บทที่ 2 ชีวิตที่เลือกไม่ได้ (2)
บทที่ 2 ชีวิตที่เลือกไม่ได้ (2)
หญิงสาวกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง เพราะหากวันนี้เธอไม่ได้เงินกลับบ้านมันจะต้องเป็นเรื่องแน่ และมันก็เป็นจริงอย่างที่เธอคิดเอาไว้
ประตูไม้เก่า ๆ ของห้องเช่าขนาดเล็กถูกเปิดออก และที่ด้านหลังของบานประตูนั่น พบว่า ‘โจ’ พ่อของเธอก็กำลังนั่งรออยู่
“กลับมาแล้วเหรอ วันนี้ได้เงินมาเยอะหรือเปล่า”
เจ้าของน้ำเสียงและท่าทีตื่นเต้นดีใจเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็นร่างเล็กเดินผ่านพ้นประตูบ้านเข้ามา
สำหรับพ่อเธอมีค่าแค่นี้เองสินะ คนหาเงิน ทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันเธอต้องเผชิญกับเรื่องเสี่ยงตายมา อีกทั้งยังเกือบจะไม่มีชีวิตเหลือรอดกลับมาที่นี่อีก
พ่อของเธอติดสุราเรื้อรัง และซ้ำร้ายไปกว่านั้นเขายังเป็นผีพนันตัวยง ไม่มีอาชีพ แต่ละวันทำเพียงแค่นอนรอเงินจากเธอเพื่อไปดื่มเหล้าและเข้าบ่อน
“วันนี้เขายังไม่จ่ายค่าแรงค่ะ”
เธอจำเป็นต้องโกหกออกไป
“มันจะเป็นไปได้ยังไง แกทำงานที่นั่นมาเป็นอาทิตย์แล้ว เมื่อเช้าก่อนแกจะออกไปทำงาน ฉันได้ยินแกคุยโทรศัพท์กับเพื่อนของแกว่าวันนี้เงินจะออก แกเอาเงินไปเที่ยวเล่นหมดแล้วใช่มั้ย สารภาพมาซะดี ๆ นังลูกตัวดี”
“ไม่ใช่นะคะพ่อ เจ้าของร้านไม่ยอมจ่ายให้จริง ๆ วันนี้หนูก็เลยออกจากงานมาแล้ว ก็คงต้องไปหางานใหม่ทำค่ะ”
“ถ้ารู้อย่างนั้นก็รีบออกไปหามาสิวะ รีบไปทำงานแล้วเอาเงินกลับมา เห็นมั้ยว่าเหล้าของฉันหมดแล้ว”
พ่อของเธอหยิบกระป๋องเครื่องดื่มที่หมดแล้วปาใส่เธอทันที
แคลร์ไม่ได้กลัวที่จะต้องต่อสู้และเผชิญปัญหาสารพัดเพียงลำพัง แต่สิ่งเดียวที่เธอกลัวและเบื่อหน่ายก็คือพฤติกรรมของผู้เป็นพ่อ
ยี่สิบปีก่อนหลังจากที่เธอลืมตาดูโลกได้เพียงขวบเศษ ผู้เป็นแม่ก็ละทิ้งเธอและสามีเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ไปแต่งงานใหม่กับชายที่เธอก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเขาคือใคร และตั้งแต่วันนั้นผู้เป็นพ่อก็เปลี่ยนไป เขากลายเป็นชายติดเหล้า เข้าบ่อน และทุกครั้งที่เขาเมากลับมาก็มักจะลงไม้ลงมือกับลูกสาวเป็นประจำ
เพียงเพราะเธอมีใบหน้าละม้ายคล้ายแม่ของเธอ หญิงสาวมักขาดเรียนอยู่บ่อย ๆ เพราะต้องอาสารับจ้างทำงานหาเงินเลี้ยงชีพตั้งแต่ยังเล็ก และทั้งคู่ไม่เคยปักหลักที่ไหนนาน เนื่องจากโจมักก่อเรื่องและสร้างหนี้สินไปทั่ว จนทั้งคู่ต้องระหกระเหเร่ร่อนย้ายที่อยู่เป็นประจำ และในที่สุดแคลร์ก็ต้องหยุดเรียน!
