ตอนที่ 3 บ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคย
สองอาทิตย์ต่อมา สนามบินกลาง ราชอาณาจักรซาตูเนีย
ก้าวแรกที่พัชรินทร์เหยียบย่างลงบนพื้นแผ่นดินของประเทศซาตูเนีย มีทั้งความตื่นเต้น ดีใจที่จะได้เห็นสิ่งแปลกใหม่และความท้าทายในต่างแดน เธอเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเด็กสาวรากหญ้าอย่างเธอจะมาไกลถึงดินแดนทะเลทราย
“โอ้ย! มันจะร้อนอะไรกันนักหนาเนี่ย ฉันคิดผิดหรือเปล่านะที่ตามแกมา” กนกเนตรทิ้งกระเป๋าลงกับพื้นอย่างแรงพร้อมกับหันมามองค้อนใส่พัชรินทร์ ยกมือขึ้นโบกไปมาต่างพัดเพื่อผ่อนคลายความร้อน ตอนที่อยู่ในอาคารผู้โดยสารก็เย็นสบายดี แต่พอพ้นตัวอาคารออกมาก็เจอกับรังสีของดวงอาทิตย์เข้าเต็มๆ “จะกลับก็ยังทันนะคะ” พัชรินทร์หันมาบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะถอนใจอย่างเบื่อๆ ก็อยากตามเธอมาเอง แล้วจะมาบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมา มาไม่มาเปล่ายังลากเพื่อนสาวคนสนิทของเจ้าหล่อนมาด้วยอีกคน
“เรื่องอะไรฉันจะกลับ ถ้าฉันกลับแกก็อ้อนขอโน่นขอนี่พ่อของฉันจนเปรมไปน่ะสิ” กนกเนตรตวัดค้อนให้ ก่อนจะหยิบแว่นกันแดดสีดำจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาสวม
“เนี่ยนะประเทศที่พัฒนาแล้ว ดูสิร้อนก็ร้อน เมื่อกี้ฉันมองลงมาจากเครื่องบินมีแต่ทะเลทรายเต็มไปหมดเลยอ่ะ รู้งี้ฉันไม่มากับเธอก็ดี ผิวฉันเสียหมดแล้วเนี่ย” บงกชยกแขนที่แดงระเห่อให้เพื่อนดูพร้อมกับบ่นพึมพำ
“ฉันก็ร้อนเหมือนกันนั่นแหล่ะ ทำไมทางกระทรวงไม่ย้ายคุณพ่อไปประจำที่อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือไม่ก็อเมริกาก็ไม่รู้ เจริญกว่าที่นี่เป็น 10 เท่าเลยมั้ง” สองสาวหันมาพยักหน้าให้กัน
แล้วในขณะนั้นเองก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงในชุดสูทสีดำเดินเข้ามาโค้งต่ำให้หญิงสาวชาวไทยทั้งสามคน ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ
“ขอโทษนะครับ พวกคุณมาจากเมืองไทย แล้วก็เป็นลูกสาวของท่านทูตเอกพจน์ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...” พัชรินทร์มองท่าทางของหนุ่มชาวอาหรับอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ เพราะบิดาได้เน้นย้ำว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเพราะตอนนี้ซาตูเนียมีพวกก่อการร้ายอยู่ และคนที่บิดาส่งมารับก็เป็นชายวัยกลางคนชาวอาหรับ ไม่ใช่ชายหนุ่ม
“ใช่ค่ะ พวกเรามาจากเมืองไทย แล้วเพื่อนของฉันคนนี้ก็คือลูกสาวสุดที่รักของท่านทูตเอกพจน์ค่ะ” บงกชเหลือบมองค้อนพัชรินทร์อย่างหมั่นไส้ ก่อนจะรีบตอบพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้หนุ่มหน้าคมเข้มตรงหน้า หัวใจของเธอแทบละลายด้วยเพราะเป็นโรคแพ้ความหล่อ
“ถ้างั้นเชิญทางด้านนี้เลยครับ รถของเราจอดรออยู่ทางด้านโน่นแล้วครับ” หนุ่มอาหรับก้มศีรษะลงอย่างสุภาพพร้อมกับโปรยยิ้มบาดใจให้
“ค่ะ ดิฉันร้อนจนแทบจะสุกอยู่แล้ว” กนกเนตรตอบกลับไปเป็นภาษาเดียวกันพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นราวกับนางพญาแล้วทำท่าจะเดินตามชายหนุ่มไป แต่พัชรินทร์เข้ามาดึงแขนหญิงสาวเอาไว้ ทำให้กนกนเนตรหันมามองตาขวาง
“อะไรของแกอีกนังพัช!” หญิงสาวหันมาตวาดน้องสาวบุญธรรมแสนเกลียดอย่างดุๆ
