ตอนที่ 7 ติดปีกบิน
ตอนที่ 7 ติดปีกบิน
“เพิร์ล ทำไมกลับมาในสภาพนี้ ไปไหนมาทั้งคืน ฉันโทรไปก็ไม่รับ”
ทันทีที่พราวมุกกลับมาถึงห้อง ซูซี่ที่คอยจดๆจ้องๆ มองหาเพื่อนรักและติดต่อกันไม่ได้ตั้งแต่เมื่อคืน ก็รีบออกจากห้องที่อยู่ข้างเคียงแล้วตรงมาหาเธอทันที
เธอตรงเข้าสวมกอดเพื่อนรัก แล้วละล่ำละลักเล่าเรื่องราวอันน่าอดสูที่เกิดขึ้นกับเธอทันที เพราะเธอทั้งคู่สนิทกันมาก มีอะไรก็จะคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด
“เพิร์ล ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าให้เธอไปทำงานนั้นแทนฉันเลย”
ซูซี่รู้ดีว่าเพื่อนรักที่เป็นคนไทยคนนี้ หวงแหนความสาวของตัวเองขนาดไหน มีหนุ่มๆมาขอเดตด้วยมากมาย แต่เธอก็ไม่ยอมใจอ่อนกับใคร
“ฉันผิดเอง ฉันสู้แรงเขาไม่ได้ แล้วฉันก็ดันรู้สึกไปกับเขาด้วยนี่สิ”
“โถ่ เพิร์ล แล้วจะเอายังไงต่อ”
“เขาให้เช็คฉันมาใบนึง ไปขึ้นเงินมาแล้ว คืนนี้ฉันจะกลับไทย ฉันจองตั๋วแล้วด้วย”
“ทำไมเร็วแบบนี้ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เธอไม่จำเป็นต้องหนีเขานะ”
“ฉันไม่อยากเจอหน้าเขาอีก อีกอย่าง ฉันจะรีบกลับไปหายาย ทิ้งท่านมาสี่ปีแล้วนะ”
“งั้นก็ตามใจเธอนะ ไว้มีโอกาส ฉันจะไปหาเธอที่นั่น”
สองสาวตรงเข้าสวมกอดกันอีกครั้ง ก่อนจะช่วยกันจัดของสำคัญลงกระเป๋า เพื่อที่เธอจะได้รีบเดินทางกลับบ้านเกิดในคืนนี้
“อีกเรื่องนึง ถ้าเขาถามถึงฉัน ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล เธออย่าให้เด็ดขาดนะ เบอร์ที่ใช้ที่นี่ ฉันเลิกใช้มันแล้ว เดี๋ยวกลับถึงไทยจะเมลมาบอกเบอร์ใหม่นะ”
“แล้วถ้าเขาต้องการรับผิดชอบเธอล่ะ”
“ซูซี่ ที่นี่อเมริกา ไม่ใช่ประเทศไทยที่ยังถือเรื่องพวกนี้ เขาไม่มีวันรับผิดชอบฉัน เพราะฉันกับเขาเราไม่ได้รักกัน อีกอย่างเขาให้เช็คค่าตัวฉันมาแล้ว เป็นอันจบความสัมพันธ์ชั่วคืนนั้น”
“เห้อ ฉันรู้สึกผิดจังเลยเพิร์ล ไม่น่าเห็นแก่พี่มารี จนขอให้เธอไปช่วยเลย”
“ช่างมันเถอะซูซี่ เรื่องนี้ก็ทำให้ฉันโตขึ้นด้วย มันคือประสบการณ์ ถึงแม้มันจะไม่น่าจดจำก็ตาม”
แล้วประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำ มันก็ฝังอยู่ในห้วงความคิด ความรู้สึกของเธอมายาวนานถึงสี่ปีเต็ม โดยที่ไม่มีท่าทีว่ามันจะออกไปจากความทรงจำของเธอเลย ก็มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไร เมื่อหลักฐานชิ้นสำคัญของคืนที่ผิดพลาดคืนนั้น นอนหลับปุ๋ยอยู่ข้างๆเธอนี่ไง
เช้าแล้วแต่พราวมุกยังไม่ยอมลุกจากที่นอน ยังคงนอนมองใบหน้ากลมจิ้มลิ้มราวตุ๊กตาฝรั่งของลูกสาวตัวน้อย ที่ใบหน้ากระเดียดไปทางคนเป็นพ่อทุกกระเบียดนิ้ว แล้วก็ต้องถอนหายใจยาวๆ เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ในอก
