EP.7 กราบขอโทษ(2)
แต่พอกำลังจะลุกฟาเรนก็เดินเข้ามากระแทกชนไหล่ของฉันอย่างแรง ก่อนที่เขาจะเดินออกไปอย่างไม่พูดอะไรอีกเลยแม้แต่คำเดียว
"ฉันเหมาทั้งคืนเธอคิดเท่าไหร่?" คลินต์หันมาถามเมเปิ้ลที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
"สองหมื่นค่ะคุณคลินต์" เธอตอบคลินต์อย่างเสียงอ่อนเสียงหวาน
"โอเค งั้นของที่เสียหายวันนี้ลงบิลฉันไว้เลยนะ" คลินต์ตบไหล่เจ๊ดาวที่ยืนหน้าซีด ๆ เอาแต่ก้มหน้าคำนับพวกเด็กวัยรุ่นที่อายุอ่อนกว่าตัวเองเป็นสิบปีน่าจะได้
"ได้ค่ะ คุณคลินต์"
"กราบขอบพระคุณมากเลยนะคะ" เจ๊ดาวไหว้คลินต์อย่างไม่อาย
"เมเปิ้ล ดูแลคุณคลินต์ให้เต็มที่เลยนะ" เจ๊ดาวหันไปกำชับกับเมเปิ้ลทันที
"ค่ะเจ๊" เธอก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับคลินต์อย่างหน้าตาเฉย
ฉันยังคงคุกเข่าอยู่แบบนั้น อย่างพูดไม่ออกเลย เมื่อกี้พวกเขาเพิ่งจะตกลงราคาค่าตัวสำหรับการขายบริการในคืนนี้งั้นน่ะเหรอ?
ฉันชันเข่าลุกขึ้นยืนมองทั้งคลินต์และเมเปิ้ลเดินออกจากผับไปด้วยความรู้สึกที่หดหู่ใจเหลือเกิน
"บางคน ไม่ได้อยากเลือกอาชีพแบบนี้หรอกนะ" เจ๊ดาวพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าฉันมองตามเมเปิ้ลไปอย่างไม่ละสายตาไปทางอื่น
"เขาไม่ได้เลือกมาทำงานนี้ เพราะว่าเขาชอบหรอกนะ"
"แต่เพราะเงิน" เจ๊ดาวพูดขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมา
"และเพื่อความอยู่รอดต่างหาก ผู้หญิงพวกนี้ถึงยอมขายศักดิ์ศรีตัวเองแลกมา" เธอเอ่ยขึ้นและตวัดสายตามามองทางฉันนิ่ง ๆ
"อย่างเมเปิ้ล ที่มาเอาดีทางด้านงานแบบนี้ก็เพราะว่าน้องชายของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซค์เมื่อปีที่แล้ว"
"ต้องรักษาตัวอยู่ที่ห้องไอซียู ซึ่งค่าใช้จ่ายมันก็ไม่น้อยเลยในแต่ละเดือน"
"เธอสมัครใจมาทำงานนี้ เพื่อเอาเงินที่ได้ไปต่อลมหายใจของน้องชายตัวเอง"
"ถ้าในสังคมนี้มีอาชีพดี ๆ ให้เลือกตั้งเยอะแยะจริง ๆ…"
"ตัวเธอเองก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก จริงไหม?" เจ๊ดาวพูดความจริงใส่หน้าฉัน แม้ว่ามันยากจะยอมรับแต่ฉันก็ต้องก้มหน้ารับต่อชะตากรรมนี้
"เธอคิดว่าตัวเองสามารถหาเงิน...สองหมื่นได้ภายในคืนเดียวไหม?" หญิงสาววัยสามสิบเอ่ยถามฉันและยืนรอคำตอบ
ฉันส่ายหน้าตอบไปอย่างพูดไม่ออกเลย
"ถ้าเธอไม่พร้อมทำงานแบบนี้ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาที่นี่อีกนะ" เจ๊ดาวบีบไหล่ของฉันเบา ๆ ก่อนจะทิ้งฉันอยู่ตามลำพัง
