ตอนที่ 3 สูญเสียและเริ่มต้น
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
วันนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน หนุ่มร่างสูงผิวพรรณสะอาดตาอยู่ในชุดกางเกงยีนส์ เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อน พร้อมด้วยแว่นตาสีชาที่ปกปิดดวงตาของเขาเอาไว้ โดยข้างกายของเขามีหญิงสาวสวยในชุดแซกเกาะอกสีส้ม ยืนเคียงข้างกันไม่ห่าง ใบหน้าเนียนที่เติมแต่งด้วยเครื่องสำอางค์ราคาแพง ส่งเสริมให้ทั้งคู่ดูโดดเด่นในสายตาของผู้คนที่เดินแวะเวียนไปมาบริเวณสนามบินยิ่งนัก ทั้งสองกลายเป็นเป้าสายตาของผู้คนทันที บวกกับความโด่งดังในเรื่องบริษัทของบิดายิ่งทำให้นักข่าวที่มารอทำข่าวการมาเยือนของนักการเมืองหันเหความสนใจมาที่ชายหนุ่มแทนผู้นี้แทน ธานต์เมธา อริราชย์ไพศาล ทายาทนักธุรกิจอันดับต้นของเมืองไทย เสียงฮือฮาของผู้คนทำให้หญิงสาวที่เคียงข้างกายของเขา เชิดหน้าขึ้น พยายามโพสท่าให้ตากล้องถ่ายรูปด้วยความยินดี ผิดกับชายหนุ่มที่กำลังหัวเสียอย่างที่สุด
“พอเถอะนภา เราไปกันเถอะ!” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้น
“แหม... ธานต์จะรีบไปไหนคะ คนขับรถยังไม่มาเลย”
ธานต์เมธายังคงยืนนิ่ง เพื่อให้คู่หมั้นโพสท์ท่าให้ตากล้องอย่างเต็มที่ เมื่อวานเขาได้รับโทรศัพท์จากบิดา กับข่าวร้ายว่าต้องการตัดลูกตัวเองออกจากกองมรดก เพียงเพราะต้องการให้กลับบ้าน เขาแปลกใจปกติบิดาไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ ไม่ว่าเขาทำอะไรก็ตามพ่อไม่เคยเข้ามาวุ่นวาย อยู่ๆ มาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้มันน่าสงสัย
ยิ่งคำยืนยันจากบิดาบอกกับเขาไม่ให้เอาคู่หมั้นที่ชายหนุ่มเรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็นคู่หมั้นอย่างแท้จริง เพียงเพราะบิดาไม่ยอมให้มีการหมั้นนี้เกิดขึ้น แต่เขาดึงดันจะหมั้นหมาย เมื่อรักปักใจก็คงไม่มีใครจะห้ามความคิดเขาได้ ในเมื่อเวลานี้อายุอานามไม่ใช้น้อย ถ้าหากต้องการมีใครสักคนมาเป็นที่พักพิงใจบ้าง หรือคอยเอาอกเอาใจบางจะเป็นไรไป ใครจะว่าเขายังหนุ่มอยู่นั้น สำหรับธานต์เมธาแล้วไม่คิดเช่นนั้น นภาลักษณ์เป็นเหมือนดังน้ำที่คอยดับเชื้อไฟที่ลุกโชน ถึงแม้ว่าเขาเองจะไม่ใช้ผู้ชายคนแรกของหล่อน แต่เต็มใจที่จะแต่งงานกับหล่อน เพราะนภาลักษณ์ให้ความสุขได้ไม่เคยจืดจาง ผู้หญิงมันก็ต้องมีบางที่เคยผิดพลาด แค่เพียงในเวลานี้หล่อนมีเขาเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว
“คุณธานต์ครับ เชิญทางนี้ครับ” ธานต์เมธาหันไปตามเสียงเรียกพบลุงเสมอคนขับรถที่บ้านมารับเขา
ธานต์เมธาและคู่หมั้นเดินตามคนขับรถ ราวหนึ่งชั่วโมงรถแล่นเข้าสู่รั้วบ้าน เขาลงจากรถเข้าด้านในพร้อมคู่หมั้น จังหวะเดียวกันบอดี้การ์ดบิดามาเชิญเขาไปยังห้องรับแขก เขาก้าวตามอย่างไม่สบอารณ์เท่าใดนัก มาถึงที่เห็นบิดานั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ คนเป็นลูกหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวยาวตามด้วยคู่หมั้นสาว นภาลักษณ์ยกเรียวขาไขว่ห้างอย่างไม่อาย ไม่ว่าอะไรมันจะวับๆ แวมๆ ให้เห็นก็ตาม
“พ่อมีอะไรกับผมหรือครับ?” ชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาทันที
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับแก พาแฟนแกออกไปให้พ้นๆ หน้าฉันก่อนไป!” ธานุภาพบอกพลางเหยียดริมฝีปากและเหลือบมองกิริยามารยาทที่น่าทุเรศด้วยความไม่พอใจ
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ นภาเป็นคู่หมั้นผม เขามีสิทธิ์จะรู้ธุระของพ่อ พ่อพูดแบบนี้มันไม่ให้เกียรตินภานะครับ”
“แล้วทำไมฉันต้องให้เกียรติผู้หญิงของแกด้วยเจ้าธานต์!”