คืนนั้นที่เธอเดินทางกลับมาประเทศไทย เมื่อมาถึงบ้านต่างจังหวัดของยาย กลับพบกับข่าวร้ายของเพื่อนบ้านว่ายายของเธอสิ้นใจไปนานหลายเดือนแล้ว แต่ไม่มีคนกล้าโทรไปบอกเธอ เพราะกลัวว่าเธอจะทิ้งการเรียนที่สู้อุตส่าห์ดิ้นรนจนได้ทุนการศึกษาแบบไม่ต้องชดใช้ทุนคืน แถมยังอดทนปากกัดตีนถีบหาค่าใช้จ่ายต่างๆ ของตัวเองโดยไม่รบกวนเงินของผู้เป็นยายเลย
เพื่อนบ้านที่แสนดีเหล่านั้น ช่วยกันจัดงานศพให้กับยายของเธออย่างสมเกียรติ และช่วยกันดูแลบ้าน ที่ไม่มีคนอยู่มาหลายเดือนให้อย่างดีอีกต่างหาก
พราวมุกตัดสินใจติดต่อกลับไปหาซูซี่หลังจากที่เธอถึงประเทศไทยได้ราวๆหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งซูซี่ก็ยิงคำถามใส่เธอรัวๆด้วยความเป็นห่วง ว่าเธออยู่อย่างไร สบายดีไหม ทำไมเงียบหายไป ทั้งสองพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่นาน ก่อนที่ซูซี่จะบอกกับเธอว่า หลังจากที่เธอขึ้นเครื่องบินกลับไทยไม่กี่ชั่วโมง คนของเขาก็มาตามหาเธอถึงห้อง แต่ก็พบเพียงห้องที่ว่างเปล่า ทั้งยังไปตามหาที่ร้านอาหารที่เธอทั้งสองทำงานร่วมกันทำให้รู้ว่าซูซี่คือเพื่อนสนิทที่สุดที่นี่ จึงโดนซักถามมากมาย ซึ่งซูซี่เองก็ให้เบอร์โทรศัพท์ของเธอไป แต่เป็นเบอร์ที่เธอเลิกใช้ไปแล้ว แถมยังบอกด้วยว่าเธอหายไปเลยตั้งแต่คืนที่ไปทำความสะอาด และไม่สามารถติดต่อกันได้อีก หลังจากนั้น คนของมาเฟียหนุ่มก็ตระเวนหาเธอจนทั่ว แต่ก็ไม่มีร่องรอย จนสุดท้ายได้ข้อมูลว่าเธอเดินทางกลับประเทศไทยไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ พวกเขาแทบไม่มีข้อมูลอะไรของเธอเลย จึงค่อนข้างยากต่อการตามหา และสุดท้าย เขาก็ถอดใจ เลิกตามหาเธอไปโดยปริยาย
เธออยู่บ้านของยายแบบหมดอาลัยตายอยากถึงสองเดือนเต็มๆ คิดไม่ออกว่าชีวิตต้องไปทางไหนต่อ เพราะที่เธออุตส่าห์สู้อดทนฟันฝ่าก็เพื่ออนาคตที่จะมีร่วมกับยายเท่านั้น เมื่อตอนนี้ไม่มีท่าน ก็รู้สึกเคว้งคว้างยากที่จะยอมรับง่ายๆ
แต่แล้วเมื่อเดือนที่สองผ่านพ้นไป เธอกลับมีอาการแปลกๆ คลื่นไส้อาเจียนทุกเช้า จนต้องซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจ ผลก็ปรากฏว่าเธอได้ตั้งครรภ์จริงๆ เมล็ดพันธุ์ที่เขาหว่านเอาไว้ มันงอกและเจริญเติบโตในท้องของเธอแล้ว
ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจขายที่ดินทุกแปลงที่เป็นมรดกของเธอ รวมทั้งบ้านของยายด้วย เพื่อที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกสองคน ซึ่งเมื่อรวมกับเงินที่เขาให้เธอมาและเธอหาเองด้วยน้ำพักน้ำแรงมาตลอดสี่ปี ทำให้เธอมีเงินเกือบๆ ยี่สิบล้าน
