บทที่ 7
“ว่ายังไง ตกลงหรือเปล่า”
จันทร์เจ้ามองคนหน้าตายด้วยสายตาขุ่นเคือง เธอได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปมา ในขณะเดียวกันสมองของเธอก็ขบคิดอย่างหนัก
“ถ้ายังไม่ตกลงจะกลับไปคิดก่อนก็ได้นะ ผมไม่รีบ” ผู้ชายตรงหน้าเธอพูดออกมาอย่างสบายใจ ในขณะที่เธอนั้นร้อนรนเพราะเป็นห่วงเพื่อนอย่างเห็นได้ชัด
“เอ่อ... คุณชลคะ” ในขณะที่ฟองคลื่นจะพูดอะไรบางอย่างก็ต้องหุบปากลงเมื่อเจอสายตาคมกริบมองมา จันทร์เจ้าเห็นแบบนั้นก็ไม่พอใจเธอจ้องเขากลับอย่างเอาเรื่องราวกับงูพิษที่พร้อมจะฉกเขาตลอดเวลา ในสายตาของชลธีแล้วเธอช่าง น่าเอ็นดู...
“คิดดูดี ๆ นะ เพราะผมไม่ได้เดือดร้อน แต่ถ้าคุณไม่ตกลงก็แค่ทำตามกฎระเบียบมาตรการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ทางที่ดีคุณจะแจ้งความก็ได้นะ แต่ถ้าให้ดีผมแนะนำให้คุณทำตามข้อตกลงของผมดีกว่า เร็วกว่าเยอะ”
“ฉันขอเวลาคิดก่อน ขอตัว” พูดจบจันทร์เจ้าก็คว้ามือฟองคลื่นมากุมไว้แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ชลธีมองตามแผ่นหลังของเธอไปจนสุดสายตาก่อนจะหลุดยิ้มออกมา สายตาแสดงออกถึงความพอใจและถูกใจอย่างสุดซึ้ง
“เอ่อ... คุณชลธีครับ”
“มีอะไรก็ไปทำเถอะ เดี๋ยวผมจะไปดูกล้องวงจรปิดสักหน่อย อ้อเรียกพนักงานที่ทำงานเมื่อคืนมาพบผมด้วย” ชลธีพูดกับผู้จัดการร้านแล้วจึงเดินออกไป มุ่งหน้าไปยังห้องรักษาความปลอดภัยทันที
“เหอะ! ไอ้บ้านั่นคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไง ถึงได้คิดข้อตกลงบ้า ๆ แบบนั้นออกมา” เดินออกมาจากพื้นที่บาร์ไม่ไกลเท่าไหร่ จันทร์เจ้าก็โวยวายออกมาด้วยความหงุดหงิด ส่วนฟองคลื่นก็มองมายังรุ่นพี่สาวด้วยความเห็นใจ
ฟองคลื่นไม่รู้ว่าจันทร์เจ้ากับชลธีไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่หรือตอนไหน และเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนั้นบ้าง ทว่าการที่ชลธีหุ้นส่วนของพ่อเธอมีปฏิกิริยาต่อรุ่นพี่สาวแบบนั้น มันก็น่าสงสัยอยู่
ที่สำคัญเดิมทีชลธีมีนิสัยรักอิสระไม่ชอบความวุ่นวาย หากเรื่องนั้นไม่หนักหนาสาหัสจริง ๆ เขาแทบจะไม่ยื่นมือเข้ายุ่ง ยิ่งถ้าหากว่าเรื่องไหนเป็นตัวของฟองคลื่นออกหน้าเองแล้วละก็ ชายหนุ่มแทบจะหลีกทางให้ทันที ทั้งยังอำนวยความสะดวกให้อีกด้วย
ทว่าครั้งนี้กลับต่างไป คนที่ไม่ชอบความวุ่นวายอย่างเขา ยื่นข้อเสนอและข้อตกลงมาให้จันทร์เจ้าแบบนี้มันชักจะยังไง ๆ อยู่นา... คิดอีกกี่รอบฟองคลื่นก็ไม่เข้าใจ หรือว่า!
“อะไร มองหน้าพี่แบบนี้หมายความว่าไง” จันทร์เจ้าที่รับรู้ถึงสายตาที่มองมาจึงได้หันไปมองก็พบว่าฟองคลื่นมองมาที่เธออยู่ ทั้งสายตายังเต็มไปด้วยความสงสัยและแปลกใจ
“เปล่าค่ะ ฟองแค่สงสัยว่าพี่จันทร์ไปทำอะไรให้คุณชลไม่พอใจหรือเปล่า ปกติคุณชลจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเวลาฟองออกหน้าทำอะไรนี่นา”
“เหอะ ฟอง... คนนิสัยแบบนั้นอะนะ ต่อให้พี่ไม่ได้ทำอะไรให้ เขาก็อยากแกล้งพี่อยู่ดีนั่นแหละ ตามประสาคนไม่ชอบหน้ากัน” ได้ยินคำตอบของรุ่นพี่สาวฟองคลื่นก็ยิ่งแปลกใจ จันทร์เจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักกันแต่เลือกตอบว่าไม่ชอบหน้ากันแทน นี่หมายความว่าระหว่างคนสองคนต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
หากพิจารณาจากสายตาและปฏิกิริยาของชลธีที่มีต่อจันทร์เจ้าแล้ว มันไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเขาไม่ได้ชอบรุ่นพี่ของเธอ แต่มันเป็นสายตาที่มากกว่านั้น เป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความสนุกและ ถูกใจ...
