บทที่ 5 กล้าได้กล้าเสีย (2)
บทที่ 5 กล้าได้กล้าเสีย (2)
คิ้วโก่งขมวดแน่นพยายามครุ่นคิดว่าจะเล่นอะไรให้มันใช้เวลาน้อยที่สุด และฟันกำไรได้เร็วที่สุด ช่วยไม่ได้เมื่อคนเจ้าเล่ห์อยากเปิดช่องให้เธอเอง หากเธอจะเอาคืนคนแบบนี้บ้างพระเจ้าคงอภัยให้แน่
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายเป็นคนชั่วล่ะ
“ว่าไงเราจะเล่นอะไรกันดี ฉันรอฟังอยู่นะ”
ไม่พูดเปล่าชายหนุ่มยังพยายามเขยิบมาใกล้ เมื่อดูท่าว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวเองน้อยลง
“ฉัน ฉัน งั้นเอางี้เรามาปั่นหัวก้อยกัน”
มันจะไปคิดออกได้ยังไงเล่า วัน ๆ ชีวิตเธอมีเวลาว่างมานั่งนึกถึงเรื่องสนุกทำที่ไหนกัน
“ห๊ะ หัวก้อยเนี่ยนะ นี่มันเกมที่สนุกแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
ก็มันอับจนหนทาง ไหนจะสายตาเร่งเร้าของเขาอีก นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เธอจะนึกออกแล้ว
“ใช่ นายคงเล่นเป็น อีกอย่าง…มันรู้ผลแพ้ชนะเร็วดี ฉันว่าน่าสนุกดีออก”
อองรี จ้องเข้าไปในนัยน์ตาปรือเยิ้มของอีกฝ่าย พร้อมยกยิ้มที่มุมปาก
“ก็ดี ดูท่าจะจบเกมไวดี ว่าแต่จะให้สนุกมันต้องมีเดิมพัน”
เข้าทางแคลร์จนได้ เดิมพัน คำนี้คือคำที่เธอรอฟังอยู่
“แน่นอนว่าต้องสนุกแน่ เดิมพันเหรอ อืมม งั้นกติกาเป็นงี้ คนชนะจะร้องขอสิ่งใดจากอีกฝ่ายก็ได้ แต่คำขอนั้นจะขอได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นคุณจะขอซ้ำไม่ได้ในตาถัดไป”
ปากเล็กยกยิ้มอย่างภูมิใจ เมื่อคิดว่านี่คือสิ่งที่ฉลาดที่สุดแล้ว
ทว่า…..
“ชนะแล้ว สั่งอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ อืม ก็ดีนะ ชักตื่นเต้นแล้วสิ รอออกคำสั่งไม่ไหวแล้ว”
“แต่กติกา…ห้ามสั่งคำสั่งเดิมนะและถ้าไม่ทำตาม อีกฝ่ายสามารถบังคับให้ผู้แพ้จ่ายค่าปรับได้”
อองรียกคิ้วทำทีคิด ก่อนจะกระดกน้ำในแก้วสีอำพันขึ้นดื่ม
“หึ แต่เธอไม่มีเงินจะจ่ายค่าปรับนะนังหนู แบบนี้เขาเรียกว่าโกงตั้งแต่ไม่เริ่มหรือเปล่า ”
“ค่าปรับมีไว้สำหรับคนไม่รักษากติกา และอีกอย่างฉันไม่แพ้หรอก”
“จับเสือมือเปล่า แถมยังอวดดีซะด้วย”
“ถ้านายกลัว ก็ไม่ต้องเล่นก็แค่ปล่อยฉันกลับออกไป”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยแววตาที่ทำให้เธอต้องรู้สึกเสียวสันหลัง เขาโตมาจากครอบครัวมาเฟีย และทุกคนรอบตัวเป็นถึงผู้นำเขตปกครองทั้งสิ้น คำว่ากลัว อองรีก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าในชีวิตครั้งไหนคือครั้งที่รู้สึกกลัวที่สุด ยิ่งกับเรื่องพนันขันต่อด้วยแล้ว มันจะไม่ตลกไปหน่อยเหรอ ถ้าคนอย่างเขาจะกลัวกับเรื่องนี้
“คุยกันมาตั้งนานเรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ชื่ออะไร”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้จักกันหรอก เดี๋ยวฉันก็ไปแล้ว และฉันคงไม่ซวยเจอนายอีก อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่ลูกหนี้ของนาย”
“แต่ก็เสนอตัวมาขัดดอกแทนไอ้จอร์แดน ดูท่ามันคงสำคัญ”
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อขัดดอกแทนคุณจอร์แดนสักหน่อย ฉันแค่..แค่..”
