บทที่ 7
บทที่ 4
เมื่อถูกประคองให้เข้ามานั่งในห้องโถงใหญ่เพื่อรอการมาถึงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฮาคิมก็เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองในทันที
“ผมจะไม่ยอมให้ตำรวจจับผม โดยที่ผมไม่มีความผิด”
ฮาคิมเริ่มกระบวนการเรียกร้องความยุติธรรม ขณะถูกจับให้นั่งอยู่บนพื้นเย็นเฉียบมีมารดานั่งกอดอยู่ใกล้ๆ ในยามนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มปูดบวม เลือดเริ่มแห้งกรังเปรอะเปื้อนทั่วเสื้อผ้าที่สวมใส่
เจ้าสัวสารัชจ้องมองเขม็ง เค้นเสียงดังขณะด่าขี้ขโมย “มึงบอกว่ามึงไม่ได้ขโมย แต่...ทุกคนก็เห็นเต็มตาว่าสร้อยเพชรของแม่เลี้ยงรุจิราถูกซุกอยู่ในตู้เสื้อผ้าของมึง...มึงเป็นคนร้ายที่ปากแข็งที่สุด”
“ผมจะขโมยสร้อยเพชรของแม่เลี้ยงรุจิราได้อย่างไร ในเมื่อผมไม่ได้ขึ้นมาบนตึกเลย ผมตื่นมาล้างรถยนต์ของเจ้าสัวตั้งแต่เช้า ตอนที่แม่ไปบอกว่าเจ้าสัวให้มาพบ ผมก็ยังล้างรถไม่เสร็จ แล้วผมจะเอาเวลาตอนไหนมาขโมยสร้อยของแม่เลี้ยงรุจิราครับ”
ฮาคิมบอกตามความเป็นจริง แม้รู้ว่าความหวังกำลังริบหรี่ แต่ก็ขอสู้ให้ถึงที่สุด เขาจะไม่ยอมเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้โดยไม่ได้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเองเลย
“มึงจะแก้ตัวยังไงก็ได้ แต่...มึงมีหลักฐาน มีพยานบุคคลไหม ว่ามึงอยู่ล้างรถให้กู ไม่ได้ขึ้นมาบนห้องของแม่เลี้ยงรุจิรา”
“แม่ของผม แม่เห็นผมล้างรถอยู่ ตอนที่แม่ไปเรียกผม” ฮาคิมหันไปมองมารดา หลังจากเจ้าสัวสารัชเรียกหาพยานบุคคล
“ใช่ๆ ค่ะ ตอนที่เจ้าสัวบอกให้ไปเรียกคนรับใช้ทุกคนมาพบ ดิฉันไปเรียกฮาคิม และเห็นว่าลูกกำลังล้างรถ เช็ดรถของเจ้าสัวอยู่ค่ะ”
พรวลัยรีบเอ่ยบอกรัวเร็ว หันไปมองเจ้าสัวสารัชที มองแม่เลี้ยงรุจิราที ได้แต่วาดหวังว่าทุกคนจะเชื่อในคำพูดของเธอบ้าง
แต่...เจ้าสัวสารัชผู้ชาญฉลาดและแกมโกง มีหรือที่จะเชื่อในคำพูดของคนที่เป็นแค่เพียงขี้ข้า ซึ่งมาอาศัยบ้านของเขาอยู่
“เธอกับไอ้ฮาคิมเป็นแม่ลูกกัน ก็ย่อมเข้าข้างกันอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นคำพูดของเธอเชื่อถือไม่ได้ ฉันต้องการพยานบุคคลอื่น ว่ามีใครเห็นไอ้ฮาคิมมันอยู่ล้างรถตั้งแต่เช้าไหม ถ้าไม่มีใครเป็นพยานให้ มึงก็ไม่มีทางยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองได้”
“ผมมีพยานอีกคน” ฮาคิมตอบเสียงดัง
“ใคร! พยานที่แกว่าคือใครบอกมาสิ ไอ้เนรคุณ”
เจ้าสัวสารัชตะคอกถามเสียงดัง อยากรู้เหมือนกันว่าฮาคิมจะฉลาดไปมากกว่าเขาได้อย่างไร และอยากรู้ว่าใครกัน ที่จะกล้าเป็นพยานให้กับฮาคิม
ฮาคิมมองไปยังคุณหนูนารากรที่นั่งอยู่บนโซฟา มีป้าแก้วนั่งอยู่บนพื้นใกล้ๆ กับคุณหนูด้วย จากนั้นก็เอ่ยบอกกับเจ้าสัวสารัชว่า
“คุณหนูนาราเป็นพยานให้ผมได้”
“นารานี่นะหรือ”
คราวนี้ดารินร้องถามเสียงหลง หันขวับไปมองลูกเลี้ยงซึ่งนั่งหน้าซีดอยู่ใกล้ๆ กับป้าแก้วผู้เป็นพี่เลี้ยง จากนั้นก็กวักมือเรียกเด็กน้อยด้วย
“นารา...มาหาแม่สิ”
“ป้าแก้ว...”
หนูน้อยนารากรเผยความหวาดกลัวให้เห็นอย่างชัดเจนขณะกระซิบเรียกพี่เลี้ยง แถมมือเล็กที่ยื่นไปจับกับต้นแขนของป้าแก้วก็เย็นเฉียบจนป้าแก้วรู้สึกได้
“คุณหนู...ไปหาคุณแม่นะคะ” ป้าแก้วบีบมือเล็กเบาๆ ขณะกระซิบบอก
และหนูน้อยนารากรก็ส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขณะเอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาแทบไม่พ้นลำคอ
“แต่...นารา...กลัว...”
