บทที่ 3 ภัยร้ายถึงตัว
เสียงฝีเท้าม้าใกล้เข้ามาทุกขณะ พร้อมเสียงหัวเราะชอบใจโห่ร้องยินดี นางรู้สึกใจเต้นรัวพยายามทำตนให้เงียบที่สุด ภาวนาซ้ำ ๆ ให้พวกนั้นเลยผ่านไป แต่โชคชะตากลับไม่เข้าข้าง คนพวกนั้นหยุดพักม้าไม่ไกลจากที่นางหลบซ่อนนัก คนที่คาดว่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มได้เอ่ยขึ้น
“ เฮ้ย พวกเราพักกันที่นี่ก่อน วันนี้พวกเจ้าทำผลงานได้ดีปล้นสกุลจวงได้เงินมาหลายหีบ มาดื่มฉลองกันให้เต็มที่ดีกว่า ” มันหัวเราะเสียงดัง ตามด้วยเสียงโห่ร้องยินดีของเหล่าสมุน
หญิงสาวนั่งนิ่งไม่กล้าขยับกาย แม้แต่เสียงหัวใจของตนเองที่กำลังเต้นก็รู้สึกว่ามันดังเกินไป
พวกมันฉลองกันเต็มคราบพร้อมพูดคุยถึงความโหดเหี้ยมในการปล้นครั้งนี้ โดยไม่รู้ว่าคนไม่ได้ตั้งใจแอบฟังกำลังหวาดกลัว ได้แต่ภาวนาในใจขอให้พวกมันเมาหลับโดยเร็ว
แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เมื่อคนเป็นหัวหน้ากองโจรร่างสูงใหญ่ หนวดเครายาวรุงรัง ข้างเอวยังมีดาบเล่มใหญ่เดินตรงมายังต้นไม้ที่นางแอบซ่อนตัวอยู่ มันปลดกางเกงหลับตายืนปัสสาวะสบายใจ
นางไม่รู้เลยว่ากลิ่นกายหอม ๆ ของตนเองจะทำให้หัวหน้าโจรนั่นจับสัมผัสได้ ด้วยเพราะมันมีประสาทสัมผัสรวดเร็วเช่นชาวยุทธ์ที่ถูกฝึกปรือมาหนักหน่วง
“ นี่มันกลิ่นอะไรนะ กลิ่นหอมชื่นใจเช่นนี้ราวกับกลิ่นสาวงามในหอนางโลม ” มันพึมพำ กลิ่นเช่นนี้ช่างปลุกปั่นความกระสันใคร่ในกายบุรุษให้ลุกโชน
องค์หญิงหยางมี่สะดุ้งโหยง นางกลัวจนตัวสั่น ทว่าสมองกลับว่างเปล่าคิดสิ่งใดไม่ออก ทันใดนั้นมันก็มายืนจังก้าอยู่เบื้องหน้านางเสียแล้ว !
