ตอนที่ 3
ภัสรดาที่เปลี่ยนใจไม่ยอมไปทานอาหารตามนัดไว้ แต่กลับอยู่บ้านร้องถามขึ้นด้วยเสแสร้งว่าขัดเคืองใจในท่าทีของไฉไล
“คุณหนึ่งหนีออกจากห้องไปทางหน้าต่างแล้วค่ะ”
“อะไรนะ! จริงหรือ”
ปิ่นประดับแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง หล่อนรีบเดินขึ้นไปยังห้องของหนึ่งธิดาพร้อมกับภัสรดา ธามธรณ์และไฉไล ในขณะที่กันต์ธัสเมื่อออกาจากบ้านของปิ่นประดับ เขาก็พยายามมองหาหนึ่งธิดา
“นี่ไงคะคุณท่านเชือก เหมือนคุณหนึ่งเธอเตรียมการไว้”
ไฉไลรีบไปที่หน้าต่างแล้วสาวเชือกขึ้นมาทำให้ปิ่นประดับรู้สึกคับแค้นแน่นอุรา
“คุณย่าคะ ได้กลิ่นอะไรไหมคะ”
ภัสรดายกมือปิดจมูก พลางเหลียวมองไปรอบห้อง ทำให้ทุกคนเริ่มได้กลิ่นขึ้นมา
“เหมือนเหล้านะคะ”
ไฉไลรีบสนับสนุนแล้วก็เริ่มมองสำรวจ
“คุณพ่อคะ คุณย่าดูนี่สิ”
ภัสรดาเปิดตู้เสื้อผ้าของหนึ่งธิดา
“อะไรกันน่ะ!”
ปิ่นประดับร้องถาม ทำให้ธามธรณ์หยิบขึ้นมาดู
“บุหรี่ เหล้าแล้วนี่ ยาคุมกำเนิดค่ะคุณท่าน”
ไฉไลสอดมือค้นภายในตู้ เมื่อปิ่นประดับได้เห็นก็ถึงกับเซถลาจนธามธรณ์ต้องรีบประคองเอาไว้
“อะไรกันนี่! เป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือหนึ่งธิดา!..”
ปิ่นประดับหันหลังเดินมาที่หน้าต่างมองดูร่องรอยที่หนึ่งธิดาโรยตัวลงไป
“ฉันเลี้ยงหลานได้เลวขนาดนี้ได้ยังไง”
“คุณแม่ครับ อย่าเสียใจนักเลยนะครับ วัยรุ่นก็แบบนี้ แต่ผมว่าไว้รอถามเจ้าตัวอีกทีดีกว่า”
“คุณพ่อคิดว่าหนึ่งธิดาจะยอมรับหรือคะ”
ภัสรดารีบพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ธามธรณ์มองหน้าหล่อนนิ่ง ภัสรดาจำต้องหุบปาก
“คุณย่าขา หนึ่งอาจจะเซไปบ้างตามวัยนะคะ แต่ภัสเชื่อว่าคุณย่าเลี้ยงหนึ่งมาอย่างดี อย่างน้อยภัสก็ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เพราะคุณย่าก็เลี้ยงภัสมาเหมือนกัน”
“แต่สายเลือดไม่เหมือนกัน ยัยหนึ่งมันมีสายเลือดใฝ่ต่ำ สายเลือดชั่วของนังแพศยาคนนั้น คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แม่ของมัน นังวีรภัทราเพราะมัน เพราะมันทำให้ฉันต้องเสียลูกชายของฉันไป เพราะแม่ของมัน นังแม่ชั่วคนนั้น”
ปิ่นประดับพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดแล้วมีอาการตัวสั่นด้วยความโกรธทำให้ธามธรณ์รีบเข้าไปกอดแม่แต่ภัสรดากลับลอบยิ้มก่อนจะถลาเข้าไปประคอง
“คุณแม่ครับใจเย็นนะครับ อย่าโกรธเลยนะครับแม่”
“คุณย่าขาอย่าโกรธเลยนะคะ ไปพักเถอะค่ะ”
ภัสรดาร้องบอกพร้อมช่วยพ่อพยุงย่า
“ให้คนไปรับคุณหมอมาดูอาการคุณย่าเร็วเข้าสิ”
ภัสรดารีบบอกไฉไลที่ทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
กันต์ธัสเลี้ยวรถออกจากรั้วคฤหาสน์ของปิ่นประดับก็มองหาหนึ่งธิดาตามเส้นทางที่เขาเห็นเธอวิ่งออกไป จนกระทั่งเขาขับรถเลยออกมาเกือบสุดทางเป็นช่วงทางแยกออกถนนใหญ่และเป็นทางลัดไปสู่ถนนอีกเส้นหนึ่ง จุดนั้นเขาได้เห็นหนึ่งธิดากระโดดซ้อนท้ายเอ็มวีออกุสต้ารถบิ๊กไบท์คันใหญ่ราคาเหยียบล้าน ไอ้หนุ่มผมยาวกัดสีแดงแบบพังก์ที่ทันสมัยไป ตามด้วยรถยี่ห้อเดียวกันแต่คละรุ่นคละแบบคละสีสัน
กันต์ธัสแอบขับรถตามไปเรื่อย ๆ โดยทิ้งระยะห่างพอสมควรเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต แต่เขารู้สึกขัดเคืองใจที่เห็นเธอกอดเอวไอ้หนุ่มผมแดงคนขับขี่อย่างแนบแน่นแสดงถึงความสนิทสนมไว้เนื้อเชื่อใจ
“ไปไหนนะ”