“ไม่ต้องกลัวค่ะ...” ป้าแก้วให้กำลังใจอีกครั้ง ทว่า...นารากรไม่ทันได้เอ่ยตอบก็มีอันต้องสะดุ้งโหยงกับเสียงตะคอกเรียกดังลั่น
“นารา! แม่บอกให้มานี่”
ดารินตวาดเสียงดัง ใบหน้าถมึงทึง พอลูกเลี้ยงลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ ก็คว้าต้นแขนเล็กกระชากให้มาทรุดตัวลงนั่งแนบชิดกับตน จากนั้นก็เอ่ยถามคนร้ายอย่างฮาคิมต่อ
“พูดมาสิไอ้ฮาคิม ว่านาราจะเป็นพยานให้แกได้ยังไง”
ฮาคิมทอดสายตามองคุณหนูนารากร หวังว่าคุณหนูจะช่วยเป็นพยานปากเอก เพื่อให้เขาพ้นมลทินได้
“คุณหนูอยู่กับผมด้วย ตอนที่ผมล้างรถของเจ้าสัว คุณหนูนั่งเล่นกับผมตั้งแต่เช้า จนกระทั่งแม่ของผมไปเรียกให้มาพบเจ้าสัว และผมยังบอกให้คุณหนูไปกินข้าวเช้า ก่อนจะกลับมาเล่นกับผมอีกครั้ง”
“แกกำลังจะบอกว่า...ตั้งแต่เช้า แกยังไม่ได้เข้ามาในบ้านของเจ้าสัวเลย ยังงั้นหรือ และหนูนาราก็อยู่กับแกตลอดเวลาด้วย”
แม่เลี้ยงรุจิราเป็นฝ่ายเอ่ยถามหลังจากนั่งฟังอยู่นาน แต่...ที่ถามออกมานั้น หาได้เชื่อในคำตอบจากขี้ขโมยไม่! เพราะหลักฐานก็มีให้เห็นเต็มตาอยู่แล้วว่าสร้อยเพชรอันตรธานหายไปจากกระเป๋าสะพาย และไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าของฮาคิมแทน
ฮาคิมหันใบหน้าอันปูดบวมจากฝีมือของเจ้าสัวสารัช มามองแม่เลี้ยงรุจิรา พลางพยักหน้ารับ เผยความบริสุทธิ์ให้เห็นผ่านดวงตาคมกริบทั้งสอง
“ใช่ครับ ผมอยู่ล้างรถและคุยเล่นกับคุณหนูนาราตลอดเวลา ไม่ได้ขึ้นมาบนบ้าน กระทั่งคุณแม่เดินไปเรียกผมนั่นแหละครับ”
เมื่อฮาคิมยืนกรานเช่นนั้น สายตาทุกคู่ก็หันมาจ้องมองที่พยานปากเอกเป็นจุดเดียว ทำเอานารากรในวัยสิบขวบถึงกับตัวสั่นหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว และก็ต้องสะดุ้งเฮือกไม่ต่างจากเด็กขวัญอ่อนกับน้ำเสียงกระชากถามจากผู้เป็นบิดา
“นารา! บอกพ่อมาสิว่าไปนั่งเล่นกับไอ้ฮาคิมตั้งแต่เช้าจริงหรือเปล่า”
“เอ่อ...เอ่อ...”
หนูน้อยนารากรอึกอักอยู่ในลำคอ มองบิดาที มองมารดาเลี้ยงที ก่อนจะทิ้งสายตาอยู่ที่ฮาคิม ซึ่งกำลังรอคอยคำตอบจากเธออย่างใจจดใจจ่อ
“นารา...”
หนูน้อยนารากรกำลังจะปริปากพูด แต่แล้วก็ต้องสูดปากตีสีหน้าเหยเก น้ำตาคลอเบ้าพร้อมกับถอนสะอื้นด้วยความเจ็บปวด
“โธ่...นาราไม่ต้องกลัวนะลูก ตอบคุณพ่อตามความจริงนะคะ”
เมื่อเห็นนารากรทำท่าจะร้องไห้ ดารินก็เอ่ยปลอบไม่ต่างจากแม่ผู้ใจดีและรักลูกหนักหนา พร้อมกันนั้นก็โผเข้าสวมกอดร่างเล็กของลูกเลี้ยงไว้แน่น
หากมองดูผิวเผินใครๆ ก็คิดว่าดารินกำลังปลอบลูกเลี้ยง ที่ทำท่าจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ทว่า...ในความเป็นจริงแล้ว ดารินกอดนารากรไว้ เพียงเพื่อกระซิบสั่งชิดกับใบหูเล็ก
“บอกไปว่าแกไม่ได้อยู่เล่นกับไอ้ฮาคิม และบอกว่าเห็นไอ้ฮาคิมเดินขึ้นมาบนตึกตั้งแต่เช้า ก่อนมันจะกลับไปล้างรถยนต์”
“คะ...คุณแม่...ปล่อย...นารา”
หนูน้อยนารากรร้องขอเสียงสั่น ยังคงตีสีหน้าเจ็บปวดเช่นเดิม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเพราะถูกแม่เลี้ยงหยิกเต็มแรงบนแผ่นหลังของหนูน้อยนั่นเอง
“พูดตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง ไม่เช่นนั้นแกจะโดนเฆี่ยนจนหลังลาย หลังจากนั้นแกรู้ใช่ไหมว่าจะถูกทำโทษยังไงต่อ นังนารา!”