ตอนที่ 4 แคมป์ทะเลทราย
ตึกบัญชาการ แคมป์ดุอาร์ เทือกเขานาดีน
แคมป์ดุอาร์เดิมเป็นเพียงป้อมปราการขนาดเล็ก มีอาคารที่ก่อด้วยปูนสูงสองชั้นเกือบ 10 หลัง ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดใหญ่ ด้านล่างมีโอเอซิสขนาดใหญ่ซึ่งมีทะเลสาบนาดีนเป็นแหล่งสร้างชีวิต น้ำในทะเลสาบแห่งนี้ไม่เคยเหือดแห้งไปเลย มีเรื่องเล่าต่อกันว่าทะเลสาบนาดีนแห่งนี้กำเนิดมาจากหยดเลือดของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าอากาศจะร้อนมากแค่ไหน น้ำในทะเลสาบก็ไม่ระเหยแห้งไปแม้แต่หยดเดียว
และที่นี่ก็คือที่ประทับของเจ้าชายอิมราน องค์รัชทายาทอันดับที่หนึ่งของซาตูเนีย หลังจากที่พระองค์อาสาพระเชษฐามาประจำการอยู่ที่นี่เพื่อคอยสอดส่องและกำจัดพวกก่อการร้ายที่ยังไม่หมดสิ้นไปจากแผ่นดินเพราะแคมป์แห่งนี้อยู่ห่างจากชายแดนประมาณ 50 กิโลเมตร
ต่อมาเมื่อชาวบ้านที่หนีตายมาจากกลุ่มคนร้ายตามตะเข็บชายแดนรู้ว่าเจ้าชายอิมรานประทับอยู่ที่ดุอาร์ก็ย้ายมาตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้ๆ เพราะคิดว่าที่นี่คือที่ๆ ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา ทำให้ในปัจจุบันนี้แคมป์ดุอาร์ได้กลายเป็นเหมือนกับหมู่บ้านเล็กๆ
“ทรงเรียกหากระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ” ซิยาดเดินเข้ามาโค้งต่ำให้เจ้านายหนุ่ม หลังจากถูกเรียกตัวเข้าพบโดยด่วน
“ท่านพี่โทรมาบอกว่าลูกสาวของท่านทูตจากประเทศไทยถูกคนของคอวาริจญ์จับตัวไป เราต้องรีบไปช่วยพวกเธอออกมา ก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาทางการเมือง” สีพระพักตร์ของเจ้าชายหนุ่มเคร่งเครียดมาก ก่อนจะประทับยืนขึ้นแล้วเสด็จไปยืนที่ริมหน้าต่างห้องทรงงาน
“ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็จะเข้าทางของพวกมันใช่ไหมพะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มเสริมต่อ
“ใช่” ราชนิกุลหนุ่มหันมาทางพยักพระพักตร์ “พวกมันต้องการให้เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศเพื่อให้ทางรัฐบาลไทยบีบให้ทางรัฐบาลของเรายอมทำตามเงื่อนไขของพวกมัน เพื่อแลกกับอิสระของลูกสาวท่านทูตไทย”
“ไอ้พวกสารเลว! กระหม่อมอยากจะเข้าไปกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซากจริงๆ!” ซิยาดสบถออกมาพร้อมกับกำมือแน่นอย่างโกรธแค้น
