๑.๒ บุษบาริมทาง
“แล้วพร้อมจะเริ่มงานเมื่อไหร่ล่ะ”
“พร้อมเสมอค่ะคุณลุง ปุ้มร้อนวิชาจะแย่อยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นมาทำงานกับลุงพรุ่งนี้เลยนะ”
“ได้ค่ะ” ใบหน้าสวยหวานของวิโรษณาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาด้วยความดีใจ “ถ้าครูแก้วรู้ต้องดีใจมากแน่ๆ เลยค่ะ งั้นปุ้มกลับก่อนนะคะ จะได้รีบไปบอกข่าวดีให้ครูแก้วฟังด้วย”
“เดี๋ยวลุงให้คนขับรถไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง ปุ้มกลับรถเมล์เองดีกว่า” หญิงสาวบอกอย่างเกรงใจและไม่อยากให้ใครเขม่นเอา พอคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าที่สดใสก็เจื่อนลงเล็กน้อย
“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” อยุทธ์ถามยิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันควันของสาวน้อย
“แล้วคนอื่นจะคิดว่าปุ้มใช้เส้นเข้ามาทำงานหรือเปล่าคะ” วิโรษณาถามในสิ่งที่ตัวเองเป็นกังวลออกไป
“เข้ามายังไงไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าปุ้มจะทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีประสิทธิภาพพอที่จะทำงานที่นี่ได้หรือไม่ต่างหาก”
“ขอบคุณค่ะคุณลุงที่ให้ข้อคิด ปุ้มสัญญาว่าจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ให้ใครมาว่าได้”
“ต้องอย่างนี้สิ” อยุทธ์กล่าวอย่างพอใจ “ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นเจอกันนะ เดี๋ยวลุงแวะไปหา มีเรื่องอยากจะคุยกับครูแก้วแล้วก็ปุ้มด้วย”
“ค่ะคุณลุง ปุ้มลาเลยนะคะ” วิโรษณาเอ่ยลาและยกมือขึ้นไหว้อยุทธ์อีกครั้งก่อนจะออกจากห้องนั้น
สาวน้อยยิ้มให้เลขานุการหน้าห้องของอยุทธ์ก่อนจะก้าวไปตามทางเดินซึ่งปูพรมไว้อย่างเรียบหรูเพื่อไปยังลิฟต์ บรรยากาศของชั้นนี้ไม่พลุกพล่านหรือวุ่นวายเหมือนชั้นอื่นๆ คนทำงานมีไม่ถึงสิบคนซึ่งล้วนแต่เป็นผู้บริหารระดับสูงและเลขานุการของผู้บริหารแต่ละคนเท่านั้น
แม้จะผ่านไปหลายนาทีแล้วแต่วิโรษณาก็ยังตื่นเต้นไม่หาย เพราะนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอจะได้มาทำงานที่นี่จริงๆ แล้ว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าสวยหวานก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงมองชุดของตัวเองอีกครั้ง เธอมีชุดแบบนี้อยู่ไม่กี่ชุดถึงแม้มันจะดูเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านแต่ก็ยังดูกะโปโลและมอซอเกินกว่าที่จะสวมใส่มาทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ล้วนแต่มีนักธุรกิจระดับแนวหน้ามาติดต่ออย่างธนากิจกรุ๊ป ลำพังตัวเองไม่เท่าไหร่ เพราะวิโรษณาไม่เคยตีค่าคนด้วยเครื่องแต่งกายอยู่แล้วแต่เกรงว่าลุงอยุทธ์ของเธอจะขายหน้าไปด้วย
วิโรษณาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบอกกับตัวเองว่าให้ทนใส่ไปก่อน ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ค่อยเจียดไปซื้อใหม่ก็แล้วกัน สาวน้อยเดินคิดอะไรคนเดียวกระทั่งถึงทางเลี้ยวที่จะไปยังลิฟต์ ทว่าเท้าเล็กๆ ที่กำลังก้าวฉับๆ ต้องชะงักกึกเมื่อมีร่างสูงตระหง่านของใครคนหนึ่งยืนจังก้าขวางทางเอาไว้จนเธอเกือบจะชนโครมเข้ากับ
“คุณภาคิม!” นัยน์ตาใสซื่อเสมือนลูกกวางน้อยเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าเขาชัดเจน เธอจำเขาได้ดีแม้จะเคยเจอเขาไม่กี่ครั้งก็ตาม
ใช่เขาคือ...ภาคิม วัชรอาชา ลูกชายคนเดียวของอยุทธ์ วัชรอาชา เจ้าของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ใบหน้าของเขาช่างหล่อเหลาสะดุดตาชนิดที่เรียกว่าอิสตรีใดได้เห็นก็ต้องเก็บเอาไปฝัน ความสูงของเขาคงจะราวๆ หกฟุตเพราะยามยืนเผชิญหน้ากันแบบนี้วิโรษณารู้สึกว่าตัวเองเล็กกระจ้อยร่อยไปถนัดตา