“คุณพ่อโทรบอกพัชว่าคนที่คุณพ่อส่งมารับเราไม่ใช่ผู้ชายหนุ่มค่ะ แต่เป็นผู้ชายสูงวัย พัชว่าเราควรจะโทรไปหาคุณพ่อก่อนนะคะ” พัชรินทร์มองหน้ากนกเนตร ก่อนจะหันไปมองหนุ่มอาหรับอย่างสำรวจอีกครั้ง
“นี่..แกอย่าสงสัยมากนักได้ไหม มีคนมารับก็บุญนักหนาแล้ว ที่นี่ร้อนก็ร้อน ขืนฉันยืนอยู่ตรงนี้อีกนาทีเดียว ฉันต้องละลายแน่ๆ!” กนกเนตรสะบัดแขนออกมาอย่างไม่พอใจ
“เดี๋ยวค่ะ คุณเป็นใครไม่ทราบ มาถึงก็จะให้พวกเราตามคุณไป คนที่คุณพ่อให้มารับไม่ใช่คุณนี่คะ” พัชรินทร์พยามจ้องจับพิรุธอีกฝ่าย ทำให้สองสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ ทำท่าทางฮึดฮัด
“ขอโทษครับที่ผมลืมแนะนำตัวเอง ผมชื่ออาซาดครับ พ่อผมคือคนที่ท่านทูตส่งมารับพวกคุณ แต่บังเอิญพ่อของผมไม่สบายก็เลยส่งผมมาแทนน่ะครับ” ชายหนุ่มอธิบายยาว ก่อนจะก้มศีรษะให้กับพัชรินทร์นิดหนึ่ง
“นี่ ถ้าแกจะยืนสงสัยและคิดมากอยู่ตรงนี้ก็ตามใจแล้วกัน ส่วนฉันกับยัยบัวจะไปกับเขา จะได้รีบไปแช่น้ำเย็นๆ ให้สบายใจ” กนกเนตรหันมากระแทกเสียงใส่พัชรินทร์ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินตามหนุ่มอาหรับรูปหล่อไป
พัชรินทร์ยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะรีบเดินตามกนกเนตรกับบงกชไป เธอคงจะกลัวและหวาดระแวงมากเกินไปอย่างที่กนกเนตรพูดจริงๆ ก็ได้
ครู่ต่อมาหลังจากที่รถยนต์สีดำแบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล่นออกมาจากสนามบิน พัชรินทร์ก็เริ่มรู้สึกแปลกใจเมื่อรถยนต์แล่นตัดเข้าไปในทะเลทรายสีเหลืองนวล
“คุณจะพาพวกเราไปไหน ตัวเมืองมันอยู่ทางด้านโน่นไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวหันมองซ้ายมองขวาเริ่มใจคอไม่ดีแล้วหันไปถามคนที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านหน้าคู่กับคนขับเป็นภาษาอังกฤษ คำถามของพัชรินทร์ทำให้กนกเนตรกับบงกชหันรีหันขวางก่อนจะหันมามองหน้ากัน
“จริงด้วย” บงกชเอื้อมมือไปจับมือเพื่อนสาวเอาไว้ด้วยท่าทางหวาดระแวง
“นี่...พวกแกจะพาฉันไปไหน พ่อฉันอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่เหรอไง” กนกเนตรถอดแว่นตาออกแล้วนิ่วหน้าใส่อย่างไม่พอใจ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ที่ๆ พวกคุณจะไปก็คือชายแดน” หนุ่มอาหรับหันมาเหยียดมุมปากอย่างเยาะๆ แล้วชักปืนออกมาจ่อที่สาวไทย หัวใจของทั้งสามสาวถึงกับตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โดยเฉพาะบงกชกับกนกเนตรตัวสั่นระริกด้วยความกลัว
“แกไม่ใช่คนที่คุณพ่อส่งมารับพวกเรา” พัชรินทร์พยายามควบคุมสติของตัวเองเอาไว้
“รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ ฉันจะเอาตัวพวกเธอไปต่อรองกับทางรัฐบาลให้แบ่งแยกดินแดนของพวกเราออกมาเป็นอิสระ แต่ถ้ามันไม่ทำตามหรือว่าพวกเธอตุกติกล่ะก็ เฟี้ยว...” มันทำท่ายกปืนขึ้นเหมือนจะยิง และนั่นยิ่งทำให้สองสาวที่กลัวอยู่แล้วหลับหูหลับตาร้องกรี๊ดจนลั่นรถ
“โอ้ย! หยุด!” เจ้าคนขับเหยียบตะคอกแข่งกับเสียงกรีดร้องพร้อมกับเบรกรถทันที แล้วหันมาถลึงตาใส่อย่างดุดันและหยิบปืนที่เอวพกขึ้นมาเหนี่ยวไก “ถ้าไม่หยุดร้องจะเอาลูกปืนกรอกปากเดี๋ยวนี้แหล่ะ”
“อย่าทำอะไรเธอนะ” พัชรินทร์รีบขยับเข้าไปกางแขนกั้นสองสาวเอาไว้จากเจ้าคนขับ ตัวเธอเองก็กลัวไม่ใช่น้อยเช่นกัน ใครจะกล้าลองดีกับปืนผาหน้าไม้ได้
