เอ๋อร์ส่งรอยยิ้มเจิดจ้าให้เขา
คนผู้นั้นถอนหายใจยังขยับหนีเล็กน้อยเมื่อนางแทบจะนั่งชิดกับร่างสูง
นางย่นจมูกส่งเสียง เฮะ ออกมาเบา ๆ แล้วขยับเข้าไปใกล้เขาเช่นเดิม เรื่องอะไรต้องห่างเขาเล่าในเมื่อข้างกายเขาอบอุ่นเช่นนั้น
นางขยับใกล้เบียดเสียดจนชิดยังแอบก้มลงดมกลิ่นกายหอม ๆ ของเขา โจวหลิวหยางหน้าบึ้งตึงเขาขยับไปห่างไปหลายชุ่น นางก็ขยับเข้าใกล้อีก ทำเช่นนี้ไปจนสุดขอนไม้ ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นหันขวับมามองนาง มุมปากกระตุกใบหน้าเย็นยิ่งกว่าน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็งในทะเลสาบ
"กูหลี่เอ๋อร์"
นางขานรับทันใด
"เจ้าคะ คุณชายมีสิ่งใดให้หลี่เอ๋อร์รับใช้"
เขาจ้องนางเขม็งเอ่ยเย็นเยียบ
"ห่าง ๆ ข้าหน่อย"
นางกลับเอ่ยว่า
"อากาศหนาวยิ่ง หลี่เอ๋อร์ปรนนิบัติให้ความอบอุ่นคุณชายไยต้องนั่งห่าง ๆ ด้วยเจ้าคะ"
จากนั้นนางก็วิ่งไปหาเขายังจับแขนข้างหนึ่งเอาไว้แน่น ในขณะที่โจวหลิวหยางที่ไม่กล้าสะบัดแขนนางออกเพราะกลัวตนเองจะใช้แรงมากเกินไปจนทำให้นางได้รับบาดเจ็บ ถึงจะน่ารำคาญทว่าอย่างไรนางก็คือน้องสาวของเขาผู้หนึ่ง เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้สุดท้ายจึงได้แต่แค่นคำออกมา
"ออกเดินทาง"
องครักษ์เฉิงจั่วอมยิ้ม เสี่ยวเหมยกลั้นหัวเราะด้วยขบขันท่าทางจนใจของโจวหลิวหยาง องค์รัชทายาทผู้หนึ่งเกิดมาไม่เคยพบเจอคนที่จะมาตีฝีปากด้วย ไยจะเอาชนะกูหลี่เอ๋อร์ได้กัน