แคลร์หยุดคำพูดไว้เท่านั้น เพราะพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ และมันไม่ได้สำคัญมากพอที่จะอธิบายให้คนอย่างเขาฟัง แคลร์มุ่ยหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมไปหยิบเหยือกแล้วรินน้ำสีสวยใส่แก้วของตัวเอง จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มอีกครั้งอย่างช้า ๆ
“เธอดื่มมันห้าแก้วแล้วนะ”
“ห๊ะ นายว่าอะไรนะ”
“เปล่า…เรามาเริ่มเล่นเกมกันเถอะ”
“ได้..เริ่มสักทีเถอะ ว่าแต่นายมีเงินเดิมพันเท่าไหร่ ไม่ใช่พอแพ้แล้วจะชักดาบกันนะ”
แคลร์ทำทีพูดท้าทายออกไป เพราะรู้ดีว่าผู้ชายอย่างเขาคงไม่ชอบใจ อีกอย่างหญิงสาวแน่ใจดีว่า อองรีคงคิดลวนลามเธอแน่ อย่างไรเสียคืนนี้เธอคงเลี่ยงบางสถานการณ์ได้ยาก ดังนั้นจึงออกกฎว่า
‘ทุกคำสั่ง มีโอกาสสั่งได้แค่ครั้งเดียว’
อองรีลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่อีกห้อง ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเจมส์บอนด์ สองมือเปิดกระเป๋าออกก่อนจะยกมันขึ้นเท ธนบัตรมากมายร่วงหล่นปลิวว่อนไปทั่วทั้งห้อง
แคลร์เบิกตาโพลงก่อนจะกะพริบตาถี่ ๆ เพราะเธอเริ่มไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าเป็นเรื่องจริงหรือภาพลวงตา ด้วยในเวลานี้การมองเห็นของเธอเริ่มไม่ปกติบ่อยครั้งที่เริ่มเห็นภาพซ้อน อีกทั้งหัวของเธอก็เริ่มหนักเสียเหลือเกิน
“เอาล่ะ คราวนี้ก็ลองนับดู ว่ามันมากพอที่จะทำให้เธอเรียกร้องจากฉันได้สักกี่รอบ”
หน้าเล็กช้อนมองร่างสูงที่ยืนไม่ห่างจากเธอนัก มือเล็กก็คว้าจับธนบัตรที่หล่นอยู่บนพื้น ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยเห็นเงินมากมายเท่านี้มาก่อน
ดูท่าวันนี้เธอจะกลับเข้าบ้านไปอย่างรอดตายแล้วล่ะ
ความโลภชั่วขณะทำให้แคลร์หลงลืมคิดไปว่าคนอย่างอองรีที่กล้าได้กล้าเสียขนาดนี้ เขาไม่มีทางยอมขาดทุนหรือเสี่ยงกับเรื่องที่มันจะไม่คุ้มทุนแน่
“เอาล่ะทีนี้จะเริ่มเล่นกันได้หรือยัง อยากรู้เหมือนกันถ้าเธอแพ้จะตุกติกอะไรหรือเปล่า”
พูดจบเขาก็ล้วงเอาปืนที่เหน็บที่ขอบกางเกงออกมาวางไว้บนโต๊ะ
เพื่อข่มขู่สินะ..หากเธอตุกติกเท่ากับตาย
“แพ้ก็แค่ทำตามกติกา ฉันไม่ตุกติกหรอกน่า”
“เดี๋ยวก็รู้ว่าจะดีแต่ปากหรือเปล่า”
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของอองรี พานให้หญิงสาวเริ่มลังเล หากแต่เวลานี้คงถอยหลังไม่ได้แล้ว
“งั้นเรามาวางเดิมพันกันเลยดีมั้ย?”
