บทที่ 4 น้องสาวคนใหม่
สองวันถัดมา
ณ ค่ายฝึกทหารสกุลจ้าว เสียงเหล่าทหารฝึกรบยังคงแข็งขันฮึกเหิมเช่นที่เป็นมา เพียงแต่ว่าวันนี้มีบางสิ่งผิดแปลกไป เพราะภายในกระโจมพักรับรองมีเสียงหนึ่งดังลอยออกมาตั้งแต่เช้าตรู่นั่นคือเสียงร่ำไห้ของสตรี
อาชาคู่หนึ่งวิ่งเข้ามาทางหน้าค่ายก่อนหยุดลงแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพกระโดดลงจากหลังของมัน พวกเขาเพิ่งกลับจากการไปรายงานสถานการณ์กับท่านเจ้าเมือง
เมื่อทราบว่าท่านแม่ทัพกับรองแม่ทัพกลับมาแล้ว ท่านหมอประจำค่ายรีบส่งทหารมาเชิญทั้งสองไปดูอาการหญิงสาวที่เพิ่งช่วยมาเมื่อวันก่อน
“ เรียนท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพ บัดนี้แม่นางผู้นั้นฟื้นแล้วขอรับ ท่านหมอเชิญท่านทั้งสองไปพบขอรับ ” ทั้งสองคนพยักหน้ารับก่อนพากันเดินไปยังกระโจมรับรอง
หากเดินมาถึงแค่หน้ากระโจมพักก็ต้องแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมา
“ ท่านพี่ หรือว่านางบาดเจ็บหนัก ” น้องชายเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
“ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน ” พี่ชายตอบกลับก่อนเปิดประตูกระโจมเดินนำเข้าไป
ทันทีเมื่อทั้งสองมาถึงก็เห็นท่านหมอแสดงสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ คารวะท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพ ”
“ อาการนางเป็นอย่างไรบ้าง ” จ้าวซือถง รองแม่ทัพรีบซักถาม
“ เรียนท่านรองแม่ทัพ แม่นางผู้นี้อาการโดยรวมปลอดภัยแล้วแค่พักอีกสักสองสามวันก็ดีขึ้น เพียงแต่.. ”
ท่านหมอยังกล่าวไม่จบร่างบอบบางที่นั่งอยู่บนเตียงก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาช่างชวนให้น่าสงสารยิ่งนัก
“ แม่นาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ” คราวนี้เป็นท่านแม่ทัพที่เอ่ยถาม
“ … ” นางไม่ตอบ ทำเพียงส่ายศีรษะดิก
“ เจ้าชื่อแซ่อะไร มาจากที่ใด ”
“ … ”
“ บิดามารดาของเจ้าเล่า ”
“ ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ ฮือ ๆๆ ” ก่อนนางจะร่ำไห้โฮออกมาเสียงดังอีกครั้ง ซือถงรีบหันมองหน้าผู้เป็นพี่ ก่อนที่ท่านหมอจะเอ่ยบางสิ่ง
“ เรียนท่านแม่ทัพ ท่านรองแม่ทัพ แม่นางผู้นี้อาการภายนอกโดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพียงแต่ศีรษะได้รับบาดเจ็บ ชีพจรติดขัดทำให้ความทรงจำของนางสูญหาย ยามนี้นางไม่ต่างจากเด็กห้าหกขวบขอรับ ”
แม่ทัพใหญ่ยืนฟังท่านหมอรายงานสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในหัวกำลังใช้ความคิดมากมาย ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นสถานการณ์จริงหรือมีผู้ใดวางแผนจัดฉากเพื่อให้นางเข้ามาสอดแนมกันแน่ โดยเฉพาะเมืองชางชุนกับเมืองถงโจวของพวกเขาที่มักจะกระทบกระทั่งเรื่องเขตแดนอยู่บ่อยครั้ง
“ พวกท่านเป็นพี่ชายของข้าใช่หรือไม่ ” จู่ ๆ นางก็ถามขึ้นทั้งน้ำตา
“ ท่านพ่อท่านแม่ไปไหน ข้าหิว อยากกินข้าว อยากกินถังหูลู่ อยากกินเซาปิ่ง อยากกินหมั่นโถวกับขาหมู ข้าหิว ” นางพร่ำขอของกินทั้งที่ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา อากัปกิริยานั้นเหมือนเด็กเช่นที่ท่านหมอว่าไม่มีผิด