ยังโชคดีอยู่บ้างที่เธอมีเพื่อนรักที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.6 และยังติดต่อกันเสมอมา เขาช่วยเธอหาซื้อบ้านหลังกะทัดรัดสำหรับสองแม่ลูก และยังแนะนำงานให้ พร้อมทั้งคอยดูแลช่วยเหลือเธอกับลูกตลอดสี่ปีมานี้ เธอจึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างเกินไปนัก
ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะปลุกลูกสาวตัวน้อยขึ้นมาอาบน้ำด้วยความงัวเงียเหมือนทุกเช้า
“เด็กดีของแม่ ตื่นหรือยังคะ”
เธอมักจะสนทนากับลูกสาวตัวน้อยด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อฝึกภาษา
“ยังไม่ตื่นค่า”
ตุ๊กตาฝรั่งของเธอเจื้อยแจ้วทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาเลย สร้างความเอ็นดูให้กับแม่ จนต้องหอมแก้มยุ้ยๆ นั่นแรงๆ หนึ่งครั้ง
เมื่อสาวน้อยในชุดนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่หนึ่งของโรงเรียนเอกชนชื่อดังเดินลงมาด้านล่างของตัวบ้าน พร้อมกับคุณแม่คนสวยในชุดทำงานที่เรียบหรูดูทันสมัย ก็เจอเข้ากับเพื่อนรักของแม่ ที่กำลังเทโจ๊กหมูร้อนๆลงในชามใบใหญ่ถึงสามใบ
“พ่อป้องขา”
สาวน้อยผมแกละ วิ่งถลาเข้าไปกอด ปกป้อง ชายหนุ่มหล่อ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวพรรณขาวสะอาด ดวงตาเรียวเล็กด้วยเชื้อสายจีน เพื่อนรักของแม่ที่เธอเรียกว่าพ่อทันที และเขาก็อ้าแขนรับสาวน้อยร่างกลมป้อมนี้เข้าสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นทันทีเช่นกัน
“สาวน้อยของพ่อ อุ๊ย หนักขึ้นหรือเปล่าครับ”
ปกป้องเอ่ยแซวสาวน้อยที่นับวันจะจ้ำม่ำมากขึ้น แต่จะอ้วนขึ้นยังไง ก็ยังตัวน้อยกว่าเพื่อนร่วมชั้นหลายคนอยู่ดี จนโดนพวกเพื่อนผู้ชายจอมเกเรรังแกอยู่หลายครั้ง
“เพชรใสไม่คุยกับพ่อป้องแล้ว”
สาวน้อยเพชรใสวัยสามขวบยกมือขึ้นกอดอก แล้วเชิดหน้ากลมๆนั้นขึ้นเล็กน้อย เป็นเชิงงอน และพ่อป้องของเธอก็รู้ดี ว่าควรจะทำให้สาวน้อยหายงอนด้วยวิธีไหน
“พ่อขอโทษนะครับ คนสวย ถึงจะหนักขึ้นนิดหน่อย แต่ก็น่ารักมากเลยนะครับ”
ปกป้องพูดคำหวานพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาหลายครั้ง จนสาวน้อยจั๊กจี้ตอหนวดหัวเราะคิกคัก เป็นอันสิ้นสุดการงอน
พราวมุกมองปกป้องกับลูกสาวตัวน้อยของเธอ นั่งทานข้าวไปหยอกล้อกันไปแล้วก็รู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก เพราะความเข้าใจผิดในคืนนั้น มันทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่เธอต้องขอบคุณเขานะ ที่ยังทิ้งเลือดเนื้อของเขาไว้ในท้องของเธอ เพราะลูกคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต และเป็นสิ่งเดียว ที่ทำให้เธอมีแรงหายใจต่อไป
