ตอนที่ 4 ชาติกำเนิด
วันนี้เป็นวันหยุดของโยเชฟเขาจึงกลับมาพักที่บ้าน “ท่านแม่ข้ากลับมาแล้ว ท่านแม่” ชายหนุ่มตะโกนเรียกแต่ก็เงียบ ปรกติมารดาของเขาจะออกมานั่งถักเชือกที่หน้าบ้าน คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากัน ใจของเขาเต้นแรงรีบวิ่งเข้าไปดูในบ้าน เขาวิ่งไปดูทุกห้องที่มีจนกระทั่งมาเจอมารดานอนฟุบอยู่ที่พื้นห้อง เนื้อตัวของเขาชาจนแทบจะขยับไม่ได้
“แม่!” เขาตะโกนสุดเสียงแล้ววิ่งเข้าไปประคองมารดา เทเรซ่าค่อยๆลืมตาขึ้น “โยเชฟหรือลูก” ชายหนุ่มพยักหน้า “ข้าเองแม่ ข้าจะพาไปหาหมอนะ” เขาอุ้มมารดาขึ้นมาแต่เทเรซ่าดึงแขนเขาไว้
“อย่าเสียเวลาเลยลูก แม่ไม่รอดหรอก” หญิงสูงวัยรู้ชะตากรรมของตนเองดีเพราะโรคร้ายที่เธอเป็นไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว และเธอเองก็เหลือเวลาอีกไม่นาน “พาแม่ไปที่เตียงเถอะ แม่มีเรื่องจะบอกเจ้า” โยเชฟทำท่าลังเล “แต่ว่า..แม่ควรไปหาหมอ”
“ไม่... โรคที่แม่เป็นมันรักษาไม่หายแล้ว และแม่ก็รู้ตัวเองดี พาแม่ไปที่เตียง” ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะอุ้มมารดาไปวางลงบนเตียงนอน เทเรซ่าจับมือบุตรชายขึ้นมากุมเอาไว้เหนือหัว โยเชฟจะชักมือกลับแต่นางก็ดึงเอาไว้
“ท่านแม่อย่าทำแบบนั้น ข้าจะบาปหนัก”
เทเรซ่าส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “ไม่เลย เจ้าไม่บาปเลยสักนิด เจ้าควรได้รับรู้ความจริงของตนเอง”
“ความจริง ความจริงอะไร ข้าว่าท่านแม่พักก่อนดีกว่า ข้าจะไปทำซุปมาให้กิน” โยเชฟจะลุกขึ้น แต่เทเรซ่าก็ดึงเอาไว้
“อย่าเพิ่งไป แม่ต้องบอกความจริงกับลูกก่อนที่แม่จะไม่มีลมหายใจ”
“ไม่จริงท่านแม่ยังแข็งแรงดี ท่านแม่จะอยู่กับข้าไปนานๆ” โยเชฟกุมมือมารดาเอาไว้แน่น
“แม่เป็นมะเร็งในช่องท้อง เป็นมานานแล้ว ลูกอย่าพยายามเลยมันไม่มีประโยชน์” ชายหนุ่มได้ยินถึงกับนิ่งเงียบ เขายอมรับว่าตกใจมาก “ทำไมท่านแม่ไม่บอกข้า ข้าจะได้พาท่านไปรักษา”
“แม่ไม่อยากเห็นลูกทุกข์ใจเกี่ยวกับแม่ งานของลูกก็หนักเอาการอยู่แล้ว แม่รู้อีกทีมันก็เข้าขั้นสุดท้ายแล้วไม่มีทางรักษา ลูกอย่าเสียใจไปเลยโยเชฟ” เทเรซ่ายิ้มให้เขา โยเชฟตาแดงก่ำเขามีมารดาเพียงคนเดียวตั้งแต่เกิดมา
“อย่าทำหน้าแบบนั้น เจ้าเคยได้ยินหรือเปล่าว่าในความโชคร้ายยังมีเรื่องดีๆอยู่เสมอ” เธอหยุดมองหน้าบุตรชาย เห็นเขาก้มหน้านิ่ง เธอจึงพูดต่อ “แม่จะบอกเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของเจ้า”
“ชาติกำเนิดของข้า” เขาเงยหน้าขึ้นมองมารดา
“ใช่” เทเรซ่าพยักหน้าช้าๆ “เจ้าไม่ใช่ลูกชายของแม่ที่แท้จริง เมื่อ 25 ปีก่อน แม่ของเจ้าพาเจ้าซึ่งอายุได้ 2 ขวบเดินทางมาที่มาราคัตและเกิดเป็นลมที่หน้าบ้านของแม่ แม่จึงพาเข้ามาพักที่บ้านและได้รู้ว่าแม่ของเจ้าหนีการตามล่ามา” เธอหยุดหายใจเข้า เพราะอาการเหนื่อย
“ท่านแม่พักก่อนเถอะครับ เอาไว้เล่าวันหลังเถอะ ข้ายังไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น” โยเชฟเอาผ้าขึ้นมาคลุมร่างมารดาแต่เทเรซ่าก็เอามือมาจับมือบุตรชายเอาไว้ “ขอให้แม่เล่าให้จบเถอะนะลูก แม่ของเจ้าเป็นชายาลับๆของชีคแห่งคาร์ดาล แม่ของเจ้าชื่อ อะมีย่า เป็นชายาที่พ่อเจ้ารักมากที่สุดและคิดแต่งตั้งนางเป็นชายาเอก แต่เหล่านางสนมทั้งหลายไม่พอใจจึงคิดกำจัดนาง เจ้าคือเจ้าชายแห่งคาร์ดาลนะลูก เจ้าไม่ใช่โยเชฟคนธรรมดา”
โยเชฟฟังแล้วก็ส่ายหน้าไปมาช้าๆอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านแม่ต้องโกหกข้าแน่ ข้า..” เขาสับสนไปหมด