“มัวยืนเหม่อรออะไรอยู่ รีบออกไปหางานใหม่สิวะ หรือแกจะต้องรอให้ฉันถูกพวกเจ้าหนี้มันตามมากระทืบซะก่อน แกถึงจะออกไปได้”
“หนูรู้แล้วล่ะค่ะ กำลังจะออกไปเดี๋ยวนี้”
ปากเล็กลอบผ่อนลมเบา ๆ ดวงตาหม่นเศร้ากลอกขึ้นกวาดไปรอบ ๆ ห้อง สภาพที่อยู่ของเธอยังซอมซ่อ กว่าคอกสัตว์เสียอีก มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเองเล็กน้อย เผื่อว่าฝ่ามือนี้จะช่วยปัดเป่าความหิวให้หายไปได้
แคลร์พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ พร้อมกับรีบเดินออกมาจากห้อง เธอรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อตั้งสติขึ้นมาก็คิดได้ว่า หากเธอไม่รีบหาเงิน พ่อของเธอก็จะต้องถูกพวกเจ้าหนี้ตามกระทืบและทำร้าย ถึงอย่างไรสาเหตุที่พ่อของเธอกลายเป็นคนไม่เอาไหน มันก็เพราะถูกมารดาของเธอทิ้งไป
ด้วยความรู้สึกทางสายสายเลือด หญิงสาวจึงไม่สามารถทอดทิ้งพ่อได้ลงคอ
เมื่อออกมาจากห้องเช่าแล้ว เธอก็เดินย้อนกลับไปในย่านการค้าเพื่อที่จะเริ่มหางานใหม่อีกครั้ง ทว่านี่มันเย็นวันอาทิตย์ มีโอกาสเป็นไปได้ยากที่เธอจะหางานใหม่ได้ภายในวันนี้ และหญิงสาวยังคงมีงานสำคัญที่ไม่สามารถทิ้งได้ นั่น คือการไปช่วยแม่ชีดูแลพวกเด็ก ๆ ที่โบสถ์
แคลร์จึงเดินเลี่ยงถนนเส้นหลักไปตามตรอกที่สุดปลายทางเป็นที่ตั้งของโบสถ์เก่าแห่งหนึ่ง
“สวัสดีค่ะซิสเตอร์ วันนี้หนูมาช้าขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ แคลร์มาก็ดีแล้ว วันนี้จะมีผู้บริจาคเอาข้าวของและขนมมาให้เด็ก ๆ เดี๋ยวเราอยู่รับเอากลับไปบ้านด้วยนะจ๊ะ”
“จะดีเหรอคะ วันนี้หนูไม่ได้มาช่วยงานเลย แล้วอีกอย่างข้าวของพวกนี้ผู้บริจาคก็ตั้งใจเอามาให้พวกน้อง ๆ หนูไม่กล้ารับหรอกค่ะ”
“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะ แคลร์เป็นเด็กดีมาตลอด มาช่วยงานที่โบสถ์แทบจะทุกอาทิตย์ ตัวหนูเองก็เป็นสมาชิกของที่นี่เหมือนทุกๆ คน”
หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นที่หน่วยตา ความรู้สึกเหมือนมีก้อนเหนียวจุกอยู่ที่คอ แคลร์รู้สึกว่าตั้งแต่เล็กจนโตเธอมักจะเป็นภาระให้คนรอบข้างเสมอ และการที่เธอยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความอนุเคราะห์ของทุกคนที่นี่
“อย่าร้องไห้สิจ๊ะ ไม่อย่างงั้นพระผู้เป็นเจ้าจะเสียใจได้นะ”
“ขอบคุณมากนะคะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปช่วยพวกน้อง ๆ ทางด้านนู้นนะคะ ซิสเตอร์พักเถอะค่ะเดี๋ยวหนูจะทำแทนเอง”
มันอาจจะเป็นความสุขเดียวในชีวิตของแคลร์ กับการได้ใช้เวลาที่นี่ ในช่วงที่ชีวิตช่างหม่นหมองเหลือเกิน
ในขณะที่ทุกคนกำลังเริ่มร้องเพลง ประตูโบสถ์ก็ถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรง เสียงดังของมันทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหันกลับไปมองทางประตูเป็นตาเดียว ดวงตากลมโตสวยของแคลร์เบิกโพลงก่อนจะกะพริบตาถี่เพื่อที่จะเพ่งมองให้แน่ใจ เมื่อชายหนุ่มที่เดินผ่านประตูโบสถ์เข้ามา เป็นชายคนเดียวที่เธอบังเอิญเจอกันเมื่อบ่ายนี้