“ ฮ่า ๆๆ ข้าคิดไว้มิผิด เป็นกลิ่นกายสาวงามจริงเสียด้วย ” มันยืนขวางหน้านางไว้ มิหนำซ้ำเหล่าลูกน้องที่ได้ยินก็ต่างกรูกันเข้ามา
“ ช่วยด้วย ! ” นางตะโกนสุดเสียงแล้วผุดลุกขึ้น ทว่าที่ได้ตอบกลับมาเพียงเสียงหัวเราะชอบใจของพวกมัน
“ ฮ่า ๆๆ ร้องอีกสิ ร้องเข้าไป พวกข้าชอบ ”
หยางมี่ออกวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต นางวิ่งออกมาไม่รู้เส้นทางถูกกิ่งไม้กับหนามเกี่ยวจนเกิดแผล เสื้อผ้าก็ฉีกขาด แต่นางไม่มีเวลาให้พิรี้พิไรกับความเจ็บปวดหรือเสื้อผ้าขาดวิ่นใด ๆ ทั้งนั้น ยามนี้ได้แต่วิงวอนขอให้สวรรค์เมตตาส่งให้ใครสักคนมาช่วยนางทีเถิด
กลุ่มโจรปล่อยให้สาวน้อยวิ่งหนีราวกับกระต่ายหนีหมาป่า พวกมันวิ่งตามส่งเสียงร้องไล่ตามหลังมาอย่างสนุกสนาน เพราะรู้ว่าเหยื่อไม่อาจหนีพวกมันพ้น และการที่นางวิ่งหนีด้วยความตื่นกลัวกลับยิ่งปลุกปั่นให้อารมณ์ราคะพลุ่งพล่านอย่างประหลาด
องค์หญิงหยางมี่วิ่งหนีสุดกำลังไม่สนทิศ หนีจนไม่รู้เลยว่านางได้วิ่งข้ามเขตแดนเข้ามายังเมืองถงโจว แม้ว่าวิ่งสุดกำลังทว่ากระต่ายไม่อาจหนีฝูงหมาป่าพ้น นางนั้นสะดุดกิ่งไม้จนล้มคว่ำนอนหมดแรง
พวกมันวิ่งตามมาไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งยังหัวเราะชอบใจ ทั้งหมดมายืนจังก้าล้อมรอบ จ้องมองนางด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ พวกท่านอย่าทำร้ายข้าเลย ” นางวอนขอ
“ ใครว่าพวกข้าจะทำร้ายเจ้า ข้าจะพาเจ้าขึ้นสวรรค์ต่างหากเล่า ” หัวหน้ากองโจรหัวเราะเสียงดัง พาให้เหล่าสมุนหัวเราะตาม พวกมันต่างอดอยากกามราคะมาหลายวัน วันนี้ถือว่าฟ้าดินเข้าข้างประทานหญิงงามหยาดฟ้ามาให้ระหว่างทาง
“ ข้ากลัวแล้วปล่อยข้าไปเถอะ ” แม้อ้อนวอนทั้งน้ำตาก็ไร้ผล กับคนชั่วหยาบช้าอย่างพวกมันไร้คำว่าปราณี
“ เช่นนั้นเจ้าก็อ้อนวอนกับเจ้านี่เถอะ ” หัวหน้ากองโจรปลดกางเกงลงเผยให้เห็นเจ้าโลกกำลังตั้งโด่ หยางมี่หลับตาตัวสั่นเทา นางหวาดกลัวที่สุดในชีวิต กรีดร้องร่ำไห้ออกมา
หัวหน้ากองโจรย่างสามขุมเข้ามาพร้อมเสียงร้องเซ็งแซ่สนับสนุนของเหล่าสมุน พวกมันจ้องมองหยางมี่ตาเป็นมัน หญิงสาวหลับตาร่ำไห้ตัวโยน จำต้องยอมรับชะตากรรม
ทุกอย่างเป็นเพราะนางทั้งนั้น หากยอมเชื่อฟังองครักษ์เซียวกับชุนฟางก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ดวงตาคู่งามเปียกโชกหยาดน้ำตา ไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองความโหดร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นแก่ตัวเอง
หากชั่วเสี้ยวพริบตา ท่อนเนื้อของหัวหน้าโจรก็ขาดสะบั้น เลือดสีแดงสดไหลพุ่งออกมา มันร้องโอดโอยพลางล้มตัวลงบนพื้น มือนอนกุมเป้า มีดสั้นสีดำสนิทเล่มหนึ่งพุ่งปักลงเบื้องหน้าพวกมัน คราบเลือดที่เพิ่งเฉือนแท่งเนื้อหัวหน้าโจรยังอาบย้อมใบมีดสีดำสนิทให้ยิ่งเข้มขึ้น
