ตอนที่ 2
“แต่ใครจะรู้ว่ามีสันดานติดดินมากแค่ไหน ดีไม่ดีอาจจะมีสันดานที่ต้องขุดลงไปใต้ดินก็ได้ ฉันน่ะ แค่แต่งตัวติดดิน แต่สันดานไม่ลึกเหมือนคุณหรอกค่ะ”
แต่คำลงท้ายของหนึ่งธิดากลับทำให้ภัสรดาแทบอยากจะลุกมาตบปากเธอ ไม่ต่างกับคนอื่นมากนัก โดยเฉพาะปิ่นประดับถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วยกมือชี้หน้าหนึ่งธิดา
“หยุดกร้าวร้าวภัสรดาเดี๋ยวนี้นะยัยหนึ่ง เธอมันเทียบไม่ได้กับใครทั้งนั้น เพราะสายเลือดครึ่งหนึ่งของเธอมันใฝ่ต่ำ”
หนึ่งธิดากำมือแน่นเมื่อได้ยินคำพูดของย่า เธอตวัดสายตามามองหน้าภัสรดาที่อมยิ้มอยู่ในทีเมื่อเห็นปิ่นประดับร้อนรับแทน แม้จะยังขัดเคืองใจที่หนึ่งธิดาพูดจาไม่ดีกับตน แต่คนอย่างภัสรดาหรือจะยอมให้ผ่านง่าย ๆ เดี๋ยวก่อนเถอะ หล่อนจะต้องเอาคืนอย่างสาสม
“กลับขึ้นห้องไปเดี๋ยวนี้”
ปิ่นประดับร้องบอกพร้อมกับไปมองหน้าไฉไล หญิงวัยสามสิบซึ่งเป็นคนโปรดของภัสรดาที่รีบคลานเข้ามาใกล้เหมือนรู้ว่าปิ่นประดับกำลังต้องการหล่อน
“พาหนึ่งธิดาขึ้นไปแล้วล็อคประตูห้องไว้ห้ามให้ออกมาอย่างเด็ดขาด”
เมื่อปิ่นประดับพูดจบหนึ่งธิดาก็มองหน้าท่านทันที
“คุณย่าคะ หนึ่งมีนัดนะคะ คืนนี้มีนัดสำคัญด้วย มันสำคัญกับหนึ่งมากนะคะ”
หนึ่งธิดาร้องบอกแต่ไฉไลก็ไม่ฟังหล่อนจับแขนของเธอที่พยายามสะบัดสุดแรงแล้วถอยหนี
“มีใครอยู่บ้าง มาทางนี้”
ปิ่นประดับร้องเรียกคนงานชายที่ได้ยินแล้วก็รีบวิ่งขึ้นมา ช่วยกันจับหนึ่งธิดากลับขึ้นห้องแล้วขังไว้ตามคำสั่งในขณะที่ด้านล่างต่างก็นั่งเครียดกันส่วนกันต์ธัสนั้นเขารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกกับภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นและได้ยินนั้น
“ย่าต้องขอโทษพ่อด้วยนะ ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
ปิ่นประดับมองหน้ากันต์ธัสเมื่อทุกอย่างเงียบลงแล้วหลังจากที่ขังหนึ่งธิดาไว้ ปิ่นประดับก็ให้คนไปไล่บรรดาเพื่อน ๆ ของหนึ่งธิดาที่ขี่รถบิ๊กไบท์มารอบริเวณหน้าบ้านออกไป
“มีนัดไม่ใช่รึแม่ภัส”
ภัสรดาคลี่ยิ้มให้ปิ่นประดับก่อนจะหันมามองหน้ากันต์ธัส
“เดี๋ยวผมก็ต้องขอตัวกลับก่อนครับคุณย่า”
กันต์ธัสเอ่ยออกมาพร้อมกับมองหน้าปิ่นประดับ
“อย่าเพิ่งเลยนะพ่อ ย่ารู้ว่าพ่อคงอึดอัด แต่ย่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย พ่อตามย่ามา”
ปิ่นประดับพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องโถง ทำให้กันต์ธัสไม่อาจจะขัดได้จึงรีบตามไป
“น่าเจ็บใจนักนะคะพ่อ ยัยหนึ่งไม่น่าอาละวาดเลย ไม่เกรงใจคุณธัสเลย น่าเกลียดที่สุด”
ภัสรดาพูดขึ้นอย่างหัวเสียเมื่อคล้อยหลังกันต์ธัส
“เราก็อย่าไปขุด ไม่ถากน้องนักเลย แกน่าสงสารออก ขาดทั้งพ่อขาดทั้งแม่”
ภัสรดามองหน้าพ่อนิ่ง
“พ่อคะ!”