ความตั้งใจของเธอจากนี้คือทุ่มเทและเสียสละได้ทุกอย่างเพื่อลูก เธอไม่คิดอยากมีใครมาแทนที่ของเขาอีก แม้เธอกับเขาจะไม่ได้เป็นคนรักกัน แต่ความสัมพันธ์เพียงชั่วคืนนั้น มันได้ร้อยรัดหัวใจของเธอไว้กับเขาเรียบร้อยแล้ว พร้อมด้วยของขวัญชิ้นโตที่เป็นตัวแทนของเขาไว้ดูต่างหน้าอีกต่างหาก
เธอจึงตั้งชื่อลูกสาวของเธอว่า น้องเพชรใส เพราะชื่อของคนเป็นพ่อ แปลว่าเพชร และตั้งชื่อจริงให้ว่า เพียงพัชร์ เพราะเธอตั้งใจจะมีเพียงแค่ พชร คนเดียวตลอดไป
ถ้าถามว่าเมื่อเธอรู้ว่าตั้งท้อง ทำไมไม่ติดต่อเขากลับไป คนร่ำรวยอย่างเขา มีปัญญาเลี้ยงลูกที่เกิดจากคู่นอนได้เป็นร้อยๆ คน แต่ที่เธอไม่ทำแบบนั้น เพราะเธอกลัวว่าเขาจะยึดเอาลูกของเธอไปเป็นของตัวเอง หรืออาจจะกีดกันแม่อย่างเธอไม่ให้ได้เจอลูกอีก หรือไม่อย่างนั้นเขาอาจกักขังทั้งเธอกับลูกให้อยู่ในที่ที่เขากำหนด เธออาจต้องยอมเป็นนางบำเรอที่ไร้ค่าของเขาเหมือนที่เขาลั่นวาจาว่าจะซื้อเธอจากสังกัดนั่นแหละ ลูกเธอจะต้องเป็นลูกเมียน้อย เมียเก็บ แล้วความสุขชั่วชีวิตของเธอกับลูกจะอยู่ที่ไหน
อีกอย่าง บางทีผ่านไปสองสามเดือน เขาอาจจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ว่าเคยนอนกับเธอ ถ้าเขาหัวเราะเยาะใส่หน้ากลับมา เธอจะทำใจได้อย่างไร สู้เธอกับลูก อยู่กันแค่สองคนแล้วมีความสุขอย่างคนธรรมดาๆ ดีกว่า
“อ้าว คุณแม่ ไม่ทานข้าวหรอ นั่งมองพ่อลูกเขาเล่นกันแล้วจะอิ่มไหมล่ะ”
ปกป้องที่เงยหน้าขึ้นมาเจอเพื่อนรักนั่งมองเขากับลูกสาวตัวน้อยด้วยแววตาติดจะเศร้าสร้อย ก็รู้ดีว่าเพื่อนรักคิดถึงพ่อของลูกอีกแล้ว จึงเอ่ยแซวไปให้เธอได้หลุดจากความรู้สึกเหล่านั้น
“เพชรใสอิ่มแล้วค่า ขอไปล้างมือก่อนนะคะ”
“ครับลูก”
เมื่อสาวน้อยเพชรใสไถลตัวลงจากเก้าอี้ได้ ก็วิ่งปร๋อเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว พราวมุกจึงหันกลับมาตอบโต้เพื่อนรักบ้าง
“จ้ะ กำลังจะทานแล้วจ้ะ แม่ป้อง”
“เดี๋ยวตบปากฉีก ชะนี บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าทำให้ลูกสาวฉันสับสน ตามเพศสภาพ ฉันต้องเป็นพ่อจ้ะ”
“ลูกสาวฉัน พูดเสียเต็มปากเลยนะ คลอดออกมาเองหรอ”
“ถ้าฉันมีมดลูก ฉันไม่ง้อหล่อนหรอกย่ะ ฉันก็มีลูกของตัวเองแล้วสิ นี่ดูซิ ต้องมารักลูกเขา มาเลี้ยงลูกเขาอยู่ตั้งหลายปี ไม่นึกถึงบุญคุณเลย”
“โอ๋ๆๆ ขอโทษนะคะคุณพ่อ คุณแม่ผิดไปแล้วค่ะ”
ปกป้องเบะปากเล็กน้อย เหลือบตามองบนอีกนิดหน่อย แล้วก็ทานอาหารของตนเองต่อไป
“คืนนี้พ่อป้องมานอนกับเพชรใสไหมคะ”
“ครับลูก คืนนี้พ่อจะมานอนด้วยนะ”
“เย้ๆๆๆ”
สาวน้อยกระโดดดีใจ เพราะถ้าพ่อป้องของเธอมานอนด้วยทีไร มักจะชวนกันเล่นและพูดคุยหัวเราะกันจนดึกดื่น จนคนเป็นแม่ต้องปวดหัวตลอด