“ฉันกลัวอ่ะยัยเนตร” บงกชร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
“แกกลัวเป็นคนเดียวหรือไงล่ะ ฉันก็กลัว” กนกเนตรเองก็ขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว เธอคิดผิดจริงๆ ที่ตามมารังควานพัชรินทร์ที่นี่
“เป็นเพราะแกคนเดียวนังพัช ที่ทำให้พวกฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้!” หญิงสาวหันมาตะคอกใส่อย่างหัวเสีย
“อะ...อ้าว” พัชรินทร์หันมาอ้าปากค้าง นี่เธอทำคุณบูชาโทษเข้าให้แล้วเหรอ เธอไม่ได้ชวนสองคนนี่มาสักหน่อย
“หยุด!” เจ้าคนแรกตะคอกอย่างรำคาญ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อน “ฉันว่ามัดพวกมันเอาไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันจะแหกปากออกมาอีก รำคาญว่ะ”
“ก็ดี” เจ้าคนขับพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเจ้าคนแรกก็เอาเชือกผ้ามามัดมือมัดเท้า และปิดปากสาวไทยทั้งสามเอาไว้ แล้วก็เอาถุงผ้าสีดำมาคลุมทับอีกที ก่อนจะเคลื่อนรถต่อไป
บ้านพักเอกอัครราชทูตไทย ประจำราชอาณาจักรซาตูเนีย
เอกพจน์รีบยกหูโทรศัพท์โทรไปหารัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของซาตูเนียทันที เมื่อรู้ว่าบุตรสาวทั้งสองคนพร้อมกับเพื่อนสาวถูกคนร้ายจับตัวไป โดยมีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิดของทางสนามบิน
ตอนแรกคนที่เขาส่งไปรับบุตรสาวโทรมาบอกว่าไม่พบบุตรสาว เขาก็คิดว่าบุตรสาวยังไม่เดินทางมาถึง แต่พอโทรไปเช็คกับทางสนามบินก็พบว่าบุตรสาวเดินทางมาถึงแล้ว เขารู้สึกสังหรณ์ใจจึงรีบไปที่สนามบินด้วยตนเอง แล้วขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดในสนามบินและก็ปรากฏว่าพบบุตรสาวเดินไปกับชายหนุ่มอาหรับคนหนึ่ง จากนั้นเขาก็ขอให้ทางสนามบินส่งข้อมูลตัวนี้ไปให้กับทางกระทรวงการต่างประเทศของซาตูเนีย
“ผมต้องการให้ทางรัฐบาลของคุณช่วยเหลือลูกสาวของผมให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง ไม่งั้นผมคงต้องเอาเรื่องนี้รายงานให้ทางรัฐบาลไทยทราบ!” น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างด้วยความไม่พอใจ คนที่เป็นพ่อคนย่อมรู้ดีว่าความรักและห่วงใยที่มีต่อสายเลือดของตนเองนั้นมากมายเพียงใด
“คุณใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ทางเราทราบแล้วว่าผู้ชายในรูปคือใคร ทางเราจะรีบสืบหาและช่วยเหลือลูกสาวของคุณให้ได้ ผมรับรองว่าลูกสาวของคุณจะต้องปลอดภัย ผมเอาเกียรติเป็นประกัน” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างใจเย็น
“ขอบคุณมาก” พูดจบเอกพจน์ก็กดวางสายแล้วทรุดนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง เขาควรจะไปรับบุตรสาวด้วยตนเอง ตอนแรกที่ภรรยาโทรมาบอกว่ากนกเนตรจะมาที่นี่ด้วย เขาก็เอ่ยค้านไปแล้วกับภรรยา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมฟัง
ถ้าแค่พัชรินทร์เขาก็ไม่ค่อยห่วงมากขนาดนี้เพราะบุตรสาวบุญธรรมเรียนวิชาป้องกันตัวมาบ้าง แถมยังมีความเฉลียวฉลาดน่าจะเอาตัวรอดให้ปลอดภัยได้ แต่นี่มีกนกเนตรกับบงกชไปด้วย เขารู้นิสัยของลูกสาวกับเพื่อนซี้ดีกว่าเป็นยังไง ถ้าไปทำอะไรให้เจ้าพวกคนร้ายโมโหเอาล่ะก็ พวกมันอาจจะทำร้ายเอาได้