ตอนที่ 1 ไม้ซีกงัดไม่ซุง
สปอร์ตเคย์แมนสีดำมันวาวจอดอยู่ยังลานจอดรถของคฤหาสน์หลังงามราคากว่าสี่สิบล้านใจกลางกรุงบนเนื้อที่กว่าสามไร่ ปิ่นประดับ ผู้เป็นประมุขของบ้านคนปัจจุบันมีอาชีพที่สืบทอดมาจากรุ่นบรรพบุรุษคือบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์จากยางพาราและได้ให้ธามธรณ์ ลูกชายคนโตอายุห้าสิบกว่าปีรับช่วงกิจการ
กันต์ธัส เจ้าของรถสปอร์ตเคย์แมนคันหรู มหาเศรษฐีภาคใต้ ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทที่ทำธุรกิจ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตสวนเกษตร เช่น น้ำมันปาล์ม มีแปลงปลูกปาล์มน้ำมันกระจายอยู่หลายพื้นที่ในภาคใต้ โดยมีพื้นที่ในการปลูกรวม 2 พันกว่าไร่รวมทั้งเนื้อที่ปลูกยางพารากว่า 3 พันไร่ เขาจึงคุ้นเคยกับปิ่นประดับและธามธรณ์เพราะติดต่อค้าขายกันมายาวนานตั้งแต่สมัยรุ่นปู่รุ่นย่าของเขา
“ไหว้พระเถอะพ่อ”
ปิ่นประดับหญิงชราวัยกว่าเจ็ดสิบยกมือรับไหว้กันต์ธัสชายหนุ่มวัยสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่กว่าร้อยแปดสิบเซนฯเจ้าดวงใบหน้าสี่เหลี่ยมได้รูป ดวงตาคมกล้า จมูกโด่งเป็นสันสวยงามรับกับริมฝีปากได้รูป เขาดูเข้มคมสง่าแต่ที่สะดุดตาก็เห็นจะเป็นที่ผิวสีแทนและเรือนผมยาวถึงกลางหลังที่รวบมัดเป็นหางม้าเปิดใบหน้าคร้ามคมขรึมให้ดูกระจ่างและประดับด้วยหนวดเคราบาง ๆ ส่งให้เขาดูเข้มคมมากขึ้น
ปิ่นประดับมองเขาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี เมื่อเขาเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อากัปกิริยาที่ดูตรงข้ามกับการแต่งกายและบุคลิกที่ดูภายนอกเหมือนคนบ้านนอก สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายไม่เน้นยี่ห้อหรือแบรนด์ดัง
“จะมาพักที่กรุงเทพฯสักกี่วันหรือจ๊ะ”
ปิ่นประดับเอ่ยถามพอดีกับธามธรณ์เดินเข้ามาสมทบ
“อาไม่ให้รีบกลับหรอกนะ ตั้งนานกว่าธัสจะว่างลงมา”
ธามธรณ์ตบไหล่เขาหนัก ๆ ก่อนจะลงใกล้ ๆ เขาที่ยิ้มรับ
“ก็คงจะหลายวันครับ”
“ดีเลยถ้างั้นก็มาทานอาหารกับย่าบ่อย ๆ นะจ๊ะ”
ปิ่นประดับรีบเสริม
“ได้ครับ ผมจะมารบกวนคุณย่าทุกวันเลย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังกังวานขึ้นพร้อมใบหน้าที่ฉาบทาด้วยรอยยิ้มอย่างน่ามอง แม้ว่ากันต์ธัสจะมีส่วนประกอบของใบหน้าที่ดูคมเข้มจนเหมือนเป็นคนดุดันตามสไตล์ของหนุ่มปักษ์ใต้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขายิ้ม โลกทั้งใบจะสว่างสดใสขึ้นมาทันทีเพราะเขาเป็นผู้ชายที่ยิ้มสวยมาก ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็จะต้องเผลอมองไม่เว้นแม้แต่ชายด้วยกัน แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะได้เห็นเขายิ้ม
“พี่ธัสขา”
เสียงเรียกที่ดัดจนหวานของภัสรดาหญิงสาววัยยี่สิบหกปีดังมาแต่ไกลเมื่อเจ้าหล่อนเดินเฉิดฉายลงมาจากห้องด้วยเครื่องแต่งกายที่ทันสมัยล้ำด้วยแบรนด์หรูติดเทรน
“มานานแล้วหรือคะ”
