ตอนที่ 2 บอกให้ถอด!
ปรีดาขับรถกลับมาถึงห้องตอนเกือบหนึ่งทุ่ม สิ่งที่ไม่คาดคิดก็รอเธออยู่ที่หน้าประตูหอพักหญิง ตรงม้าหินอ่อนมีชายวัยกลางคนนั่งกอดอกรอคอยบุตรสาวกลับมาจากโรงเรียน
“พ่อ!!” เด็กสาวมองเห็นรีบจอดรถในทันที สีหน้าที่สดใสในตอนแรกบัดนี้กำลังซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัดเจน
“โทรหาไม่ติด พ่อต้องมาหาถึงนี่?” สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามและห่วงใย ซ่อนความไม่พอใจเอาไว้อย่างเข้มขรึม
“หนูไปบ้านเพื่อนมาก็เลยกลับค่ำ” เธอเดินเข้ามาสวมกอดกลบเกลื่อนความผิดของตนเองพร้อมใช้ลูกอ้อนเช่นเคย
“ไม่ต้องเลย รู้ไหมว่าพ่อเป็นห่วงแค่ไหน จบเทอมนี้ย้ายกลับไปเรียนที่บ้านเข้าใจใช่ไหม” วิชัยออกคำสั่งเด็ดขาด
“หนูสัญญาว่าจะไม่กลับห้องมืดค่ำเหมือนวันนี้แล้ว ตอนนี้หนูกำลังมีเพื่อนนะคะ พ่อขา...” เธอใช้เสียงอ้อนไม่สนใจสายตาเพื่อนร่วมหอพักที่เดินผ่านไปมา
“ไปไหนมาตอบมาตามความจริง พ่อโทรหาเพื่อนลูกทุกคนเขาก็บอกว่าไม่รู้ว่าไปไหน” วิชัยสงสัยเพราะคำตอบที่ได้รับไม่ตรงกับสิ่งที่เขาได้ยินมา แถมลูกสาวยังหลบสายตาเหมือนกระทำความผิด
“หนู...คือ...หนูไปทำงานพิเศษมา” เธอตอบเสียงเบา คนเป็นพ่อยิ่งขมวดคิ้วสงสัย
งานพิเศษ! บ้าบอคอแตกอะไร! กูไม่ได้จนถึงขนาดต้องให้ลูกสาวไปทำงานพิเศษแล้วกลับห้องมืดค่ำแบบนี้
“หมายความว่าไง?” วิชัยยังคงสีหน้าปกติ รอฟังคำอธิบายจากปากเล็กที่คัดลอกมาจากภรรยา
“ก็คือ...รุ่นพี่เขาขาดคนเลี้ยงหมา หนูเลยไปช่วยเขาก็ให้ค่าจ้างนี่ไง” เธองัดหลักฐานขึ้นมาโชว์ ธนบัตรหนึ่งพันสามพับที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนถูกยื่นส่งไปตรงหน้า
“มันขาดคนเลี้ยงหมาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับลูก แก้ตัวก็ให้มันมีเหตุมีผลหน่อยเถอะ เงินแค่นี้ทำไมต้องลำบากลำบนไปทำงานแล้วกลับห้องมืดค่ำ มันอันตรายแค่ไหนผู้หญิงตัวคนเดียว”
ถึงอยากดุด่าปรีดามากแค่ไหน แต่พอมองเห็นดวงตากลมโตที่จ้องมองมาก็ต้องถอนหายใจ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความน่ารักน่าเอ็นดูที่มองกี่ครั้งยิ่งทำให้นึกถึงภรรยาที่จากไป
“หนูแค่อยากหาตังค์เองบ้าง นี่ก็ใกล้วันเกิดพ่อแล้วปริมแค่อยากหาตังค์ซื้อของขวัญให้พ่อ” นี่คือความคิดแก้ตัวที่แว็บเข้ามาในสมองเพื่อแก้สถานการณ์ในตอนนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี
“ไม่จำเป็น พ่อไม่อยากได้อะไร ลูกคือของขวัญที่ดีที่สุดของพ่อเข้าใจไหม แล้วทำไมถึงโทรหาไม่ติด”
“แบตหมด” เธอล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากระโปรงนักเรียนส่งให้พ่อดู
