๑.๔ บุษบาริมทาง
ติ๊ด... ติ๊ด...
เสียงโทรศัพท์มือถือที่เขาวางทิ้งไว้บนโต๊ะดังขึ้น เบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเบอร์ของเมธินีสาวสวยหนึ่งในจำนวนคู่ควงหลายคนของเขา ภาคิมจึงพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เพื่อดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดและสลัดมันทิ้งไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย
“ว่าไงครับแพทกำลังคิดถึงอยู่พอดี” ชายหนุ่มแกล้งหยอดคำหวานใส่ไปอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ห่างไกลจากความจริงคนละโยชน์
“คิดถึงจริงๆ หรือว่าแกล้งปากหวานให้แพทดีใจเล่นๆ คะ”
“ถึงปากผมจะหวาน แต่ก็หวานสู้ปากแพทไม่ได้หรอก” เสียงนั้นยั่วเย้าปนกระเส่า
“หวานพอที่คิมอยากจะกลับมาชิมอีกหรือเปล่าคะ” ปลายสายก็ส่งเสียงเชิญชวนกลับมาอย่างเย้ายวนเช่นกัน
“แน่นอนครับคนสวย”
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ก็แวะมาชิมสิคะ”
“ครับ เลิกงานแล้วผมจะแวะไปชิม ไม่ใช่แค่ชิมแต่จะ ‘กิน’ ให้อิ่มเลยทีเดียว”
“กินไม่กลัว กลัวไม่กิน รีบๆ มานะคะแพทจะรอค่ะ” เมธินีตอบกลับมาอย่างมีจริต
“เตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกันครับ ปากดีแบบนี้รับรองว่าจะทำให้ครางกระเส่าเลยทีเดียว”
แค่คำพูดของเขาที่ดังมาตามสายก็ทำเอาสาวสวยแทบดิ้นพล่านด้วยความกระสันซ่าน ด้วยรู้ดีว่าบุรุษผู้นี้ไม่ได้มีแต่แค่คำพูด แต่ลีลารักของเขาก็ดุเดือดเร่าร้อนไม่แพ้กัน
“มาไวๆ นะคะแพทจะรอ”
“แล้วเจอกันครับ”
พอวางสายจากเมธินีแล้วภาคิมก็ระบายลมหายใจออกมาเบาๆ แปลกใจตัวเองไม่น้อยที่ไม่ได้รู้สึกคึกคักหรือตื่นเต้นเหมือนยามปกติที่มีนัดกับสาวๆ ใช่ว่าเมธินีจะไม่สวยถูกใจ ถ้าพูดกันจริงๆ เธอคือผู้หญิงเพียบพร้อมไปเสียทุกอย่างที่ผู้ชายปรารถนาด้วยซ้ำ ทั้งสวย เย้ายวนและเร่าร้อน ไม่เรื่องมากแถมยังเอาอกเอาใจเก่งอีกต่างหาก แต่ก็นั่นแหละวันนี้เขากลับไม่มีความรู้สึกอยากจะพาเธอหรือสาวคนไหนขึ้นเตียงด้วย นอกจาก...
ภาคิมรีบสลัดความคิดบ้าๆ ของตัวเองทิ้งไปทันที ดวงตาคู่คมเหลือบมองเวลาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แวบหนึ่งเมื่อรู้ว่าอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน เขาจึงลุกจากโต๊ะเดินไปยังห้องทำงานของบิดา เป็นเวลาเดียวกับที่อรชาพาพนักงานจากร้านเสื้อชื่อดังเดินถือถุงกระดาษหลายใบเข้ามา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ รอจนกระทั่งคนอื่นๆ ออกไปหมดจึงหันไปเอ่ยถามบิดา
“คุณพ่อสั่งซื้อของพวกนี้มาทำไมเยอะแยะครับ”
“เย็นนี้พ่อจะแวะไปสถานสงเคราะห์เลยจะเอาเสื้อผ้าพวกนี้ไปให้หนูปุ้มด้วย”
ภาคิมเหยียดยิ้มมุมปากหลังจากได้ยินคำตอบของบิดา ก็ไหนเมื่อครู่เด็กสาวคนนั้นยังทำเชิดหน้าหยิ่งผยองเถียงเขาเสียงแข็งว่าไม่ได้มาอ้อนเอาอะไร ก็นี่ไงล่ะหลักฐานเห็นกันอยู่โทนโท่ ยังทำเป็นตีหน้าซื่อไร้เดียงสาที่แท้ก็ร้ายไม่ใช่เล่น
“นี่นอกจากคุณพ่อจะส่งเสียให้เรียนแล้วยังต้องซื้อข้าวของพวกนี้ให้ด้วยเหรอครับ รู้สึกเด็กคนนี้จะพิเศษซะเหลือเกินนะครับ ตอนนี้อ้อนเอาเสื้อผ้าต่อไปก็คงเป็นเครื่องประดับ รถ บ้าน ซึ่งผมคาดว่าคุณพ่อก็คงจะยินดีประเคนให้” ภาคิมพูดด้วยน้ำเสียงเชิงประชดบิดาและดูถูกวิโรษณาไปพร้อมๆ กัน
“เล็กๆ น้อยๆ น่าคิม ปกติคิมก็ใจกว้างออก แล้วจะมาคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเรื่องแค่นี้”
“ผมไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยหรอกนะครับ ถ้าคุณพ่อเพียงแค่คิดจะทำบุญทำทาน แต่ที่ผมพูดก็เพราะนอกจากคุณแม่แล้วผมก็ไม่เคยเห็นคุณพ่อจะใส่ใจผู้หญิงคนไหนเท่านี้มาก่อน” น้ำเสียงของภาคิมแข็งกระด้างจนออกจะเป็นห้วน