กันต์ธัสอดที่จะถามตนเองเสียไม่ได้ เพราะเขาขับตามมาตั้งนานแม้จะมีอุปสรรคตรงรถติดจนเกือบตามไม่ทัน แต่ด้วยฝีเท้าและสายตาที่เร็วของเขาจึงทำให้เขาสามารถตามทันได้ในเวลาต่อมาแม้จะเกือบคลาดกันในบางงครั้งก็ตาม
เวลาผ่านกลุ่มของหนึ่งธิดาชลอความเร็วเมื่อมาถึงย่านการค้าแห่งหนึ่งที่โด่งดังในขณะที่ผู้คนกำลังจอแจและบริเวณท้องถนนการจราจรก็เริ่มเป็นอัมพาต กลุ่มของหนึ่งธิดาก็จอดรถเรียงเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบ กันต์ธัสออออก็มองหาที่จอดรถที่พอจะมีเหลืออยู่ เขาไม่รอช้ารีบเหยียบคันเร่งแซงรถคันหนึ่งที่มีเป้าหมายจะไปจอดจุดนั้น แต่ก็ต้องหงุดหงิดเมื่อถูกกันต์ธัสแซงคว้าที่จอดได้อย่างสวยงาม
“ขอบคุณนะที่มา ผมยังไม่มีโอกาสพูดเลย”
เสกข์ ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปี เป็นนักดนตรี เขารักเสียงดนตรีมากและพร้อมจะปลดปล่อยได้ทุกเมื่อ เขาก้าวลงรถแล้วร่างของหนึ่งธิดาให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
“แต่หนึ่งก็ทำให้คุณและเพื่อน ๆ เสียเวลาไปมาก ถ้าไม่รอหนึ่งป่านนี้ก็คงได้แสดงกันแล้ว”
“ก็ยังไม่สายเกินไปนี่หนึ่ง ถ้าหนึ่งไม่มาสิพวกเราก็หมดสนุก มันคงเหมือนขาดอะไรไป งานนี้หนึ่งเด่นนะ”
เพื่อนร่วมวงยกมือแล้วพูดขึ้นทำให้เสกข์จับมือหนึ่งธิดาตรงไปยังเวทีเล็ก ๆ ที่มีกลุ่มเพื่อน ๆ มาจัดเตรียมไว้รอพร้อมด้วยเครื่องดนตรีที่ทุกคนถนัด
“อย่าเสียเวลาเลยพวกเรา เริ่มเลยดีกว่า”
เสกข์ร้องบอกเพื่อน ๆ แล้วหยิบเครื่องดนตรีที่ถนัดขึ้น ทำให้หนึ่งธิดาต้องก้าวขึ้นเวทีด้วยความประหม่าและตื่นเต้นเล็ก ๆ เพราะเป็นครั้งแรกของเธอ แม้ว่าจะไม่ใช่เวทีคอนเสิร์ตใหญ่แต่ผู้คนคับคั่งจริง ๆ และทันทีที่เสียงดนตรีเริ่มขยับเป็นท่วงทำนองแนวเพลงพังก์ร็อค ดนตรีโจ๊ะๆ มีเมโลดี้ และชวนโยกสุด ๆ แต่ก็ไม่ทิ้งความหนักหน่วงของดนตรีร็อค
หนึ่งธิดาเริ่มขยับร่างกาย แขน ขา หลังไหล่ไปตามท่วงทำนอง ก่อนจะเปล่งเสียงร้องที่น่าฟัง ท่อนแรกก็เป็นเหมือนแร็ฟง่าย ๆ แล้วมีการประสานเสียงเป็นคอรัสจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นตะโกน บ่นแฝงนัยยะการต่อต้านการกดขี่ของผู้ใหญ่ที่ทำตัวเหมือนคอมมิวนิสต์ ทั้งที่บอกว่าเป็นไทยเป็นประชาธิปไตย ซึ่งเรียกเสียงปรบมือให้กลุ่มวัยรุ่นที่พยายามต่อต้านการบังคับของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว
กันต์ธัสเดินปะปนกับผู้คนเพื่อเข้ามามองดูใกล้ ๆ เขาได้ยินน้ำเสียงของหนึ่งธิดา เธอจัดว่าเป็นคนที่น้ำเสียงที่มีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และเสียงเพลงที่เธอเปล่งออกมาเหมือนกับเธอได้ระบายความอัดอั้นตันใจที่อยู่ร่วมกับคนที่เป็นญาติแต่เหมือนคนแปลกหน้า
หนึ่งธิดานั้นในช่วงแรกเธอแทบจะไม่ได้ลืมตามองหน้าผู้คนเพราะรู้สึกประหม่าและยังตื่นเวทีอีกทั้งก็ยังรู้สึกขวยเขินและอายอยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับเสียงตอบที่ดีหลังจากที่เธอร้องเพลงแรกจบลงมีเสียงปรบมือและเงินจำนวนมากที่ถูกโยนใส่กล่องตรงหน้าเวทีเพื่อจะนำเงินนั้นไปบริจาคให้เด็กที่ยากไร้ในชนบท
ก็ทำให้เธอเริ่มสนุกและมีความสุข ที่เห็นคนปรบมือและบางคนก็เต้นไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเงินจำนวนนั้น เธอกับเสกข์และเพื่อในกลุ่มคิดกันว่าจะหาเงินที่มาจากการร้องเพลงเล่นดนตรีที่รักนี้ส่งมอบให้เด็กยากจนในชนบทโดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเงินของคนที่บ้านก็ทำให้เธอมีกำลังใจขึ้นที่จะสามารถหาเงินได้เอง