“หนอยแน่ะไอ้แก่ รอให้ฉันได้แต่งงานกับลูกชายแกก่อนเถอะ!” นภาลักษณ์นึกในใจก่อนจะเชิดหน้าขึ้น
“พอเถอะครับ มีอะไรจะพูดกับผมก็ว่ามาเถอะครับ ยังไงนภากับผมก็คือคนๆ เดียวกัน พ่อพูดมาได้เลยครับผมไม่มีอะไรปิดบังนภาอยู่แล้ว”
“งั้นหรือ? แกแน่ใจนะเจ้าธานต์ ว่าแกจะให้ฉันพูดเรื่องนี้ให้ผู้หญิงของแกได้ยิน!” ธานุภาพย้ำ
“แน่ใจครับ พ่อพูดมาได้เลย”
“’งั้นก็ตามใจแกก็แล้วกันเจ้าธานต์!” เสียงของธานุภาพยังคงเน้นย้ำคำเดิมอยู่เช่นเคย
“พ่อว่าธุระของพ่อมาเลยครับ”
“แกต้องแต่งงาน”
“อะไรนะพ่อ พ่อจะให้ผมแต่งงานเหรอ” เขาย้อนถามสีหน้าตื่นตระหนก
แขกไม่ได้รับเชิญยกยิ้ม เมื่อคิดว่าตนอาจได้เป็นสะใภ้บ้านนี้ เงินทองคงมีใช้ไม่ขาดมือ แทบสามียังหล่อเหลาราวพระเอกหนัง แค่หล่อนเป็นคู่หมั้นคนยังอิจฉาถึงเพียงนี้ หากเป็นภรรยาแล้ว คงไม่ต้องพูดถึง
“นภาเกรงใจจังเลยค่ะ นภาคิดว่าคุณพ่อไม่ชอบนภาเสียอีก ขอบคุณมากนะคะสำหรับงานแต่ง นภายินดีมากเลยล่ะค่ะ” หล่อนยิ้มกว้าง แล้วหันมองคู่หมั้น
“อะไรครับพ่อ ทำไมมันรวดเร็วแบบนี้” เขาหันไปทางคู่หมั้น “ผมยังไม่พร้อมหรอกนภา”
ธานุภาพมองคู่หมั้นบุตรชายแล้วยิ้มเหยียด ผู้หญิงแบบนี้เขาไม่เอามาทำสะใภ้หรอก แค่มองผาดๆ ก็รู้ว่าเป็นยังไง
“แกคิดว่าฉันจะให้แกแต่งกับแม่นภานี่นะเหรอ”
นภาลักษณ์หน้าตื่น “อะไรนะคะ ถ้าไม่ให้แต่งกับนภาแล้วจะให้แต่งกับใคร!”
“มันใช่เรื่องที่เธอจะต้องสอดรู้หรือไง” ธานุภาพให้ไปตำหนิ