“ก็พรุ่งนี้หนูปุ้มจะมาทำงานกับพ่อ ซึ่งพ่อคิดว่าหนูปุ้มคงไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใส่มาทำงานหรอก”
“คุณพ่อว่าไงนะครับ นี่คุณพ่อจะให้เด็กคนนั้นมาทำงานที่นี่อย่างนั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงก่อนจะขมวดเข้าหากันเพราะคาดไม่ถึงว่าผู้เป็นบิดาจะหลงใหลวิโรษณาถึงเพียงนี้
“ก็ใช่นะสิ หนูปุ้มเขาเรียนเก่ง ได้เกียรตินิยมเชียวนะตาคิม พ่อรับรองว่าหนูปุ้มจะต้องทำงานได้ดีแน่ๆ”
“แล้วยังไงครับ ต่อไปถ้าเขาทำงานเก่งพ่อไม่ต้องซื้อรถซื้อบ้านให้เป็นรางวัลเลยเหรอ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น ใครทำดีเราก็ควรจะให้รางวัลไม่ใช่หรือไง เขาจะได้มีกำลังใจ” อยุทธ์ยิ้มน้อยๆ
“คุณพ่อ!” ภาคิมเสียงดังแทบจะตะโกน ก่อนจะเดินลิ่วๆ ออกจากห้องทำงานของผู้เป็นบิดากลับห้องทำงานของตัวเองอย่างหัวเสีย
ชายหนุ่มบึ่งรถกลับบ้านโดยไม่รอให้ถึงเวลาเลิกงาน ไปถึงก็ตรงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้ตัวเองหายหงุดหงิด เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงบิดาของเขาก็ยังไม่ถึงบ้าน ซึ่งภาคิมรู้ดีว่าอยุทธ์ไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าตามที่บอกเขาไว้และอาจจะพาเด็กคนนั้นไปไหนต่อไหนตามลำพังกันต่อ
ร่างสูงเดินวนไปวนมาหลายรอบราวกับหนูติดจั่น ก่อนจะคว้าเอากุญแจรถออกไปหาเมธินีตามที่นัดเอาไว้และพาเธอไปยังผับหรูแห่งหนึ่ง
เมธินีแต่งตัวด้วยชุดเดรสเข้ารูปสีแดงคว้านคอลึกจนเห็นร่องอกโผล่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจนด้วยมาดหมายว่าคืนนี้ภาคิมจะเป็นผู้ถอดชุดนี้หลังจากที่ทั้งสองคนกลับจากผับ
ในช่วงหัวค่ำอย่างนี้ผับแห่งนี้คนยังบางตาอยู่มาก หากแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจบรรยากาศรอบข้างสักเท่าใดนัก ภาคิมนั่งบนโซฟาโดยมีเมธินีนั่งเบียดกายอยู่ข้างๆ หากทว่าภวังค์ความคิดของชายหนุ่มยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของบิดากับวิโรษณา เขาไม่อยากคิดอกุศลแต่รู้สึกได้ว่าอยุทธ์กำลังหลงเด็กคนนั้น ไม่รู้ว่าบิดาของเขาติดอกติดใจอะไรวิโรษณานักหนาถึงได้ออกอาการหลงหัวปักหัวปำถึงเพียงนี้ หรือจะเป็นเพราะลีลาอันไร้เดียงสาเหมือนอย่างที่เขาเพิ่งจะได้ลิ้มลอง
“คิดอะไรอยู่คะคิม ทำไมดูเครียดๆ” เมธินีเอ่ยถามเมื่อสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเงียบขรึมผิดปกติ ทั้งๆ ที่ตอนคุยโทรศัทพ์กับเธอน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยการหยอกเย้าอยู่เลย
“คิดเรื่องงานนิดหน่อยน่ะครับ” ภาคิมตอบไม่ตรงความจริงเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นไปเต้นรำกันหน่อยไหมคะ เผื่อคิมจะหายเครียด”
“ไปสิครับ”
ทั้งคู่ควงกันออกไปที่ฟลอร์เต้นรำ เกาะกอดกันแนบชิดและโยกย้ายไปตามจังหวะช้าๆ ของเพลงที่กำลังเปิดอยู่ เมธินียกมือขึ้นโอบกอดรอบคอของภาคิมพลางจงใจเบียดอกอวบอิ่มเข้ากับแผงอกแกร่ง ช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายอย่างหวานเชื่อม
“บอกแพทได้ไหมคะว่างานมีปัญหาอะไรถึงได้ทำให้คิมทำหน้าซังกะตายได้แบบนี้”
“เรื่องหยุมหยิมน่ะครับแพท อย่างไปสนใจเลย”
“ไม่สนใจก็ได้ค่ะ แต่ว่าแพทขอทำให้คิมหายเบื่อนะคะ”
“ทำยังไงครับ” ภาคิมแกล้งตีหน้าซื่อ เลิกคิ้วเข้มขึ้นสูงทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาพยายามปรับสีหน้าให้สดชื่นเพื่อกลบเกลื่อนความเซ็งของตัวเองไม่ให้คู่ควงได้เห็น
“ก็อย่างนี้ไงคะ”