ภัสราดาลุกขึ้นยืนพร้อมกับตวัดสายตามองหน้าพ่ออย่างไม่พอใจ
“ที่มันด่าภัสต่อหน้าคุณย่า ต่อหน้าคุณพ่อ มันไม่เกียรติคุณพ่อเลยนะคะ นี่ขนาดคุณพ่อของภัสนั่งอยู่มันยังกล้า คุณพ่อไม่รู้สึกเหมือนโดนมันตบหน้าหรือคะ”
ธามธรณ์มองหน้าหล่อนก่อนจะลุกขึ้นยืน
“พ่อต้องขอโทษหนูมั้ยลูก ที่คำพูดของพ่อทำให้หนูแสดงพฤติกรรมแบบนี้กับพ่อ”
ภัสรดารีบก้มหน้าหลุบเปลือกตาลงต่ำแทบทันที
“ขอโทษค่ะพ่อ ภัสโมโห เพราะภัสถูกมันด่าแต่คุณพ่อยังเมตตามัน”
ภัสรดาเน้นคำพูดและน้ำเสียงโดยไม่มองหน้าพ่อ
“ลูกไม้ เมื่อมันตกจากต้น ต่อให้เราไม่หยิบไปปลูกมันก็ต้องเจริญเติบโตด้วยวิถีธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราหยิบมันไปจนไกลต้นแล้วไม่ปลูกลงดินมิหนำซ้ำยังทิ้งให้ตากแดดตากลม แน่นอนถ้ามันแข็งแรงพอก็จะสามารถเจริญเติบโต แต่คงไม่สมบูรณ์นัก”
ธามธรณ์ระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ
“หนึ่งธิดาเหมือนลูกไม้ที่ถูกพรากจากต้นแล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ เธอจึงเติบโตมาอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ พ่อที่อยู่ในฐานะลุงก็อดที่จะสงสารหลานไม่ได้”
ธามธรณ์พูดจบก็มองหน้าลูกสาวคนเดียวของเขานิ่งก่อนจะหันหลังจากไปทิ้งไว้แต่เพียงความไม่พอใจของภัสรดาที่มองตามพ่อไปอย่างขุ่นเคืองก่อนจะมองไปยังห้องนั่งเล่นที่ปิ่นประดับให้กันต์ธัสเข้าไปคุยตามลำพัง หล่อนนั้นใคร่รู้นักว่าปิ่นประดับมีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว
ประตูห้องที่ถูกล็อคจากด้านนอกถูกเปิดกว้าง ภัสรดาก้าวเข้าไปตามด้วยไฉไลคนสนิท ทำให้หนึ่งธิดาที่เห็นต้องกำมือแน่นเมื่อเห็นบุคคลที่เดินเฉิดฉายเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มเยาะ
“ป่านนี้ไอ้หนุ่มพังค์ผมแดงขี่รถบิ๊กไบท์คันใหญ่คงจะกำลังตั้งตารอคอยเธอ แม่สาวน้อยที่เหมือนตุ๊กตาไขลาน สวยงาม น่าถนอมด้วยใจจดจ่อจนแทบอยากจะกระโจนข้ามรั้วเข้ามา”
ภัสรดาพูดจบก็เดินเฉียดไปที่หน้าต่าง พร้อมกับผลักระจกให้เปิดกว้างแล้วมองลงไปด้านล่างเป็นบริเวณสวนที่ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ประดับเอาไว้
“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันจะไม่ยอมถูกขังลืมแบบนี้หรอก ลองได้คุณย่าโกรธถึงขนาดสั่งขังเธอแบบนี้ รอไปเถอะ ว่าคุณย่าจะยอมปล่อยเธอง่าย ๆ”
ภัสรดายิ้มหยันเมื่อเดินเฉียดมาหยุดยืนเสมอหนึ่งธิดาแต่หันตรงข้ามกัน
“ฉันน่ะ ถึงยังไงก็เป็นพี่ของเธอ ฉันทนเห็นน้องสาวคนเดียวของฉันทรมานเพราะความคิดถึงชายคนรักไม่ได้หรอกนะ”
ภัสรดาพูดจบก็มองหน้าไฉไลที่โยนเชือกเส้นใหญ่ไปบนพื้น ก่อนจะหลีกทางเมื่อภัสรดาก้าวไปที่ประตู
“ตอนนี้คุณย่าอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ท่านคงยังต้องคุยธุระอีกนาน”
ภัสรดาพูดจบก็เดินผ่านประตูออกไปโดยมีไฉไลเป็นผู้ล็อคประตู เหลือเพียงความหวังที่ภัสรดาหว่านแหเอาไว้ ถ้าโชคดีปลาคงโง่ติดแหของเจ้าหล่อน
และด้วยโทสะและความหวังทำให้หนึ่งธิดายอมเป็นปลาที่ติดร่างแหของภัสรดา ด้วยการโยนเชือกลงพื้น ด้านหนึ่งมัดติดกับขาเตียงไว้แล้วโรยตัวลงไปยังด้านล่างก่อนจะลัดเลาะหลบออกไปทางประตูเล็ก ท่ามกลางสายตาของกันต์ธัสที่เตรียมจะกลับพอดี เขาทันได้เห็นเธอโรยตัวมาแล้ววิ่งออกไป
และทันทีที่หนึ่งธิดากระโดดลงจากหน้าต่างห้อง ไฉไลก็รีบมาบอกภัสรดาทันที เมื่อนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่ภัสรดาเตรียมไว้ก็ถูกนำไปไว้ในห้องของหนึ่งธิดา หลังจากนั้นไฉไลก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบลงไปหาปิ่นประดับตามแผนการของภัสรดา
“คุณท่านคะ แย่แล้วค่ะ”
ไฉไลวิ่งหน้าตื่นลงไป
“อิฉันจะนำอาหารไปให้คุณหนึ่ง แต่ว่า..แต่”
ไฉไลทำท่าอ้ำอึ้งละล่ำละลัก
“อะไรล่ะไฉไลพูดมาสิ”