“ไปกินข้าวกัน” เขาหยิบโทรศัพท์ในมือขึ้นมาดูเหมือนคนขี้สงสัย ก่อนได้ยินเสียงถอนหายใจ “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวออกไปกินข้าวข้างนอกกัน”
“โอเค งั้นพ่อรอหนูสิบนาที” ปรีดายิ้มกว้างแล้วรีบนำรถไปจอดเอาไว้ที่โรงจอดรถ ขึ้นมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วแสง
รุ่งเช้าเด็กสาวตื่นนอนในเวลาหกโมงทำกิจวัตรประจำวันเสร็จเตรียมพร้อมไปโรงเรียนในเวลาเจ็ดโมงเศษ ไปถึงที่โรงเรียนไม่เกินเจ็ดโมงสี่สิบในทุกวัน ในโรงจอดรถเธอมักจะมองเห็นกลุ่มนักเรียนชายที่เป็นรุ่นพี่ประจำ และยังได้ยินเสียงเอ่ยแซวเหมือนเช่นทุกวัน
“น้องแว่น วันนี้ก็มาคนเดี๋ยวเหรอจ๊ะ” หนึ่งในกลุ่มนักเรียนชายเอ่ยถาม เธอทำได้เพียงหันไปยิ้มให้เพราะไม่อยากให้รุ่นพี่คิดว่าเธอหยิ่ง
“แล้วมึงเห็นน้องมันมาสองคนหรือไง” เพื่อนอีกคนหัวเราะ แต่ก็จบแค่นั้นด้วยการที่เธอเดินขึ้นห้องเพื่อเก็บกระเป๋านักเรียนที่โต๊ะ
ปรีดานั่งลงที่เก้าอี้หยิบนมและขนมปังที่ซื้อมาจากร้านค้าหน้าปากซอยติดไม้ติดมือมาด้วยในทุกเช้า แถมยังมีส่วนของเพื่อนสนิทอีกสองคนที่กำลังเดินเข้ามาในห้องเรียน
“อิปริม เมื่อวานมึงเป็นไงพ่อมึงถึงได้โทรหาพวกกู” แมรี่ถามด้วยความสงสัย “ไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีใช่ไหม?”
“ใช่กูกับอิแมรี่ว่าจะไปหามึงถึงหอแล้วนะเมื่อวาน ดีที่มึงส่งข้อความมาก่อน” นิดาทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ด้านข้าง
“เมื่อวานกูไปเอารองเท้ามา”
“ห๊า!!” เพื่อนทั้งสองหันมองหน้าเธอ
“แล้วไงต่อเล่ามาเร็ว” แมรี่เร่งให้เพื่อนเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ฟัง ก่อนที่เสียงหัวเราะของนิดาจะดังขึ้นผสมโรงกับตุ๊ดหน้าใส
“ให้มึงไปทำความสะอาดห้องหมาเนี่ยนะ กูก็นึกว่าจะมีความโรแมนติกซะอีก” ทั้งสองยังหัวเราะไม่เลิก
“กูบอกพ่อแล้วนะว่าจะไม่ไปอีก แต่จะบอกเขายังไงดี” ปรีดาคิดหนักเพราะเรื่องนี้เธอไม่สามารถขัดคำสั่งของพ่อได้ หากไม่รับปากเมื่อวานคงได้ย้ายกลับไปเรียนโรงเรียนแถวบ้านอย่างแน่นอน
“ก็ไปบอกเขาตามตรง กูพึ่งเจอกับเขานะ ลองไปบอกเขาตอนนี้ดีไหมเดี๋ยวพวกกูไปเป็นเพื่อน” นิดาไม่อยากเห็นเธอนั่งคิดมาก วันนี้คงไม่มีกะจิตกะใจเรียนทั้งวัน
“เอางั้นเหรอ” เธอไม่แน่ใจว่าต้องเริ่มบอกเรื่องนี้กับสิงหราชเช่นไร
สุดท้ายแมรี่ก็ลากเธอมายังห้องเรียนชั้นมอหก ชะเง้อคอมองหารุ่นพี่สุดหล่อไม่นานก็เรียกให้ออกมาคุยกันหน้าห้อง สิงหราชมองคู่กรณีด้วยสายตาเรียบเฉย
“มีอะไร?” เขานั่งลงตรงระเบียงหน้าห้อง สายตามองไปยังรุ่นน้องอีกสองคน
“คือ...ฉันไม่อยากไปทำความสะอาดห้องหมาให้พี่แล้ว”
“ทำไม?” สิงหราชนั่งตัวตรงกอดอกมองปรีดาด้วยสายตาไม่พอใจ ไหนตกลงกันเอาไว้แล้ว ตอนนี้จะมากลับคำมันง่ายไปไหมตอบ!