“ข้าก็อยากจะทำเช่นนั้น แต่ทุกครั้งที่เราบุกไปถึงรั้งใหญ่ของพวกมันก็พบแต่ความวางเปล่า พวกมันเหมือนกับรู้การเคลื่อนไหวของพวกเราตลอดเวลา” ทุกครั้งที่พระองค์ตามไปจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้าย พวกมันก็จะรู้ตัวและหนีรอดไปได้ทุกครั้งราวกับมีหนอนบ่อนไส้อยู่ในฝ่ายของพระองค์ ซึ่งความคิดนี้ทำให้พระองค์เจ็บแค้นในพระทัยเป็นอย่างมาก
“ฝ่าบาทคิดว่ามีเกลือเป็นหนอนในกลุ่มพวกเราใช่ไหมพะย่ะค่ะ”
“ใช่ ข้าแน่ใจว่าเป็นเช่นนั้นแน่ แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นใครเท่านั้น” ดวงเนตรคมหรี่ลง ก่อนจะเสด็จกลับมาประทับลงบนพระเก้าอี้ที่โต๊ะทรงงานอีกครั้ง
“แล้วพวกเธอมีกี่คนพะย่ะค่ะ”
“มีสามคน เป็นบุตรสาวของท่านทูตสองคน ส่วนอีกหนึ่งคนเป็นเพื่อนของพวกเธอ”
“สวยไหมพะย่ะค่ะ” ซิยาดเลิกคิ้วสูงพร้อมกับอมยิ้ม ที่เขาถามก็เผื่อว่าถ้าสวยล่ะก็ เจ้าชายหนุ่มของเขาก็อาจจะเลิกทำพระทัยตายด้านกับผู้หญิงเสียที เจ้านายของเขาหนีมาเก็บตัวอยู่ที่นี่หลายปีหลักจากพระทัยสลายจากพระชายาดานิช อดีตคู่รักเก่าแล้วก็ทรงปิดประตูหัวใจไม่มองหญิงสาวคนไหนอีกเลย
“เจ้าอยากรู้ไปทำไม” ชีคหนุ่มนิ่วพระพักตร์บึ้ง
“ก็เผื่อว่า...” องครักษ์หนุ่มพูดยังไม่ทันจบ สุรเสียงแข็งกร้าวก็ดังแทรกขึ้นเสียก่อน
“อย่าพูดมาก เจ้ารีบไปเตรียมตัวและจัดเตรียมหน่วยของเราให้พร้อม ทันทีที่รู้พิกัดของพวกมัน เราจะเข้าไปดักหน้าและชิงตัวลูกสาวของทูตไทยออกมาทันที แล้วเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับที่สุด”
“พะย่ะค่ะ” ซิยาดก้มศีรษะลงอีกครั้ง ก่อนจะถอยออกไป หน่วยของเขาคือหน่วยจู่โจมพิเศษ โดยมีเจ้าชายอิมรานเป็นหัวหน้าหน่วย ทหารทุกคนในหน่วยพิฆาตจะต้องถูกฝึกฝนมาอย่างดี ทั้งด้านสติปัญญาและอาวุธต่างๆ ไม่มีคำว่ากลัวตายจากทหารหน่วยนี้เพราะทุกคนพร้อมที่จะพลีชีพเพื่อประเทศชาติของตนเองเสมอ
โอเอซิสกลางทะเลทราย
พัชรินทร์รับรู้ได้ว่ารถยนต์กำลังชะลอความเร็วลง แต่เธอมองไม่เห็นว่าที่นี่มันคือที่ไหน บางทีอาจจะเป็นแหล่งส่องสุมกองโจรของพวกมันก็ได้ หญิงสาวรู้สึกใจเต้นรัวด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ยังควบคุมสติของตนเองเอาไว้
ครู่ต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงชายทั้งสองคนพูดคุยกันเป็นภาษาพื้นเมืองในขณะที่รถยนต์จอดสนิท ซึ่งเธอก็ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วเสียงประตูรถก็เปิดออก ก่อนที่ร่างของเธอจะถูกกระชากลงจากรถและถูกเหวี่ยงลงไปกองบนพื้นทราย จากนั้นถุงผ้าสีดำก็ถูกดึงออกจากศีรษะ ทำให้พัชรินทร์มองเห็นเต็นท์หลังเล็กๆ 2-3 หลัง ตั้งอยู่กลางโอเอซิส ชายฉกรรจ์ 4-5 คน ในชุดคลุมยาวสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าเดินเข้ามาจับตัวเธอให้ลุกขึ้น ส่วนอีก 3 คน ก็เข้าไปจับตัวกนกเนตรกับบงกชเอาไว้ พวกมันพาพวกเธอไปยังเต็นท์หลังหนึ่งแล้วก็จับมือของพวกเธอผูกมัดติดกันเอาไว้
