บทที่ 4 เผาเลยไม่ต้องรอ
บทที่ 4 เผาเลยไม่ต้องรอ
ท้ายที่สุดฉีอ๋องย่อมต้องยอมทำตามคำขอของฟางซูลี่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้านฟางซูซินแม้จะเจ็บใจที่ต้องเสียสมบัติของตนเองไปถึงครึ่งหนึ่ง แต่นางก็ต้องกัดฟันทน ด้วยหวังว่าสักวันนางจะทวงคืนทุกอย่างจากฟางซูลี่มาให้หมด
ฉีอ๋องและฟางซูลี่เตรียมตัวออกเดินทางไปร่วมงานเฉลิมฉลองการครองราชย์ของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ที่ต้าหยวน ของบรรณาการชั้นดีมากมายที่เตรียมไปมอบให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี
ฟางซูซินก้าวเดินเข้ามาหาฟางซูลี่ ก่อนจะเอ่ยกับนาง
"เป็นวาสนาของเจ้าที่จะได้เป็นพระสนม อย่างไรเจ้าก็ห้ามลืมแคว้นฉีซึ่งเป็นบ้านเกิดของเจ้าเด็ดขาด ยามว่างก็ส่งจดหมายมาบ้าง บอกเล่าถึงการใช้ชีวิตและความเป็นไปในวังหลวงและเมืองหลวงต้าหยวน ข้าจะรอจดหมายของเจ้านะ"
ฟางซูลี่ยกยิ้มมุมปากและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เป็นฉีอ๋องที่เห็นด้วยกับคำพูดของฟางซูซิน
"พี่สาวเจ้าพูดถูก ยามว่างเจ้าก็ส่งจดหมายกลับจวนมาบ้าง พ่อ... "
"หากยังพูดไม่หยุด ลูกขอเพิ่มอีกห้าพันตำลึงนะเจ้าคะ"
ฉีอ๋อง "..."
รถม้าเคลื่อนตัวมาเรื่อย ๆ มีแวะพักที่โรงเตี๊ยมบ้างบางครา ใช้เวลาร่วมสิบห้าวัน ฉีอ๋องและฟางซูลี่ก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงต้าหยวน
ฟางซูลี่เปิดผ้าม่านมองดูภายนอก เมืองหลวงต้าหยวนต่างจากแคว้นฉีของนางเป็นอย่างมาก ที่นี่มีการค้าขายที่แสนจะครึกครื้น ผู้คนก็มากมาย อีกทั้งยังมีภูมิทัศน์ที่งดงามน่าอยู่อีกด้วย
ไม่นานนักรถม้าก็มาจอดที่ด้านหน้าวังหลวง ฉีอ๋องและฟางซูลี่ก้าวเดินลงมาจากรถม้า ก่อนจะพบกับขันทีผู้หนึ่ง ที่เดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
"คารวะฉีอ๋องและคุณหนู ยามนี้ฝ่าบาททรงจัดเตรียมสถานที่นอกวังหลวงให้พวกท่านได้เข้าพักแล้ว เชิญท่านทั้งสองพักผ่อนให้สำราญใจก่อนเถิด วันพรุ่งค่อยมาเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ฝ่าบาททรงจัดเตรียมต้อนรับ"
"ลำบากท่านขันทีแล้ว"
"ด้วยความยินดี อีกครู่ข้าจะให้คนนำทางท่านทั้งสองไปยังที่พัก"
"ขอบคุณท่านอีกครา"
ไม่นานนักก็มาถึงที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับท่านอ๋องต่างแคว้น ฟางซูลี่จ้องมองเรือนขนาดใหญ่ตรงหน้าด้วยแววตาที่พึงพอใจ
นอกจากเรือนของนางแล้ว ในละแวกเดียวกันยังมีเรือนเช่นนี้อีกสามหลัง เมื่อมองไปก็เห็นเหล่าสตรีใบหน้าสะสวยกำลังสาละวนอยู่กับการเลือกผ้าไหมแพรพรรณสวมใส่ บ้างก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการประทินโฉมแข่งกัน
สตรีเหล่านั้นคงจะเข้าวังมาเป็นพระสนมเฉกเช่นเดียวกับนางสินะ
เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย นางกับบุรุษที่หน้าเหมือนอาเว่ยผู้นั้นคงไร้วาสนาต่อกันเสียแล้ว
แต่ช่างเถิด ความรักมันกินไม่ได้ เงินต่างหากที่กินได้ หากนางแต่งกับฮ่องเต้แห่งต้าหยวน แม้นางจะไม่ได้รักเขา แต่ขอเพียงนางรักเงินของเขาอย่างจริงใจ เพียงเท่านี้ก็คงพอแล้ว
เหล่าสตรีที่ได้เห็นฟางซูลี่ ต่างก็ปรายตามองนางอย่างไม่เป็นมิตร ในใจครุ่นคิดเพียงว่า จะต้องแย่งชิงความโปรดปรานจากฝ่าบาทให้จงได้
วังหลวง
เพล้ง!!!
