๑.๔ คู่หมั้นชีคทมิฬ
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแฟชั่นโชว์แสดงเพชรก็จบลงเมื่อนางแบบคนสุดท้ายเดินออกมาจากหลังเวทีพร้อมด้วยเครื่องเพชรชุดใหญ่ เรียกเสียงฮือฮาได้มากกว่าทุกๆ ชุด
ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่กำลังปรับเปลี่ยนบริเวณเวทีให้เป็นฟลอร์เต้นรำ คุณหญิงบุษบาก็จูงมือลูกสาวเข้ามาหารัฐมนตรีอนุสรณ์ทันที
“สวัสดีค่ะท่าน”
“อ้าวคุณหญิงบุษบา ขอบคุณที่มาครับ”
“ต้องขอโทษท่านด้วยค่ะที่มาช้า” ปากพูดแต่ตากลับปรายไปทางชีคหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ รัฐมนตรีอนุสรณ์ ทำให้รัฐมนตรีต้องเอ่ยปากแนะนำให้รู้จักตามมารยาท
“อ้อ...ผมลืมไปน่ะ นี่ชีคอัสรานให้เกียรตินำเพชรมาร่วมแสดงในงานวันเกิดของผม”
“สวัสดีค่ะชีคอัสราน นี่ลูกสาวของดิฉันชื่อฉัตรสุดาค่ะ เรียกสั้นๆ ว่าฉัตรก็ได้นะคะ” คุณหญิงบุษบาจัดแจงแนะนำตัวลูกสาวของตัวเอง
“สวัสดีครับ” ชายหนุ่มโค้งศีรษะให้เล็กน้อย
“พอดีเลย ถ้ายังไงขอยืมตัวหนูฉัตรเป็นคู่เต้นรำเปิดฟลอร์เป็นเกียรติหน่อยนะคุณหญิง” รัฐมนตรีอนุสรณ์เอ่ยปากโดยไม่มีรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีคู่หมายอยู่แล้ว
“อุ๊ย! ยินดีค่ะ จริงไหมลูกฉัตร”
“ค่ะคุณแม่”
จากนั้นเสียงพิธีกรในงานก็ประกาศให้ทุกคนร่วมเต้นรำพร้อมๆ กับที่เสียงเพลงในท่วงทำนองนุ่มนวลหวานหูดังขึ้นทั่วงาน
รัฐมนตรีอนุสรณ์และภรรยาออกไปเป็นคู่เต้นเปิดฟลอร์ จากนั้นคู่เต้นคู่อื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาสมทบในฟลอร์เต้นรำ ฉัตรสุดาหันมาส่งสายตาอย่างหวานเชื่อมให้แก่ชีคอัสราน ชายหนุ่มลุกขึ้นและผายมือให้ฉัตรสุดาเดินนำไปที่ฟลอร์เต้นรำ เมื่อชีคอัสรานโอบร่างอันอ้อนแอ้นในชุดราตรีเข้าไปกอดไว้เพื่อเริ่มเคลื่อนจังหวะตามเสียงดนตรี ฉัตรสุดาก็เบียดร่างเข้าหาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเคอะเขินแต่อย่างใด
“ฉัตรดีใจมากนะคะที่ได้พบชีคที่นี่ เคยเห็นผ่านหน้านิตยสารน่ะค่ะ ไม่คิดว่าตัวจริงจะหล่อขนาดนี้ ฉัตรอยากเจอตัวจริงมานานแล้วค่ะ”
“คุณฉัตรติดตามข่าวผมด้วยเหรอครับ น่าดีใจนะครับที่มีสาวๆ สวยๆ อย่างคุณอยากทำความรู้จักด้วย”
“แหมก็ชีคดังจะตายค่ะ สาวๆ ที่ไหนก็อยากรู้จักทั้งนั้นแหละค่ะ”
“ผมพึ่งเคยมาเมืองไทยครั้งแรก แล้วก็ไม่ผิดหวังเพราะว่าสาวไทยสวยกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก” สายตาคู่คมปรายไปทางร่างอรชรของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ฟลอร์ แต่ฉัตรสุดากลับยิ้มด้วยความพอใจเมื่อคิดว่าเสน่ห์ของตนเป็นที่ถูกตาต้องใจชีคหนุ่ม