ภัสรดาถลาเข้ามานั่งลงใกล้ ๆ เขา แม้ว่าเจ้าหล่อนจะระมัดระวังกิริยามารยาทอย่างดี แต่ก็อดลิงโลดใจเสียไม่ได้ที่ได้เห็นเขา ผู้ชายที่ทรงพลังเจ้าเสน่ห์ที่หล่อนคลั่งไคล้และมีความปรารถนาซ่อนอยู่ลึก ๆ ว่าอยากจะได้เป็นภรรยาของเขา หลังจากที่เขาได้หย่าขาดจากภรรยาคนก่อนเมื่อสามปีที่แล้ว หล่อนก็เฝ้าทำคะแนนเรื่อยมา
“สักครู่ครับ คุณภัสจะไปข้างนอกหรือครับ”
ภัสรดายิ้มหวาน พลางชำเลืองสายตาไปมองหน้าปิ่นประดับ
“มีนัดทานอาหารกับลูกค้าของบริษัทค่ะ”
ภัสรดาเตรียมจะหยอดคำหวานว่า หล่อนสามารถยกเลิกนัดได้ตลอดเวลาขอเพียงให้หล่อนได้อยู่กับเขา แต่ก็ทำได้เพียงแค่คิด เมื่อหนึ่งธิดา หญิงสาววัยยี่สิบปีที่สวยพราว เรือนร่างเล็กบางอรชรอ้อนแอ้นดูน่าถนอม เรือนผมยาวสยายเป็นสีทองเธอสวมเสื้อยืดลายขวางสีเขียวตัดขาวกับกางเกงยีนส์สีดำสไลด์ขาดเป็นช่วง ๆ โชว์ผิวขาที่ขาวผุดผ่องแล้วรัดรึงอวดช่วงขาที่ยาวเรียวไร้ไขมันส่วนเกินรวมถึงสะโพกกลมมนกลมกลึงเหมาะเจาะได้สัดส่วนกับความสูงร้อยหกสิบเซนฯเดินลงมาจากด้านบน
เธอถือแจ็คเก็ตหนังสีดำกับรองเท้าบูทครึ่งแข้งลงมาแล้วเตรียมจะเดินเลยออกไปยังประตูโดยไม่คิดจะสนใจบุคคลที่อยู่ยังห้องโถงใหญ่ของบ้าน หลังจากที่เธอได้เห็นแล้วว่าใครที่นั่งเป็นแขกคนสำคัญอยู่ตรงนั้น ผู้ชายหน้าเข้มตาคมเวลาเขาตวัดสายตามองเธอราวกับคมมีดของหมอผ่าตัดที่พร้อมจะเชือดเฉือนเธอให้ขาดวิ่นในชั่วพริบตา
เธอบอกตนเองว่าไม่ชอบสายตาของพ่อหม้ายหนุ่มแดนเถื่อนคนนี้ และทุกครั้งที่เขามา เธอจะต้องมีเหตุได้พบกับเขาแบบเลี่ยงไม่ได้ทุกครั้งซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบเอาเสียเลย
“จะออกไปไหนหนึ่งธิดา”
ปิ่นประดับอดทนไม่ไหวที่เป็นกิริยาที่แสร้งทำเป็นไม่เห็นของหลานสาวคนเล็ก จึงร้องเรียกด้วยเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ ทำให้หนึ่งธิดาจำต้องหยุดแล้วหันไปหา ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยืนก้มหน้าเป็นจุดเด่นให้ทุกคนได้มองรวมทั้งกันต์ธัสด้วย
“นี่ก็ค่ำแล้ว จะไปไหนอีก”
ปิ่นประดับถามแต่หนึ่งธิดาก็ระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ อย่างติดรำคาญทำให้ภัสรดาชำเลืองสายตามามองพร้อมกับสยายยิ้มออกมา
“ไหว้คุณกันต์ธัสซะสิจ๊ะ”
ปิ่นประดับบอกเธอที่ยังคงเชิดหน้านิ่งราวกับไม่ได้ยิน
“น้องสาวคนสวยของพี่แต่งตัวติดดินดีจังเลยนะจ๊ะ เหมาะสมกับพ่อหนุ่มพังค์ที่ขับรถบิ๊กไบท์คันใหญ่นั่นดี แต่ดูเหมือนเขาจะมารอนานแล้วนะจ๊ะ พี่ว่าน่าจะเชิญเขาเข้ามาด้านในให้รู้จักกับคุณย่า ดีกว่าแอบลักลอบคบกัน”
ภัสรดาพูดจาเหมือนชมและเอ็นดู แต่แอบจิกกัดดูแคลนทิ้งท้าย ทำให้หนึ่งธิดาฝืนยิ้มแล้วหันไปมองหน้าภัสรดาตรง ๆ ซึ่งเจ้าหล่อนก็เอียงคอมองหน้าเธอราวกับเอ็นดูเสียนักหนา
“ขอบคุณค่ะคุณภัสรดาคนสวย ฉันคงไม่อาจจะเทียบคุณได้หรอกค่ะคุณนั้นแต่งตัวสูงส่งดูสง่าภูมิฐาน”
เมื่อหนึ่งธิดาพูดอย่างนั้นทำให้ภัสรดาเลิกคิ้วแล้วเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางอมยิ้มอย่างพึงพอใจ