“ นะท่านพี่ ข้าหิว ข้าหิววววว ” นางลากเสียงพลางเอื้อมมือไปเขย่าแขนแข็งแรงของท่านรองแม่ทัพ
นั่นพานให้ชายหนุ่มทั้งคู่หวนคิดถึงน้องสาวของพวกเขาที่ต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควรเมื่อป่วยไข้ครั้งยังเด็ก ตอนที่น้องสาวจากไปก็น่าจะห้าหกขวบเช่นกัน พาให้หัวใจแข็งกระด้างของท่านแม่ทัพหยางเฟยอ่อนลงทันที ยิ่งรองแม่ทัพซือถงไม่ต้องพูดถึง เขานั้นรักน้องสาวยิ่งกว่าใคร
ทั้งกระโจมพักเงียบลงชั่วขณะ ก่อนที่ซือถงจะเอ่ยขึ้น
“ ได้ เดี๋ยวพี่จะหาของกินให้เจ้าเอง ”
“ อาถง ! ” คนพี่ส่งเสียงปรามเมื่อเห็นว่าน้องชายแสดงอาการใจอ่อนเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ทั้งที่ตนเองนั้นก็อ่อนไปด้วยเช่นกัน แต่ความเป็นแม่ทัพใหญ่ ทำให้เขาต้องระวังรอบคอบอยู่เสมอ
“ พี่ใหญ่ขอรับ ข้าทำให้นางต้องเจ็บและกลายเป็นเช่นนี้ ”
“ แต่ว่า... ”
“ ถ้าท่านเรียกท่านผู้นี้ว่าพี่ใหญ่ ก็แปลว่าท่านคือพี่ใหญ่ของข้า ส่วนท่านก็คือพี่รองของข้า ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วสอดขึ้นตัดบทสนทนาของทั้งคู่ พลางใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ทั้งคู่ยามที่นางสนทนา
“ เช่นนั้นข้าก็คือน้องเล็ก ใช่หรือไม่เจ้าคะ ”
ชายหนุ่มทั้งคู่ได้แต่ยืนนิ่ง แต่นางยกมือขึ้นมาปรบเสียงดังหลายทีอย่างดีใจ
“ นั่นอย่างไรเล่า ข้าจำได้แล้ว ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ท่านลุงหมอผู้นี้หาว่าข้าป่วยได้อย่างไร ข้าไม่ต้องกินยาแล้วนะ ขมปี๋ ข้าไม่ชอบเลยเจ้าค่ะพี่รอง พาข้าไปกินเถอะ ข้าหิว ” นางว่าพลางลุกไปเกาะแขนของรองแม่ทัพทันที เขาหันหน้ามามองพี่ชายอย่างทำตัวไม่ถูก
“ นะเจ้าคะพี่ใหญ่ ให้พี่รองพาข้าไปกินก่อน ” เสียงหวานเอ่ยอ้อน ท่านแม่ทัพทำอะไรไม่ได้นอกจากจำต้องพยักหน้ารับแต่ก็ไม่ลืมกำชับน้องชายอีกครั้ง
“ ระวังตัวด้วย ”
“ ขอรับท่านพี่ ” ซือถงรับคำพี่ชาย
“ ขอรับท่านพี่ ” นางดัดเสียงเข้มพูดตามซือถงก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างเริงร่าทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนน้ำตา กระโดด ดึ๋ง ๆ เกาะแขนกำยำของคนที่คิดว่าเป็นพี่รองไปตลอดทาง
จ้าวหยางเฟยหันมามองท่านหมอที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว
“ ข้าทราบดีว่าท่านแม่ทัพจะถามเช่นไร ”
“ เช่นนั้นก็ให้คำตอบข้าเถิด ท่านหมอ ”
“ บอกตามตรง ข้าเองก็จนปัญญาที่จะตอบ นางอาจจะหายดีและกลับมาเป็นปกติ หรือบางทีอาจจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ”
ท่านแม่ทัพใหญ่นิ่งงันไปชั่วขณะ จู่ ๆ ก็มีภาระเป็นหญิงสาวทั้งคนเข้ามาในชีวิต ทั้งยังสติเท่ากับเด็กเล็ก ที่สำคัญหญิงสาวผู้นั้นงามมากเสียด้วย งามยิ่งกว่าหญิงใดที่เขาเคยพานพบ
‘ ให้ระวังความงามของอิสตรี ความงามนั้นมักจะนำพามาซึ่งความลุ่มหลงขาดสติ เมืองทั้งเมืองยังล่มได้เพราะหญิงงามนางเดียว อย่าได้ประมาท ’
เขายังจำคำที่ท่านอาจารย์ถูผู้สอนวรยุทธ์ได้พร่ำสอนเอาไว้
นางผู้นี้เล่า จะนำพาสิ่งใดมาสู่พวกเขากันหนอ...