ฉันมองไปรอบ ๆ ผับหรูหรา ใบหน้าของหญิงสาววัยรุ่นที่ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัว เต้นยั่ว ๆ ดื่มกับแขกจนเมาปลิ้น นั่งพูดคุยเอาอกเอาใจผู้ชายมากหน้าหลายตา ก็เพื่อเงินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
@ห้องน้ำขิง (หอพักนักศึกษา)
"ถ้าหนูเรียนจบ มีงานมีการทำที่ดี" ฉันมองรูปถ่ายของตัวเองกับพี่สาวคนโตและพูดกับรูปถ่ายนั้นอย่างเจ็บปวดเหลือเกิน
"หนูจะรีบไปช่วยพี่น้ำหวานนะ อดทนรอหนูหน่อยนะคะ" ฉันกอดรูปภาพสีจาง ๆ ใบนั้น และผล็อยหลับไปทั้งน้ำตาเหมือนเช่นทุกคืนที่ผ่าน ๆ มา
-เช้าวันต่อมา-
ฉันต้องรีบตื่นมาอาบน้ำแปรงฟัน และเตรียมตัวอ่านหนังสือในช่วงเช้า โชคดีที่วันนี้ฉันมีเรียนภาคบ่าย ก็เลยพอมีเวลาได้ทบทวนบทเรียนบ้าง
ฉันเป็นเด็กทุนที่ใกล้จะหลุดทุนเต็มทีแล้ว เพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนเรื่องที่เรียนก่อนจะสอบเลย
เวลาทั้งหมดอยู่กับการวิ่งวุ่นทำงานพาร์ตไทม์ เรียกได้ว่าชีวิตในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่ชั่วโมงเดียว
ครืด ครืด ~ ~
(สายเรียกเข้าจาก พี่แยม)
พี่แยมคือ พี่หัวหน้างานร้านไอศกรีมที่ฉันไปขายตอนเย็น ๆ
พี่แยมโทรหาฉันทำไมกันนะ ฉันมองหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะรีบกดรับสายทันที
"สวัสดีค่ะพี่แยม โทรหาขิงมีอะไรรึเปล่าคะ?" ฉันเอ่ยตอบปลายสายไปอย่างอ่อนน้อม
(ยัยขิงเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น?) ปลายสายเอ่ยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงดูไม่สู้ดีสักเท่าไหร่
"เมื่อคืน?" ฉันขมวดคิ้วอย่างงุนงง
(ก็เมื่อกี้เพื่อนที่พี่ฝากงานให้เราน่ะสิ)
"เจ๊ดาวเหรอคะ?" ฉันเอ่ยถามกลับไปทันที
(ใช่)
(นางเพิ่งโดนเจ้าของผับไล่ออกจากงาน)
"ไล่ออก" ฉันชะงักไปทันที
(นางโทรมาร้องไห้ ด่าทอใส่พี่ใหญ่เลยว่าที่นางโดนไล่ออกเป็นเพราะเธอ) สิ่งที่พี่แยมพูดทำเอาฉันนิ่งไปอย่างทำอะไรไม่ถูกเลยจริง ๆ
(ยัยดาวมันเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว)
(ทำงานหาเงินเลี้ยงลูก และยังต้องผ่อนใช้หนี้พนันให้กับผัวเก่าเพียงลำพัง)
(ตอนนี้ยังมาตกงานอีก)
(พี่ถามมันก็เอาแต่ด่า ๆ พี่)
(ไม่ยอมอธิบายให้พี่ฟัง พี่ก็เลยโทรถามเอาสาเหตุจากเราเนี่ยแหละ)
(ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมยัยดาวถึงโดนไล่ออกเพราะน้ำขิงได้?)