อะไรบางอย่างบนใบหน้าทรงเสน่ห์ของเขาดึงดูดสายตาของวิโรษณาให้ต้องจ้องมองอย่างสำรวจ ดวงตาคู่คมยาวรีเป็นสีดำเช่นเดียวกับคิ้วดกหนาที่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบขนานไปเป็นแนวยาว ประกายตาฉาบไว้ด้วยความหยิ่งทะนงบ่งบอกถึงนิสัยที่ถือตัวและเอาแต่ใจออกมาอย่างชัดเจน จมูกโด่งเป็นสันสวยรับกับริมฝีปากหยักลึก กรามแข็งแรงทั้งสองข้างมีไรเคราขึ้นเป็นแนวทำให้เจ้าตัวดูหล่อเหลาคมเข้ม ชวนให้จินตนาการถึงอัศวินนักรบที่นั่งอย่างองอาจอยู่บนหลังอาชาไนยตัวใหญ่
กลิ่นน้ำหอมราคาแพงแบบบุรุษชั้นสูงลอยฟุ้งพร่างพรมมาเตะจมูกโด่งเรียวอย่างอ้อยอิ่ง กลิ่นนั้นกระตุ้นให้หัวใจของวิโรษณาเต้นแรงระรัวขึ้นจนแทบจะทะลุออกมานอกอก หากทว่าความตื่นเต้นนั้นก็ค่อยๆ ลดลงกระทั่งร่างกายเริ่มแข็งทื่อเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหินไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าดวงตายาวรีคมเข้มที่กำลังจับจ้องมายังเธอฉายประกายความเกรี้ยวกราดออกมาอย่างชัดเจน
“สวัสดีค่ะ” สาวน้อยยกมือขึ้นไหว้เขาตามมารยาทหลังจากตั้งสติได้
“มาอ้อนเอาอะไรจากพ่อฉันอีกล่ะ ที่พ่อฉันปรนเปรอให้ยังไม่พอหรือไง” นอกจากจะไม่รับไหว้แล้วภาคิมยังย้อนถามด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน
“ดิฉันไม่เคยออดอ้อนเอาอะไรจากคุณลุงอย่างที่คุณว่านะคะ”
“แล้วมาทำไม อย่าบอกนะว่าแค่มากราบไหว้ผู้มีพระคุณโดยปราศจากวัตถุประสงค์อื่น เพราะมันเหลือเชื่อ”
“ดิฉันมาที่นี่ก็เพราะคุณลุงเรียกให้มาพบ กรุณาอย่ามากล่าวหาดิฉันด้วยเรื่องที่ปราศจากข้อเท็จจริง” วิโรษณาตอบโต้ ถึงแม้เขาจะเป็นลูกชายของลุงอยุทธ์แต่ก็ไม่มีสิทธิ์พูดจาดูถูกเธอตามอำเภอใจแบบนี้
แววตาเฉียบคมหรี่ลงมองท่าทางเชิดผยองของวิโรษณา เธอก็แค่เด็กในอุปการะของอยุทธ์ ไม่มีสิทธิ์มาแสดงอาการหยิ่งยโสใส่เขา ที่กล้าลำพองตัวแบบนี้คงคิดว่ามีบิดาของเขาให้ท้ายอยู่กระมัง!
“อย่ามาทำเชิดหน้ากลบเกลื่อนหน่อยเลย เธออาจจะตีหน้าใสซื่อหลอกพ่อฉันได้ แต่มันใช้ไม่ได้ผลกับคนอย่างฉันหรอก” เสียงเขากระด้างยิ่งขึ้นทันที
“นั่นมันก็แล้วแต่คุณจะคิดค่ะ ดิฉันไม่สามารถบังคับความคิดของใครได้”
“ความจริงเธอน่าจะพูดหวานๆ เอาอกเอาใจฉันสักหน่อยนะ เผื่อบางทีฉันอาจจะหลงเสน่ห์เธอขึ้นมาเหมือนพ่อของฉันบ้าง ฉันก็อยากเห็นเหมือนกันว่ามารยาของเธอมันจะชั้นเลิศแค่ไหน พ่อฉันถึงหลงหัวปักหัวปำเช้าถึงเย็นถึง...”
“เสียใจค่ะ ดิฉันจะพูดจาไพเราะและเอาอกเอาใจเฉพาะคนที่พูดจาดีปฏิบัติดีกับดิฉันเท่านั้น”
คางเล็กๆ เชิดขึ้นอย่างทระนง ภาคิมช่างร้ายกาจนัก ปากคอเราะรายเป็นที่สุดผิดกับอยุทธ์ราวกับไม่ใช่พ่อลูกกัน
“เผอิญว่าฉันไม่ชอบถูกขัดใจซะด้วยสิ” เขาก้มหน้าลงมาใกล้อีก จนสาวน้อยรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีพจรของตนเต้นแรงอย่างสับสนขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ดิฉันก็ไม่คิดว่าตัวเองมีความจำเป็นอะไรที่ต้องมาเอาใจคุณ”
“อวดดี!” ภาคิมสบถออกมาอย่างโมโห
“คุณว่างงานมากหรือไงคะถึงมีเวลามาหาเรื่องระรานคนอื่นแบบนี้ กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ ดิฉันจะรีบกลับ”
“แล้วถ้าฉันไม่หลีกเธอจะทำไม” น้ำเสียงของภาคิมยังคงแข็งกร้าวระคนท้าทาย “ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมวิโรษณาว่าผู้หญิงอย่างเธอใช้อะไรมัดใจพ่อฉัน พ่อฉันถึงได้ติดใจเธอขนาดนี้ แต่ถ้าจะให้เดาคงจะเป็นลีลาที่เร่าร้อนใช่ไหม”