“ไม่ต้องกลัวนะสาวน้อย พวกเรายังไม่ฆ่าพวกเธอตอนนี้หรอก” เจ้าคนที่ไปรับที่สนามบินเดินเข้ามาพร้อมกับแสยะยิ้มให้ แล้วนั่งยงยองลงตรงหน้าของกนกเนตร มือหยาบกร้านเชยปลายคางมนให้เงยขึ้น
“ความจริงสาวเอเชียก็สวยไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย น่าเสียดายที่เจ้านายของฉันสั่งห้ามยุ่งกับพวกเธอ ไม่งั้นล่ะก็...” ดวงตาจ้องหน้าสาวไทยอย่างกรุ้มกริ่ม ก่อนจะมองเลื่อนต่ำลงมาที่เนินอกอวบอิ่ม
กนกเนตรถึงกับขนลุกซู่พร้อมกับสะบัดหน้าออกมาจากมือของอีกฝ่าย พยายามพ่นเสียงด่าออกมาอย่างอู้อี้ แต่ก็ต้องเงียบลงอย่างอัตโนมัติเมื่อปืนกระบอกสีดำถูกยกขึ้นมาตรงหน้า ใบหน้าสวยซีดเผือดลง บ่งบอกถึงอาการหวาดกลัว
“คืนนี้เราจะพักค้างคืนที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ แต่ขอเตือนเอาไว้ก่อนนะว่า อย่าสร้างความรำคาญให้กับพวกเรา ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภัย เพราะพวกเธอคนใดคนหนึ่งอาจจะถูกยิงทิ้งเอาไว้ที่นี่ โดยเฉพาะคนที่ไม่ใช่ตัวต่อรองจริงๆ” พูดจบมันก็เดินหัวเราะในลำคอออกไป
คำขู่ของเจ้าคนร้ายทำให้หัวใจของบงกชแทบจะหยุดเต้น เธอเป็นแค่เพื่อนของกนกเนตร ถ้ามันจะฆ่าก็คงจะฆ่าเธอก่อนแน่ เพราะฉะนั้นเธอจะนั่งนิ่งๆ และเงียบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนพัชรินทร์ก็นั่งนิ่งเพื่อคิดหาหนทางหนีรอดไปจากที่นี่ แต่ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้านเพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองไทย แถมยังเต็มไปด้วยทะเลทราย คงจะต้องภาวนาให้บิดาบุญธรรมหาทางมาช่วยเร็วๆ เธอคิดว่าป่านนี้บิดาคงรู้แล้วว่าพวกเธอถูกลักพาตัวมา
ปัง! ปัง!
“อ้าค!”
เสียงปืนและเสียงเอะอะโวยวายด้านนอกเต็นท์ทำให้สาวไทยทั้งสามคนถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ก่อนจะหันมองหน้ากันอย่างตื่นตกใจ แล้วเพียงชั่วอึดใจก็มีผู้ชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำยาวทั้งตัวก้าวเข้ามายืนมองพวกตนเขม็ง ก่อนที่เขาจะหันไปสั่งชายอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง
“พาผู้หญิงไป!”