"ฟาเรน!" ฉันกัดฟันพูดชื่อนั้นอย่างกำหมัดแน่น
"เอาอย่างงี้นะคะ...พี่แยมโทรไปปลอบใจเจ๊ดาวก่อนนะคะ"
"ขิงขอลองหาทางจัดการเรื่องนี้เองก่อน แล้วขิงจะรีบติดต่อกลับไปค่ะ"
"แต่ยังไงขิงฝากขอโทษเจ๊ดาวด้วยนะคะ ที่ทำให้เดือดร้อนขนาดนี้" ฉันหลับตาเอ่ยบอกกับปลายสายไป
(อ่า ๆ ได้ความยังไงก็รีบโทรบอกพี่นะ) พี่แยมพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะตัดสายไป
@มหาลัย
ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์
ฉันมายืนดักรอฟาเรนอยู่สักพัก จนในที่สุดเขาก็โผล่มาจนได้...
"ฟาเรน" ฉันตะโกนลั่นเรียกชื่อของฟาเรนที่กำลังเดินโอบสาวสวยจากคณะอื่น ๆ เดินผ่านมาตรงหน้าตึกวิศวะที่ฉันยืนดักรออยู่พอดี
"อ้าว..ยัยน้ำขังนี่เอง!" ฟาเรนหันมาปรายตามองฉันก่อนจะยิ้มออกมาทันทีที่เจอหน้า
น้ำขัง พ่อง! ฉันได้แต่คิดในใจ
"เมื่อคืนฉันก็ยอมคุกเข่าและไหว้ขอโทษไปแล้ว" ฉันเดินไปเผชิญหน้า
"ทำไมวันนี้พี่คนนั้นถึงโดนไล่ออก?" จ้องเข้าไปในแววตาคมกริบคู่นั้น และถามไปด้วยน้ำเสียงที่โมโหแบบสุดขีด
"ขอโทษแล้วไง... ฉันไม่ได้บอกนี่ว่า…"
"ฉันจะยกโทษให้"
คำตอบของฟาเรนทำเอาฉันแทบคลั่งจนอยากจะกระโดดถีบยอดหน้าเขาให้หงายไปเลยจริง ๆ
"แต่นายทำลายอนาคตของคนอื่น เพื่อต้องการเอาชนะฉันเนี่ยนะ?" ฉันกำหมัดแน่นถามเขาไปอย่างมือสั่น
ฟาเรนทำท่าคิดอยู่สักพัก
"ใช่" เขาตอบกลับมาด้วยท่าทีสะใจที่ได้เห็นฉันคลั่งเจียนบ้าแบบนี้
"นายรู้ไหม ว่าพี่คนนั้นเขาต้องเดือดร้อนมากแค่ไหนที่ต้องตกงานอะ" ฉันพยายามขอความเห็นใจจากคนที่ไร้จิตสำนึกอย่างฟาเรน
"พล่ามจบรึยัง?" ฟาเรนเลิกคิ้วถามอย่างไม่ใส่ใจ
"ฉันไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระของเธอหรอกนะ" ฟาเรนพูดขึ้นพร้อมกับลูบปลายคางของฉันก่อนจะลดมือไปควงแขนผู้หญิงหน้าตาดีที่สวมใส่ชุดนักศึกษารัดรูปต่อทันที
"และจำเอาไว้ อย่ามาเก่งกับฉัน!" เขาขยับใบหน้าเข้ามาหาฉันแทบจะกระชั้นชิด
"เพราะสุดท้ายเธอก็ต้องมาสยบแทบเท้าฉันอยู่ดี" ฟาเรนพ่นคำพูดใส่หน้าพร้อมกับแววตาคมกริบที่มองฉันอย่างดูถูก
"ฟาเรน" ฉันกัดฟันเรียกชื่อนั้นเสียงสั่น แม้ว่าจะอดทนนับ 1 ถึง 100 แต่ไม่ไหวจริง ๆ
ขวับ!
ฉันกระชากแก้วน้ำเปล่าเย็น ๆ ที่มีน้ำแข็งก้อนเล็กเต็มแก้ว จากมือของผู้หญิงที่ยืนถัดออกไปจากฟาเรน และสาดใส่หน้าเขาทันที
ซ่าส์ ~ ~
"ไอ้ชาติหมา!"
END OF NAM KHING’S PART