ตอนที่ 4 ผู้ชายป่าเถื่อน
อาเหม็ดหันกลับมามองหญิงสาวใต้ร่างของเขาอย่างคาดโทษ “คราวนี้คุณรอดไป แต่คราวหน้าไม่มีทางรอดเงื้อมือผมแน่...อภัสรา” เขาผละจากร่างบางแล้วลุกขึ้นก่อนจะดึงให้หญิงสาวลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายขืนตัวเอาไว้ ชายหนุ่มจึงหันมาตะคอกใส่อีกครั้ง “ถ้าจะเก่งก็ให้มันรู้จังหวะบ้าง ถ้าคุณไม่มานั่งและรัดเข็มขัดรับรองหัวคุณโหม่งกับพื้นเครื่องบินตายแน่”
“ดีสิฉันจะได้ไม่ต้องทนทุกข์อยู่กับผู้ชายป่าเถื่อนอย่างคุณ”
“คุณมันพยศจนเกินดีไปเสียแล้วนะ รู้ไหมว่าผู้หญิงที่นี่เขาไม่เคยมีปากเสียงกับผู้ชาย แม้แต่จะเถียงก็ไม่กล้าจำเอาไว้ด้วย” เขาบอกพร้อมกับกระชากหญิงสาวให้มานั่งที่เก้าอี้แล้วเขาก็จัดการคาดเข้มขัดนิรภัยให้กับเธอ จากนั้นก็หันมาจัดการกับของตัวเองบ้าง “ถึงบ้านผมเมื่อไรคุณคงต้องโดนจับอบรมเสียใหม่แล้ว”
“ฉันจะไม่อยู่ให้คนอย่างคุณโขลกสับหรอก ฉันต้องทำยังไงถึงจะเป็นอิสระ” อภัสราพยายามใจเย็นลงเผื่อจะต่อรองกับอีกฝ่ายได้
“มีทางเดียว” เขาหันมายิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก
“อะไรรีบบอกฉันมาสิ” เธอทำท่าทางตื่นเต้นไม่น้อย แต่แล้วมันก็เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวและจางหายไปเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา “คุณต้องหาเงินมาใช้หนี้ผมให้หมด แล้วคุณจะเป็นอิสระ” หญิงสาวเม้มปากแน่น
“เงินตั้งสิบล้านบาทไม่ใช่แค่ร้อยหรือสองร้อยนะ”
“งั้นก็มีอีกทาง” เขาหันมามองสบตาเธอนิ่ง “คุณต้องใช้ร่างกายของคุณทำให้ผมพอใจ ยิ่งผมพอใจมากเท่าไรคุณก็จะเป็นอิสระเร็วแค่นั้น”
“ไม่มีทาง ฉันบอกแล้วไงว่ายอมตาย” เธอสะบัดหน้าหนีเขามองลงไปยังเบื้องล่างที่ตอนนี้ผิดกับครั้งแรกที่เจอเห็นกันลิบลับ ถนนหนทางและอาคารบ้านเรือน ตึกสูงใหญ่ตั้งเรียงรายและตระหง่านอย่างเป็นระเบียบไม่น่าเชื่อว่าเมืองนี้จะตั้งอยู่กลางทะเลทรายด้วยซ้ำไป
อาเหม็ดลอบมองเสี้ยวหน้านวลของหญิงสาวที่เขาเกือบได้สัมผัสมันแล้ว แต่ถึงจะช้าหรือเร็วผู้หญิงคนนี้ก็หนีไม่รอดเงื้อมือเขาไปได้แน่ เขาเองก็อดสงสารไม่ได้ที่ต้องโดนพี่ชายบ้าการพนันขายทอดราวกับสินค้าในตลาด ถ้าเขามีน้องสาวเขาคงทำให้เธอมีความสุขมากกว่าจะให้มีความทุกข์แบบนี้ ชายหนุ่มคิดแล้วก็เบนสายตามองออกไปมองข้างนอกที่ระดับการบินลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งล้อเครื่องบินแตะกับพื้นลานเวย์สนามบินกลางของคูลฮาร์น