“ปากหวานจังเลยนะคะ”
“ผมพูดความจริงต่างหาก”
“แล้วชีคจะอยู่เมืองไทยกี่วันคะ ถ้าไม่รังเกียจเชิญไปเที่ยวที่บ้านฉัตรก่อนกลับนะคะ” หญิงสาวเชื้อเชิญทั้งปากและสายตา ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นนิดๆ อย่างสื่อความหมายไปมากกว่านั้น
“ได้ครับ” ชีคหนุ่มรับเพียงคำสั้นๆ
ขณะเดียวกันที่ข้างฟลอร์ คุณหญิงบุษบายืนกอดอกมองลูกสาวตัวเองกำลังเต้นรำกับชีคหนุ่มผู้ร่ำรวยอย่างมีความสุข ในขณะที่คุณหญิงอรอุษาหันมาทางลูกสาวอย่างอดเคืองไม่ได้
“ดูซิ ถูกลูกสาวคุณหญิงบุษบาตัดหน้าจนได้”
อรุโณทัยมองภาพนั้นด้วยแววตาเรียบเฉย หากทว่าใบหน้าสวยหวานกลับบึ้งตึงโดยเจ้าตัวเองก็ไม่รู้สาเหตุ ความเกลียดชังที่มีต่อชายหนุ่มซึ่งกำลังโอบประคองฉัตรสุดาเต้นรำอย่างหวานซึ้งมีมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ในขณะเดียวกันก็นึกดีใจที่ผู้เป็นมารดาได้เห็นธาตุแท้ของเขาเสียที จะได้เลิกยัดเยียดให้หล่อนแต่งงานกับผู้ชายมากรักแบบนั้น
“ดีแล้วล่ะค่ะคุณแม่”
“เอ๊ะลูกอ้อนี่ยังไงกันนะ นั่นน่ะคู่หมั้นของตัวแท้ๆ ไม่คิดหึงหวงบ้างหรือไง”
สาวน้อยทำหน้าระอาใจ นึกว่าผู้เป็นมารดาจะเห็นด้วยกับหล่อน แถมยังหันมาทำหน้าดุใส่อีก ผู้ชายคนนี้มีดีอะไรนักหนานอกจากความรวย
“จบเพลงนี้แล้ว ลูกอ้อต้องไปเป็นคู่เต้นของชีคอัสรานนะ แม่เห็นเขามองมาทางลูกอ้อบ่อยๆ คงจะเต้นกับลูกสาวคุณหญิงบุษบาตามมารยาทเท่านั้นล่ะ” คุณหญิงอรอุษาสั่งกำชับ
และเมื่อเพลงแรกจบลง ชีคอัสรานก็เดินมาส่งฉัตรสุดา คุณหญิงอรอุษาจึงรีบฉุดมือของอรุโณทัยเข้าไปหาชายหนุ่มทันที
“ชีคคะ”
“คุณอรอุษาใช่ไหมครับ” ชีคอัสรานเอ่ยขึ้นเหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาทั้งๆ ที่ความจริงเขาจำครอบครัวของอธิวัฒน์ได้อย่างแม่นยำทุกคน โดยเฉพาะสาวน้อยที่มีฐานะเป็นคู่หมั้นของเขาซึ่งกำลังยืนหน้าบึ้งตึงอยู่ข้างๆ คุณหญิงอรอุษาตอนนี้ เขาจำได้ดี เพราะคนของเขารายงานความเคลื่อนไหวและถ่ายภาพของหล่อนมาทุกระยะ
“ใช่ค่ะ ดีใจที่ชีคยังจำดิฉันได้” คุณหญิงอรอุษาแย้มแป้นและจิกตาไปทางสองแม่ลูกนิดๆ ความจริงคุณหญิงอรอุษาเคยเจอชีคอัสรานแล้วในครั้งที่ไปเยี่ยมสามีที่โดฮาราเมื่อหลายปีก่อน
“จำได้สิครับ”
“นี่ลูกอ้อค่ะ” คุณหญิงหันไปแนะนำลูกสาวอย่างรู้สึกพอใจเมื่อเห็นว่าชีคหนุ่มกำลังมองอรุโณทัยอย่างไม่วางตา