“ฉันวางไปแล้ว เธอเองหรือเปล่าที่ยังไม่วาง”
อองรีพูดพลางยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่แคลร์
“ก็ฉันไม่ได้จะใช้เงินเป็นเดิมพันสักหน่อย เงินของนายสำหรับค่าปรับต่างหาก”
“เธอไม่ได้ปรับฉันหรอก แต่เธอนั่นแหละเตรียมตัวจ่ายค่าปรับได้เลย”
“………”
ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาเหรียญออกมา เขาจ้องมองมันอย่างมีความหมาย
‘นี่คือเหรียญนำโชคของนาย..อองรี ทุกครั้งที่แต้มของมันหงายฝั่งสีทองแปลว่าวันนั้นนายจะโชคดี และนายตัดสินใจทำเรื่องพวกนั้นได้แม้ว่าตรงนั้นจะไม่มีพี่’
เจสันส่งเหรียญให้น้องชายตัว ในวันที่อองรีอายุครบสิบแปด ขณะที่ทั้งสามหนุ่มกำลังยืนรอเจ้าหญิงน้อยของบ้านหยวนตรงสวนหน้าบ้าน
‘แล้วถ้ามันหงายฝั่งสีเงินล่ะครับ’
‘นายก็แค่รอ…รอจนโอกาสจะเป็นของนายไง’
‘แต่ไม่ว่ามันจะขึ้นฝั่งไหน หรือวันที่นายจะอับโชคที่สุด แต่นายมีพวกเราเสมอเจ้าน้องชาย’
อเล็กซ์พูดขึ้นพร้อมวางลำแขนแกร่งลงบนบ่าของอองรี
‘ผมไม่มีวันอับโชคหรอกครับ เพราะผมมีพวกพี่’
‘แล้วฉันล่ะ นายลืมนับฉันเหรอ..อองรี’
เสียงเล็กของแองเจล่าที่ตะโกนมาแต่ไกลก่อนที่ตัวจะมาถึง ทำให้ทั้งสามคนต้องหันกลับไปมอง เพียงครู่เสียงหัวเราะก็ดังลั่นสวน
“ใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“ฉันจะให้เธอเริ่มก่อน เราจะเล่นกันเพียงห้าตาเท่านั้น และถ้าใครได้แต้มในตาสุดท้าย จะสามารถออกคำสั่งพิเศษได้ โดยมีสิทธิ์ร้องขอสิ่งที่ต้องการจากอีกฝ่ายได้ 3 ข้อ และหากตุกติกไม่ทำตามจะต้องเสียเดิมพันทั้งหมดที่มีรวมทั้งถูกอีกฝ่ายลงโทษ แต่สำหรับเธอฉันจะยอมหยวนให้เธอขอซ้ำได้ เพราะคงมีไม่กี่อย่างหรอกมั้ง ที่คนอย่างเธอจะอยากได้จากฉัน”
อองรีพูดพลางปรายสายตาไปบนธนบัตรที่หล่นอยู่บนพื้น
สายตาดูถูก....
“……”
นี่มันนอกแผน แคลร์เริ่มชั่งใจ ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียพนันครั้งนี้ซะเอง หญิงสาวงุดหน้าลงก่อนจะชำเลืองสายตาไปที่ธนบัตรมากมายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้อง กลิ่นหอมของธนบัตรใบใหม่มันชวนให้ลุ่มหลงจนเธอติดกับเขาจนได้
“ฉันตกลง”