เมื่อเครื่องจอดนิ่งสนิทแล้วชายหนุ่มก็ปลดล็อกเข้มขัดนิรภัยของตนเองออกแล้วก็ลุกขึ้น อภัสรานั่งนิ่งไม่ไหวติ่งพร้อมกับเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ อาเหม็ดหรี่ตามองเธอก่อนจะก้าวเข้ามาแล้วเอื้อมมือมาปลดล็อกเข้มขัดนิรภัยให้เธอพร้อมกับกระชากแขนหญิงสาวให้ลุกขึ้น
“ทำแบบนี้ไม่ฉลาดเลยนะภัส” เขาเรียกชื่อเล่นเธออย่างสนิทสนม หญิงสาวบิดข้อมือออกมาจากมือใหญ่ของเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ใช่ ฉันไม่ฉลาด ถ้าฉันฉลาดล่ะก็คงหาอะไรตีหัวคุณให้แตกไปตั้งแต่อยู่บนเครื่องแล้ว”
“ตามผมมาและถ้าไม่อยากอายใครก็อย่าขัดคำสั่งของผม” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างและใบหน้าที่เคร่งเครียด แต่อภัสราไม่เคยเกรงกลัวคำขู่ของเขาแม้แต่น้อย “หึ อย่างมากคุณมันก็แค่ผู้ชายหน้าไม่อายที่รังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิง” เธอเชิดหน้าขึ้นท้าทายอีกฝ่าย
“คุณอยากลองดีก็ได้ ผมจะจัดให้” พูดจบริมฝีปากอุ่นๆก็ทาบลงมาบนเรียวปากงามสีแดงระเรื่อของอภัสราอย่างว่องไวจนเจ้าตัวตั้งรับไม่ทัน ความร้อนราวกับกระแสไฟร้อนๆแผ่ซ่านไปทั่วร่างบาง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ สองมือรีบยกขึ้นดันหน้าอกเขาอย่างอัตโนมัติแล้วออกแรงผลัก
“ปล่อยนะ! ไอ้บ้า ไอ้คนเลว!” หญิงสาวยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากแรงๆหลายครั้ง
“ผมเตือนคุณแล้ว และถ้าคุณยังแข็งข้อกับผมอีก คุณจะเจอมากกว่านี้” เขาเน้นเสียงอย่างหนักแน่นเพื่อให้อีกฝ่ายว่าเขาเอาจริง และอภัสราก็รู้ดีว่าเธอเล่นผิดคนเสียแล้ว
“ตามมา” ชายหนุ่มดึงมือเธอให้เดินตามเขาไป หญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเดินตามเขาไปเงียบด้วยความเจ็บใจ
อาเหม็ดเดินนำหน้าหญิงสาวลงมาจากเครื่องและตามด้วยอับลาฮิมและลูกน้องอีก 4 คน ทั้งหมดเดินตรงไปที่รถสีดำคันใหญ่ที่จอดเทียบอยู่ที่ริมฟุตบาท อภัสรานั่งคู่มากับเขาที่เบาะด้านหลัง ส่วนอับลาฮิมนั่งคู่มากับคนขับที่ด้านหน้า ตลอดทางที่รถแล่นผ่านตึกสูงและสถานที่สำคัญต่างๆหญิงสาวพยายามเก็บรายละเอียดทุกอย่างให้มากที่สุด แต่ความคิดของเธอก็ถูกอีกฝ่ายล่วงรู้จนได้
“ถ้ากำลังคิดหาทางหนีล่ะก็ ล้มเลิกได้เลย เพราะที่นี่เป็นถิ่นของผมแค่ผมบอกว่าคุณเป็นคนของผมก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งเกี่ยวกับคุณแล้ว และจำเอาไว้ให้ดีว่าอย่าทำอะไรให้ผมไม่พอใจไม่อย่างนั้นล่ะก็..” เขาหยุดพูดแล้วเปลี่ยนเป็นใช้สายตามองสำรวจไปทั่วร่างบาง หญิงสาวหนาววูบราวกับโดยลมหนาวพัดเข้าใส่