“เมื่อวานกลับค่ำ พ่อมาตามถึงหอเลย พ่อไม่ให้ทำแล้วให้ฉันทำอย่างอื่นแทนได้ไหม หรือจะเรียกค่าเสียหายเท่าไหร่ก็ว่ามา” เธอใช่คนจนซะที่ไหน ใช้เงินแก้ปัญหานั้นง่ายสำหรับเธออยู่แล้ว
“ไม่ชอบคนพูดแล้วไม่ทำเลยวะ เห็นเป็นเพื่อนเล่นหรือไง” เขาลุกขึ้นยืนก่อนเดินเข้ามาใกล้ “ถอดออกมา” เขาใช้เท้าเขี่ยลงไปที่รองเท้านักเรียนของเด็กสาว
“ถอดทำไม?” ปรีดาไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องถอดรองเท้า
“ถามมากบอกให้ถอดก็ถอดมา!” เขายืนกอดอกสบสายตากับเธอ “ยืนมองหน้าทำไม บอกให้ถอดไงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องเหรอ” เขาทำน้ำเสียงไม่พอใจ ยิ่งเห็นดวงตากลมโตผ่านแว่นสายตาที่ไม่มีความสำนึกผิดเขายิ่งเกิดอารมณ์โมโห
“ก็ตอบมาก่อนว่าให้ถอดทำไม” เธอยังไม่ยอมทำตามที่เขาสั่ง ถอยห่างออกไปสองก้าวระวังตัวเอง หากแต่สิงหราชกลับเดินตามมา เมื่อเห็นว่าเด็กสาวไม่ยอมถอดเขาจึงก้มลงถอดรองเท้าของเธอ
“ถอดมาอีกข้าง” เขาถอดรองเท้าได้แค่ข้างเดียว ส่วนอีกข้างปรีดาสับขาหลอกไปมาเหมือนกำลังแกล้งเขาอยู่
“ไม่ถอด! เอารองเท้าคืนมานะ!” เสียงของเธอดังจนคนเริ่มเข้ามามุงดู “บอกให้เอารองเท้าคืนมาไง!” เพื่อนสองคนที่ยืนดูเหตุการณ์เข้ามาช่วยเหลือหากแต่ถูกเพื่อนของสิงหราชกันเอาไว้
“ไม่ให้จะทำไม เอาอีกข้างมา” เขาเดินเข้ามาใกล้ก่อนใช้ความเร็วถอดรองเท้าของปรีดาจนสำเร็จอีกข้างและถือเอาไว้ในมือ
สิงหราชชูรองเท้านักเรียนสีดำหญิงทั้งสองข้างขึ้น ก่อนเดินมายังสุดระเบียงซึ่งมีเด็กสาววิ่งตามร้องขอรองเท้าคืนอย่างน่าสงสาร แต่ไม่ทันที่จะได้พูดสิ่งใดรองเท้าในมือของเขาก็ถูกโยนลงไปยังด้านล่าง
ปรีดาอ้าปากค้างวิ่งมาเกาะที่ราวระเบียงชั้นสี่ ด้านล่างมีกองขยะที่กำลังถูกเผาด้วยฝีมือของภารโรง เธอกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วจ้องมองไปยังสิงหราชด้วยความคับแค้นใจ
“ไอ้คนชั่ว!” เธอด่าเขาเสียงดัง และตามมาด้วยคำด่าอีกหลายชุดเท่าที่จะขุดออกมาจากสมองได้
“แค่นี้ถือว่าน้อยเกินไปนะกับสิ่งที่เธอทำ...หายกันแล้วนะ ฉันเกลียดที่สุดคือคนที่ไม่รักษาคำพูด” เขาเดินผ่านหน้าเธอไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เธอกดด่าเขาอยู่ในใจทั้งสาปแช่งให้ตายวันละหลายสิบครั้งด้วยความเกลียดชัง เกิดชาติหน้าฉันใดก็อย่าได้พบได้เจอผู้ชายใจดำแบบไอ้สิงหราช!!