กาน้ำชาใบแล้วใบเล่าถูกขว้างใส่ศีรษะเหล่าขุนนางในท้องพระโรงจนศีรษะอาบย้อมไปด้วยโลหิต ซ่งเว่ยหลงโมโหยิ่งนัก ที่จับได้ว่าขุนนางเหล่านี้กำเริบเสิบสาน คิดเอาเปรียบราษฎรและยังหวังฉ้อราษฎร์บังหลวง
"ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย!!!"
"ระงับโทสะหรือ!!! พวกเจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่หรือ ทหารลากตัวพวกมันไปประหารให้หมด แล้วก็ประหารพวกมันยกตระกูลอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ขุนนางเช่นนี้ข้าไม่ต้องการ!!!"
"ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิตด้วย!!!"
เสียงร้องโหยหวนขอชีวิตรอดดังเป็นระยะ แต่ซ่งเว่ยหลงกลับไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาเกลียดขุนนางที่วัน ๆ เอาแต่ประจบสอพลอพวกนี้เป็นที่สุด
"วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เลิกประชุม ไสหัวไปให้หมด!!!"
เหล่าขุนนางต่างรีบพากันกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากท้องพระโรงด้วยความหวาดกลัว
ฮ่องเต้พระองค์นี้อารมณ์แปรปรวนยิ่งนัก
ซ่งเว่ยหลงเดินออกจากท้องพระโรง ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังสวนดอกบัวที่อุทยานหลวง เมื่อมาถึงก็พบกับเสด็จพ่อของตนและจินไท่เฟยกำลังนั่งชมดอกบัวกันอย่างสำราญใจ
จินไท่เฟยพระองค์นี้เป็นมารดาเลี้ยงของเขา พระนางมีพระโอรสหนึ่งองค์แต่กลับสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่แรกคลอด ระหว่างนางกับเขาเรียกได้ว่ามิค่อยจะลงรอยกันเท่าใดนัก เนื่องจากนางเป็นต้นเหตุที่ทำให้เสด็จแม่ต้องตรอมใจตายจากเขาไป
แม้เสด็จพ่อจะไม่กล้าแต่งตั้งนางขึ้นเป็นฮองเฮาเพราะเห็นแก่เขาส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรเสียนางก็ได้ชื่อว่าเป็นพระสนมเอกที่ได้รับความโปรดปรานมากกว่านางสนมคนอื่น ๆ ในวังหลังแห่งนี้นางจึงได้รับตำแหน่งไท่เฟยเพียงผู้เดียว
อย่าได้เสนอหน้าคิดจะเป็นไทเฮา ตำแหน่งนี้มีเพียงเสด็จแม่ของข้าเท่านั้นที่คู่ควร!!!
อดีตฮ่องเต้ซ่งหยางจื่อเมื่อเห็นว่าบุตรชายสุดที่รักมาหา ก็ยิ้มตาหยีในทันที
"อาเว่ย มานี่มา"
ซ่งเว่ยหลงทิ้งกายลงนั่งตรงข้ามกับผู้เป็นบิดา ไท่เฟยปรายตามองเขาคราหนึ่ง ก่อนจะถูกซ่งเว่ยหลงมองกลับอย่างเย็นชา
"เสด็จแม่ทรงมองลูกด้วยเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ"
"อ้อ ไม่มีสิ่งใด"
"เช่นนั้นก็แล้วไป ลูกคิดว่าที่เสด็จแม่มองหน้าลูกเช่นนี้ เพราะเห็นใบหน้าของสตรีนางหนึ่งซ้อนทับอยู่เสียอีก"
"เอ๋?"
"ก็สตรีที่เสด็จแม่ทำให้ตรอมใจตายอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ"
จินไท่เฟยที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าซีดเผือด มือที่ถือถ้วยชาสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่
ซ่งหยางจื่อที่ได้เห็นเช่นนั้นจึงหันไปปรามซ่งเว่ยหลงในทันที
"อาเว่ย!!! อย่าเอ่ยวาจาเหลวไหล!!!"
"เหลวไหลที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ อ้อ ลูกลืมไปเสียสนิท ยามที่แม่แท้ ๆ ของลูกยังมีชีวิตอยู่ ทรงเกลียดดอกบัวเป็นที่สุด ทหาร!!! มานำดอกบัวเหล่านี้ไปโยนทิ้งที่ด้านนอกวังหลวงเสีย!!!"
"อาเว่ย!!! เจ้าชักจะเอาใหญ่แล้วนะ ยามนี้เสด็จแม่ของเจ้าคือจินไท่เฟย นางชื่นชอบดอกบัวเจ้าลืมไปแล้วหรือ!!!"
"โอ้ววว อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นไม่ต้องนำไปทิ้งแล้ว เผาเลย ทหาร!!! มาเผาทั้งดอกบัวเผาทั้งศาลานี่ไปเลย!!!"
จินไท่เฟย "…"
อดีตฮ่องเต้ซ่งหยางจื่อ "…"