“เอาเป็นว่ายังไงก็ตาม พี่จันทร์ต้องระวังคุณชลไว้หน่อยนะคะ ทางที่ดีอย่าพยายามทำอะไรที่ขัดหูขัดตาเขาเลยค่ะ ฟองแนะนำว่าหากต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ก็ต้องเป็นคุณชลนี่แหละ เห็นแบบนั้นอำนาจในมือเขาเยอะนะคะ ทั้งยังเป็นคนกว้างขวาง ขนาดตำรวจในท้องที่ยังเกรงใจเขาเลย”
จันทร์เจ้าไม่ตอบเธอเพียงชักสีหน้าไม่พอใจเท่านั้นหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของรุ่นน้องสาว
“ฟองต้องกลับแล้วค่ะ คงไม่ได้อยู่ช่วยพี่จันทร์แล้ว แต่ถ้าหากมีอะไรสามารถโทรหาฟองได้ทุกเมื่อเลยนะคะ ฟองขอตัวก่อนนะคะ บ้ายบายค่ะ”
“อืม ขอบคุณนะฟอง”
จันทร์เจ้ามองแผ่นหลังของรุ่นน้องสาวที่เดินห่างออกไปไกลด้วยสายตาอ่านยาก ในขณะเดียวกันตัวเธอกลับไม่ขยับไปไหน ยังคงยืนนิ่งอยู่บริเวณนั้นเท่านั้น
“เฮ้อ!.. แกอยู่ที่ไหนวะไอ้ดาว” จันทร์เจ้าพูดกับตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งยังจุดชมวิวริมชายหาด เพื่อที่จะได้ขบคิดกับตัวเองอีกครั้งว่าควรทำอย่างไรต่อไปดี
สายลมพัดหวิวเส้นผมปลิวไสว สุดสายตาของหญิงสาวมองออกไปไกล เห็นเพียงแสงแดดที่กระทบกับน้ำทะเลระยิบตา สายน้ำกระเซ็นแซ่ คลื่นทะเลกระทบฝั่ง หนึ่งหญิงสาวนั่งอยู่ตรงนั้น กลายเป็นภาพงดงามตา
ภาพที่จันทร์เจ้านั่งเหม่อมองท้องทะเลอันกว้างใหญ่ พร้อมกับจิบน้ำมะพร้าว กลายเป็นภาพที่ใครหลายคนต้องหยุดชมเมื่อเดินผ่าน เจ้าของใบหน้าสวยแต่สายตากลับจมอยู่ในภวังค์ความคิดจนคนภายนอกที่เห็นนั้นต่างอยากเข้ามาแบ่งเบาและรับฟังความกลัดกลุ้มที่อยู่ในดวงตาของเธอทั้งสิ้น ติดก็แต่เจ้าตัวไม่รับแขก ไม่ว่าจะมีกี่คนที่เข้ามาทัก หากไม่เจอใบหน้าเย็นชาสายตารำคาญก็ล้วนได้รับถ้อยคำปฏิเสธแสนเจ็บแสบกลับไปแทน เหตุการณ์นี้คล้าย ๆ ตอนที่เธอนั่งอยู่ในบีชบาร์เลยทีเดียว หากจะต่างก็ต่างแค่สถานที่และเวลาเท่านั้น
“เฮ้อ!”
เสียงทอดถอนใจดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตอนนี้จันทร์เจ้าคิดถึงความเป็นไปของปลาดาวหัวแทบระเบิด แต่ไม่ว่าจะคิดแบบไหนความคิดของเธอก็ใช้ไม่ได้เลย สุดท้ายเธอก็คิดถึงคำพูดของฟองคลื่นที่ได้ย้ำบอกกับเธอไว้ก่อนจาก
‘เอาเป็นว่ายังไงก็ตาม พี่จันทร์ต้องระวังคุณชลไว้หน่อยนะคะ ทางที่ดีอย่าพยายามทำอะไรที่ขัดหูขัดตาเขาเลยค่ะ ฟองแนะนำว่าหากต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน ก็ต้องเป็นคุณชลนี่แหละ เห็นแบบนั้นอำนาจในมือเขาเยอะนะคะ ขนาดตำรวจในท้องที่ยังเกรงใจเขาเลย’
“คนมีอำนาจ ตำรวจยังต้องเกรงใจ...” จันทร์เจ้าทวนคำพูดประโยคนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะหวนนึกไปถึงถึงข้อตกลงที่ชลธีเสนอกับเธอไว้อีกครั้ง
‘ข้อตกลงที่ว่า คุณต้องยอมทำตามคำสั่งผมทุกอย่าง หากจะให้เข้าใจง่ายคงต้องพูดว่าเบ๊! ถ้าคุณตกลงผมจะให้คุณดูกล้องวงจรปิดทันที ทั้งยังจะช่วยสืบให้ด้วย แต่ถ้าไม่ตกลงคุณก็ยื่นเรื่องหรือไม่ก็แจ้งความได้เลย แต่บอกเลยนะว่าวิธีพวกนั้นคงใช้ระยะเวลานานหน่อย’
หวนคิดถึงข้อตกลงที่ถูกผู้ชายอย่างชลธีเสนอมาแล้ว ใบหน้าของจันทร์เจ้าก็หงิกงอด้วยความไม่ชอบใจ ทั้งยังรู้สึกขัดใจ อย่าลืมนะว่าตัวเธอเองก็เป็นคนรักอิสระไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร แล้วนี่ให้เธอไปเป็นเบ๊? คิดหรือว่าเธอจะยอม บ้าไปแล้ว!