ทันทีที่พวกมันเห็นมีดสั้นเล่มนั้นสองขาก็อ่อนลงไร้กำลัง เป็นที่เลื่องลือกันว่า ณ ดินแดงถงโจว มีสองแม่ทัพพี่น้องยอดฝีมือผู้ไม่เคยแพ้สงคราม สังหารศัตรูมานับพัน พวกเขานั้นไร้ปราณีฝีมือยิ่งเยี่ยมยอด ไร้คู่ต่อกร ช่ำชองการใช้ทุกศัสตราวุธ และอาวุธทุกชิ้นของเขาล้วนเป็นสีดำ ว่ากันว่าเหตุที่เขาผู้นั้นใช้อาวุธสีดำเพื่อเป็นสัญญาณเตือนว่าหากใครคิดเป็นศัตรูกับเขามันผู้นั้นย่อมเปิดประตูยมโลก
“ พะ.. พวกเรา เข้ามาในเขตถงโจวแล้วใช่ไหม ” สมุนโจรผู้หนึ่งตะกุกตะกักพร่ำพูดด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่น
และแทนคำตอบ พวกมันทุกคนต่างถูกส่งไปชดใช้กรรมในยมโลกโดยใช้เวลาไม่กี่อึดใจ แผ่นดินบริเวณนั้นมีสีแดงของเหล่าโจรชั่วเนืองนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
หยางมี่ร่ำไห้หวาดกลัว ดวงตาเบิกโพลงจ้องมองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างตื่นตะลึง จนกระทั่งความวุ่นวายสงบลง
สองบุรุษร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันที่เป็นมือสังหารพวกโจรชั่วนั้นต่างพากันมองมายังนาง ทั้งคู่สวมชุดดำ ผ้าคลุมหน้าสีดำเผยให้เห็นเพียงดวงตาเข้มคมดุดันและสุขุมน่าเกรงขามราวพญาอินทรีย์
เขาทั้งสองคือสองพี่น้องสกุลจ้าวแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพแห่งเมืองถงโจว จ้าวหยางเฟยผู้พี่ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ ถัดมาคือจ้าวซือถงผู้น้อง บังเอิญว่าทั้งสองมาตรวจตราชายแดน บังเอิญมาหญิงสาวกำลังจะถูกโจรชั่วรุมทำร้าย จึงเข้าช่วยเหลือ
จ้าวหยางเฟยมองปราดเดียวก็คาดเดาบางสิ่งได้
“ นี่เจ้ามาจากชางชุนรึ ” เพราะชุดที่นางสวมใส่เป็นชุดผ้าทออันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองชางชุน
“ ท่านพี่รู้ได้อย่างไร ” จ้าวซือถงผู้น้องแปลกใจ ยังไม่ทันที่คนเป็นพี่จะได้ตอบ หญิงสาวที่นั่งตาเบิกโพลงเพราะความกลัวและตกใจจนสติล่องลอยเลือนหาย จู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นทันทีหมายจะวิ่งหนี จ้าวซือถงอยู่ใกล้นางเขารีบยื่นมือเพื่อคว้าแขนนางเอาไว้ หมายบอกว่าพวกเขามาช่วย นางปลอดภัยแล้ว
นางก้าวถอยหลังจังหวะเดียวกันกับที่ถูกรั้งแขนเอาไว้ ทำให้ร่างบางเสียหลักหงายหลัง ศีรษะของนางฟาดกับพื้นดินด้านหลังเต็มแรง !
“ เฮ้ย ! ”
จ้าวซือถงร้องขึ้นอย่างตกใจก่อนทรุดลงมองร่างที่แน่นิ่งบนพื้น ยื่นนิ้วไปอังที่โด่งสวยได้รูปของนางก่อนเงยหน้าขึ้นมองพี่ชาย
“ นางยังมีลมหายใจ ยังไม่ตาย น่าจะแค่สลบไป ”
“ อุ้มนางกลับค่าย ” จ้าวหยางเฟยผู้พี่สั่งก่อนเดินนำน้องชายไป ผู้เป็นน้องทำตามอย่างรู้สึกผิด เพราะโทษตัวเองว่าเขาเป็นต้นเหตุทำให้นางล้มหัวฟาดพื้น