“สวัสดีครับสาวน้อยได้เจอกันซะที” เสียงทุ้มเอ่ยทักทาย พร้อมกับยื่นมือมาให้อรุโณทัยจับ แต่สาวน้อยกลับยกมือขึ้นไหว้เขาตามมารยาทไทยทำเอาคุณหญิงอรอุษาอดเคืองไม่ได้
“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานตอบสั้นๆ คล้ายไม่อยากจะเสวนาด้วย
“ไปเต้นรำกันหน่อยไหม เผื่อจะได้คุ้นเคยกันมากขึ้น” ชีคหนุ่มเอ่ยพร้อมกับยกมุมปากยิ้มเรียบๆ
“เอ่อ...” สาวน้อยกำลังจะอ้าปากปฏิเสธแต่ถูกผู้เป็นมารดาแทรกขึ้นก่อน
“ไปสิลูก”
อรุโณทัยจำเป็นต้องเดินตามชีคอัสรานไปยังฟลอร์เต้นรำ สาวน้อยยืนนิ่งจนกระทั่งมือหนายื่นเข้ามาโอบประคองพาขยับไปตามจังหวะดนตรี เมื่อยืนใกล้กันแบบนี้สาวน้อยรู้สึกว่าตัวเองเล็กกระจ้อยร่อยไปถนัดตา เขาไม่เพียงแต่สูงแต่รูปร่างนั้นบึกบึนแข็งแกร่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความหนักแน่นมั่นคงทำให้อรุโณทัยรู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับผู้ชายเต็มตัวคนหนึ่ง
ในขณะที่ดวงตาคมกล้าสีแอมเบอร์กำลังกวาดมองเครื่องหน้ารูปหัวใจทีละชิ้นส่วนอย่างพึงพอใจ ไล่ตั้งแต่คิ้วเรียวโค้งดั่งคันธนู ดวงตาสีน้ำตาลที่ประดับด้วยแพขนตางอนยาม จมูกโด่งรั้นนิดๆ พวงแก้มเนียนละมุน และจบลงที่เรียวปากบอบบางสีแดงระเรื่อรูประจับซึ่งเป็นจุดที่เขาจับจ้องนานเป็นพิเศษโดยไม่สนใจว่าหล่อนจะทำหน้าบึ้งตึงแค่ไหน
ดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยมองใบหน้าคมคร้ามแทบถลนเมื่อรู้สึกว่าเอวเล็กของตนถูกเขารั้งไปแนบชิดกับต้นขาแข็งแรงของเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน
“กรุณาโอบหลวมๆ หน่อยได้ไหมคะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างตำหนิทันที ทว่าชีคหนุ่มกลับสำเหนียกถึงการท้าทายบางอย่างในดวงตาคู่สวยของร่างอรชรซึ่งกำลังขึ้งจัดอย่างที่ไม่เคยมีสตรีใดกล้าใช้สายตาแบบนี้เวลาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเขา
“พูดได้ด้วยเหรอ ผมนึกว่ากำลังเต้นรำกับหุ่นยนต์ซะอีก”
“ดิฉันเป็นคนมีชีวิตจิตใจและความรู้สึกค่ะ รักเป็น เกลียดเป็น” สาวน้อยเชิดหน้าขึ้น ในขณะที่ดวงตาสีแอมเบอร์กลับจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากเรียวบางรูปกระจับที่กำลังเผยอขึ้นลงในขณะพูด
“แล้วกับผมรู้สึกยังไง...” ชีคหนุ่มจงใจส่งสายตาเจ้าชู้หรี่ลงชวนฝัน “...รักหรือเกลียด”
“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นค่ะ เพราะเราเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน”
“งั้นเหรอ... ถ้างั้นเรามาทำตัวให้คุ้นเคยกันหน่อยเป็นไง”