“ไปที่โรงแรมก่อน” เขาหันไปสั่งเสียงดังกับลูกน้องและอับลาฮิมก็หันมาโค้งให้เขาอย่างรับคำสั่ง
หญิงสาวไม่เคยคิดเลยว่าเพียงแค่ข้ามคืนชีวิตของเธอจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปได้ แต่เธอไม่เคยคิดโทษหรือโกรธเกลียดพี่ชายของเธอเลย ตั้งแต่เธอจำความได้เอริคก็แอบแกล้งเธอลับหลังบิดาและมารดาเป็นประจำ แต่เธอก็ไม่เคยฟ้องบิดาหรือมารดาสักครั้ง นั้นเป็นเพราะเธอรักพี่ชายคนนี้มากนั้นเอง น้ำตาของหญิงสาวไหลรินลงมาอีกครั้งโดยไร้เสียงสะอื้น เธอเจ็บใจตัวเองมากกว่าที่หลงกลเชื่อใจพี่ชายอย่างง่ายดาย
“เดี๋ยวผมจะแวะทำธุระก่อนถึงจะกลับบ้าน” อาเหม็ดหันมาบอกกับหญิงสาว
“เรื่องของคุณ ทาสอย่างฉันมีสิทธิ์รับรู้เรื่องของเจ้านายด้วยหรือไง” เธอตอบแบบหยันๆ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย ถ้าหันมาเธอก็คงจะได้เห็นสายตาอาฆาตของเขาที่จ้องมองมายังเธอ
“รู้ตัวก็ดี แล้วก็ควรทำหน้าที่ของทาสให้สมบูรณ์แบบด้วย”
“คุณต้องการให้ฉันทำอะไรก็บังคับมาได้เลย”
“ดี ฝีปากดี แล้วคืนนี้คุณจะได้รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง” เขากระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ อภัสราหลับตาลงขนแขนของเธอลุกซู่อย่างไม่มีเหตุผล ในเมื่อตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ก็ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปกรรมของเธอ
รถคันใหญ่เลี้ยวเข้าโรงแรมหรูขนาดใหญ่ระดับ 5 ดาวของคูลฮาร์นแล้วมาจดลงตรงทางขึ้นโรงแรม อาเหม็ดก้าวลงไปแล้วอ้อมมาอีกด้านก่อนจะเปิดประตูให้หญิงสาวก้าวลงมา “ลงมา” เขาสั่งเสียงแข็ง อภัสราก้าวลงมาตามคำสั่งของเขาเหมือนกับหุ่นยนต์เดินได้ ชายหนุ่มจึงโอบมือไปที่เอวคอดกิ่วแล้วพาเดินเข้าไปด้านในโรงแรม พนักงานภายในโรงแรมโค้งต่ำให้เขาเมื่อเขาเดินผ่านไปและมองด้วยสายตาสงสัยเมื่อเห็นหญิงสาวแปลกหน้าเช่นเธอเดินคู่มากับเขา ชายหนุ่มพาหญิงสาวเดินตรงไปที่ลิฟต์ อับลาฮิมกดเปิดประตูแล้วกดปุ่มขึ้นไปชั้นบนสุดของโรงแรม
อภัสรารู้สึกอึดอัดไม่น้อยที่ต้องใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้ กลิ่นกายของเขาทำให้เธอเผลอลืมตัวสูดลมหายใจเข้าไปหลายครั้ง หัวใจที่เต้นระรัวอยู่แล้วกลับเต้นเร็วแรงมากยิ่งขึ้น เธอยังจำสัมผัสจากเขาได้ดีเมื่อตอนที่อยู่บนเครื่องบิน ‘เธอเป็นอะไรไปอภัสรา เข้มแข็งเข้าไว้ผู้ชายคนนี้คือมารร้ายที่จะกำลังฆ่าเธอทั้งเป็นอย่าได้คิดอะไรเด็ดขาด’ หญิงสาวเตือนตัวเองและพอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดออก ลูกน้องของเขารีบเดินนำหน้าไปก่อนเพื่อไปเปิดประตูห้องรอให้เขาพาเธอเดินเข้าไปแล้วก็ปิดลงตามเดิม ส่วนตัวของพวกนั้นก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง
“คุณต้องรอผมอยู่บนนี้ และอย่าคิดหนีด้วยเพราะลูกน้องของผมจะไม่ปราณีคุณแน่” ชายหนุ่มปล่อยเธอให้เป็นอิสระแล้วเดินหายเข้าไปอีกห้อง อภัสราใช้ช่วงเวลานี้มองสำรวจไปทั่วห้อง ถ้าเธอเดาไม่ผิดห้องนี้น่าจะเป็นห้องสูทของผู้บริหาร การตบแต่งเน้นไปทางแนวอาหรับมากกว่าเป็นสากลเหมือนกับด้านล่าง ของใช้ทุกอย่างตกแต่งได้ลงตัวและจัดวางได้อย่างเหมาะสม หญิงสาวลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างกระจกใสแล้วมองออกไปด้านนอก ด้านนอกมีระเบียงยื่นออกไปเพื่อใช้ในการชมวิวด้านนอก เธออดทึ่งกับประเทศที่มีทะเลทรายแบบนี้ไม่ได้จริงๆ เธอมองเห็นทะเลทรายอยู่ไกลออกไปริบๆ ตอนนี้เธอคงอยู่ใจกลางเมืองล่ะมั้ง เพราะตึกที่สูงใหญ่ที่แข่งกันตั้งตระหง่านนั้นและถนนลาดยางอย่างดียาวไปจนสุดตา ถนนของที่นี่มีถึง 4 เลนและรถยนต์ของเขาก็ไม่แออัดเหมือนกับที่บ้านเมืองของเธอด้วย การจัดระเบียบของที่นี่คงเคร่งครัดมาก ความคิดของหญิงสาวถูกดึงกลับมาด้วยกลิ่นโคโลญอ่อนๆของชายชาตรีที่ปะทะมาเข้าจมูก อภัสรายืนตัวแข็งทื่อไม่คิดจะหันไปมองเขา
“ดูท่าทางคุณจะเรียบร้อยขึ้นมาก” อาเหม็ดเดินมายืนประกบด้านหลังของเธอเอาไว้ “ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผมอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้”
“คุณจะปล่อยฉันไปงั้นเหรอ” หญิงสาวหันกลับมาทันทีและลืมไปว่าเธอและเขายืนแนบชิดกันมากแค่ไหน
“ผมเสียเงินไปตั้งสิบล้าน คุณคิดว่าคนอย่างผมจะพาคุณมาที่นี่แล้วก็ปล่อยไปง่ายๆงั้นเหรอ จำไว้นะสาวน้อยอย่าเชื่อใจใครแม้แต่ญาติของตัวเอง” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่สวย อภัสราขบฟันเข้าหากันอย่างโมโหที่โดนเขาหลอกให้ดีใจเก้อ
“ตอนนี้เป็นทีของคุณ แต่อย่าให้ถึงทีฉันบ้างแล้วกัน” เธอเน้นเสียงลอดไรฟัน
“ผมไม่โง่ที่จะพลาดท่าให้คุณหรอกภัส ผมรู้ดีว่าผู้หญิงแบบคุณมีมารยาหลายร้อยเล่มเกวียนที่จะหลอกล่อผู้ชายให้ติดกับดักของคุณได้” ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ใบหน้าเนียน
“อย่าทำบ้าๆนะ” อภัสราเอียงหน้าหนี
“ยังหรอก ผมยังมีงานด่วนรออยู่ แล้วผมก็ไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย” เขายิ้มเยาะๆก่อนจะผละเดินจากไปดื้อๆ หญิงสาวกำมือพร้อมกับเม้มปากแน่น คว้าหมอนอิงบนโซฟายาวปาไปที่ประตูที่ปิดสนิทด้วยความโมโหจัด เธออยากจะร้องกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ก็ทำไม่ได้
ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของอับลาฮิมที่เดินนำหน้าพนักงานสาวสวยเข้ามา ในมือของเธอผู้นั้นมีถาดอาหารที่ส่งกลิ่นหอมเรียกน้ำลายของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี ก็ตอนนี้เธอคิดว่าสายแล้วแต่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องสักเม็ด พนักงานสาววางถาดลงแล้วเดินออกไปจากห้อง
“ทานอาหารเช้าได้แล้วครับ” อับลาฮิมโค้งให้เธออย่างให้เกียรติ
“คุณพูดภาษาไทยได้เก่งมาก คุณกับเจ้านายคุณคงไปเมืองไทยบ่อยสินะ” หญิงสาวชวนอีกฝ่ายคุย แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะตอบอย่างระมัดระวังตัวมาก
“บ้างครั้งผมต้องไปติดต่องานแทนเจ้านายก็เลยต้องเรียนรู้ไปด้วย”
“แล้วเจ้านายของคุณยิ่งใหญ่มากนักหรือไงถึงทำอะไรตามใจตัวเองได้อย่างไม่ผิดกฎหมายแบบนี้”
“ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือจัดอันดับนักธุรกิจระดับโลกก็คงจะเห็นรูปเจ้านายของผมติดหนึ่งในนั้น” อับลาฮิมตอบเสียงเรียบ อภัสราเดินมานั่งลงที่เก้าอี้แล้วมองจ้องอีกฝ่าย
“ฉันไม่เคยสนใจเรื่องแบบนั้น ชีวิตของฉันมีแต่งานและงานเท่านั้น”
“ถ้างั้นคุณเคยคุ้นชื่อ อาเหม็ด อัลลาฮา เซริคซัน อัลฟาฮาบ้างหรือเปล่า” ชายหนุ่มแนะ
“หนึ่งในสิบอันดับนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดและเนื้อหอมมากที่สุด หึ”เธอหัวเราะในลำคออย่างเยาะๆ “แต่ไม่มีใครรู้เลยว่านิสัยที่แท้จริงราวกับพวกโจรห้าร้อย ที่ใช่เงินเป็นเหยื่อล่อพวกปลาเล็กปลาน้อยที่หลงเข้ามาติดกับดัก”
“ถ้าคุณอยู่ไปแล้วก็จะรู้เองครับว่าเจ้านายไม่ใช่คนแบบนั้น”
“คงไม่มีวันนั้นแน่สำหรับฉัน เพราะคำว่าทาสสำหรับฉันมันคือสิ่งเลวร้ายที่สุดในชีวิต” หญิงสาวก้มลงมองมือของตัวเอง
อับลาฮิมรู้สึกสงสารหญิงสาวผู้นี้แต่ก็จนใจที่จะช่วย ถ้าจะโทษก็ควรจะโทษพี่ชายของเธอที่มีจิตใจชั่วร้ายขายได้แม้กระทั่งน้องสาวของตนเอง เขาเองก็ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น ประเทศที่เจริญแล้วอย่างประเทศไทยไม่น่าจะยังมีคนที่ขายคนอยู่ได้เลย “คุณทานอาหารเช้าก่อนเถอะครับเพราะอีกนานกว่าเจ้านายจะเสร็จงาน ถ้าง่วงก็นอนได้เลยนะครับเพราะดูหน้าตาคุณยังอ่อนเพลียอยู่”
“ขอบคุณมาก คุณออกไปเถอะไม่ต้องมายืนเฝ้าฉันหรอก ต่อให้ฉันมีปีกก็คงหนีไปจากที่นี่ไม่ได้แน่” เธอพูดประชดในชะตาชีวิตของตนเอง อับลาฮิมโค้งให้เธอแล้วก็เดินออกไป