“ครับ” ชายอีกคนก้มศีรษะให้ ก่อนจะเดินเข้าไปแก้เชือกให้กับสาวไทย
“พวกคุณเป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร?” ทันทีที่ผ้าหลุดออกจากปาก พัชรินทร์ก็รัวคำถามเป็นภาษาอังกฤษใส่อีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้ามาดีหรือร้ายเพราะเธอเห็นแค่เพียงแววตาที่ดูเย็นชาเท่านั้น
กนกเนตรกับบงกชโผเข้ากอดกันแล้วพากันถอยมายืนหลบอยู่ทางด้านหลังของพัชรินทร์อย่างรวดเร็ว ส่วนด้านนอกเสียงปืนที่ดังเมื่อครู่สงบลงไปแล้ว
“ผมไม่มีเวลาอธิบาย รู้แค่ว่าพวกเรามาช่วยพวกคุณก็พอ แล้วถ้ายังไม่อยากตายอยู่ที่นี่ก็เชิญตามพวกเราไป” พูดจบเขาก็สะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินออกไป
“เอาไงดียัยพัช” ครั้งนี้กนกเนตรไม่กล้าที่จะทำอะไรตามใจตัวเองอีกแล้วจึงหันมาพัชรินทร์
“เราต้องลองเสี่ยงดู ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเป็นคนที่คุณพ่อส่งมาช่วยเราก็ได้” ถึงจะไม่แน่ใจมากนัก แต่ยังไงพวกเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะตามผู้ชายกลุ่มนี้ไป
“แล้วถ้ามันเป็นพวกกองโจรที่ชอบข่มขืนผู้หญิงล่ะ ฉันไม่อยากมีสามีทีเดียวเป็นร้อยนะย่ะ” บงกชออกความเห็นแล้วก็ต้องขนลุกเพราะความคิดที่เสียวไส้ของตนเอง และมันก็ทำให้กนกเนตรผวาตามไปด้วย
“ใช่ จริงด้วย ถ้าเป็นอย่างที่ยัยบัวบอก ไม่เท่ากับว่าเราหนีเสือปะจระเข้หรือไง” กนกเนตรนิ่วหน้าใส่พัชรินทร์
“แล้วคุณมีทางเลือกหรือไงคะ” พัชรินทร์ทำเสียงเข้ม ก่อนจะหันไปมองเจ้าคนที่ช่วยแก้มัดให้ตนเองเมื่อครู่ แล้วก้าวออกไปจากเต็นท์
“ยัยพัช! รอด้วยสิย่ะ!” กนกเนตรกับบงกชผวาเฮือกก่อนจะรีบวิ่งตามพัชรินทร์ออกไปและเกาะติดแขนของหญิงสาวราวตุ๊กแกเกาะเสา
พัชรินทร์มองไปรอบๆ ก็เห็นเจ้าพวกกลุ่มแรกนอนตายกันเกลื่อน กลิ่นคาวเลือดสดๆ คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
“คะ...คนตาย เนตร คนตาย ฉันกลัว!” บงกชแผดเสียงร้องลั่น เมื่อต้องมาเจอสภาพที่สยดสยองแบบนี้ ดีเท่าไรแล้วที่สติไม่แตกกระเจิง
“ฉัน...เห็นแล้ว” กนกเนตรเองก็เสียงสั่นเครือด้วยความกลัว พัชรินทร์เอื้อมมือมาตบหลังมือของหญิงสาวทั้งสองเอาไว้ แล้วพาเดินตามชายชุดดำไปยังรถจิ๊บสีดำที่จอดอยู่ ในระหว่างนี้เธอก็สังเกตเห็นว่าชายชุดดำกลุ่มนี้มีอยู่เกือบ 10 คน มากกว่าคนกลุ่มแรกเป็นเท่าตัว
“พวกคุณบอกว่ามาช่วยเรา งั้นพวกคุณก็จะพาเราเข้าไปส่งในเมืองหลวงใช่ไหม” พอขึ้นไปนั่งบนรถได้พัชรินทร์ก็เอ่ยถามทันที
“ใช่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้” คำตอบของชายร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำให้พัชรินทร์เริ่มใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วคุณจะพาเราไปส่งเมื่อไร”
“ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ก็คือถ้าคุณยังไม่หุบปากล่ะก็ ผมจะเอาผ้ามาปิดปากคุณอีกครั้ง!” น้ำเสียงกับแววตาที่ดุดันทำให้พัชรินทร์ต้องเงียบเสียงลงเพื่อความปลอดภัยของตนเอง หญิงสาวภาวนาในใจให้ตนเองคิดถูกว่าพวกเขาคือคนดีที่มาช่วยพวกเธอ