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงลูก เจ้าไปหยิบกล่องบนหลังตู้เสื้อผ้ามาให้แม่ที” เธอบอกด้วยเสียงอันแหบพร่า โยเชฟลุกขึ้นเดินไปหยิบแล้วกลับมาส่งให้ผู้เป็นแม่
“เปิดออกแล้วหยิบห่อสีแดงขึ้นมา” โยเชฟทำตามที่มารดาบอก ภายในกล่องมีถุงผ้ากำมะหยี่สีแดงวางเอาไว้ ชายหนุ่มจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วเทมันลงบนฝ่ามืออีกข้าง
“สร้อย!” โยเชฟมองจ้องแล้วเงยหน้าขึ้นมองมารดา
“ใช่ สร้อยของพ่อเจ้าที่มอบให้กับแม่ของเจ้า มันเป็นตราประจำพระองค์ของกษัตริย์ แม่คิดว่าพ่อของเจ้าต้องการให้เจ้ากับแม่ของเจ้าไว้ เก็บรักษามันไว้อย่าให้ใครเอาไปได้” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นมารดาแล้วก้มลงมองสร้อยรูปดวงอาทิตย์ซึ่งมีรัศมีเก้าเส้นกระจายล้อมรอบ ตรงกลางดวงอาทิตย์มีพลอยสีเขียวประดับเอาไว้ 1 เม็ด
“สวมเอาไว้กับตัว” เทเรซ่าสั่งพร้อมกับยิ้ม โยเชฟทำตามอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ ท่านแม่ต้องลำบากเลี้ยงข้ามาตั้ง 25 ปี ท่านคงเหนื่อยมาก ข้าจำอะไรไม่ได้เลยเกี่ยวกับบิดาและมารดาของข้า” สีหน้าของเขาสลดลง
“อย่าเสียใจไปเลย ลูกคือเจ้าชายแห่งคาร์ดาล จงเอาความยุติธรรมของแม่เจ้าคืนมา อย่าให้นางต้องตายแบบไร้ชื่อและไม่มีตัวตน เจ้าชายน้อยของแม่” เทเรซ่ายิ้มกว้างหายใจเหนื่อยหอบ โยเชฟยิ้มตอบ เขาไม่รู้ว่าตัวเองดีใจหรือเสียใจที่ได้รู้ความจริงในชาติกำเนิดของตนเอง
เขาต้องสืบให้ได้ว่าใครที่เป็นคนไล่ล่าเขากับมารดาของเขาและเขาเองก็อยากรู้ว่าถ้าบิดารู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่จะรู้สึกยังไง แล้วเรื่องที่คิดกบฏต่อมาราคัตใครคือตัวการที่แท้จริง ชายหนุ่มกุมสร้อยที่คอแน่นดวงตาบ่งบอกถึงความแน่วแน่ เทเรซ่ารู้สึกสบายใจที่เธอได้บอกความจริงที่เก็บงำเอาไว้นานถึง 25 ปี ต่อให้เธอต้องตายไปวันนี้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงแล้ว
“ท่านแม่นอนพักเถอะ ข้าจะไปต้มซุปให้” โยเชฟตบหลังมือมารดาเบาๆ เทเรซ่าพยักหน้าพร้อมกับยิ้มทั้งน้ำตา ชายหนุ่มเดินออกไปแล้ว หญิงสูงวัยนอนมองด้านหลังของบุตรชายราวกับจะสลักเอาไว้ในใจ “ทรงพระเจริญนะเพคะเจ้าชายของแม่ แม่ไม่ห่วงอะไรอีกแล้ว ลาก่อนเพคะเจ้าชาย” เธอค่อยๆหลับตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาจากหางตา มือที่วางบนหน้าอกตกลงมาข้างๆลำตัว ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
โยเชฟกลับเข้ามาในห้องมารดาอีกครั้งพร้อมกับถ้วยซุปที่หอมกลุ่น เขาเดินเอาไปวางไว้ที่หัวเตียงแล้วนั่งลงคุกเข่าที่ข้างเตียง
“ท่านแม่ ท่านแม่ กินซุปสักนิดนะ” ชายหนุ่มเขย่าแขนมารดา แต่ก็ไม่มีอาการใดๆโต้ตอบ “ท่านแม่ สงสัยจะง่วงมาก หึ” โยเชฟยิ้มเขาจะนั่งเฝ้ามารดาจนกว่าจะตื่น เขาจับมือมรดาขึ้นมากุมไว้แล้วเขาก็ต้องนิ่วหน้าเมื่อมือมารดาเย็นราวกับน้ำแข็ง ใจของเขาหายวาบ รีบจับชีพจรของมารดา ไม่เต้น เขาทิ้งตัวลงอย่างหมดแรงมองร่างมารดาที่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงนอน ดวงตาของเขาพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำตา
“ท่านแม่ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย ท่านกลับมาจากข้าไปเสียแล้ว” โยเชฟลุกขึ้นนั่งคุกเข่าแล้วก้มลงจุมพิตที่แก้มเหี่ยวย่นของมารดา “ชาติหน้าข้าขอเกิดมาเป็นลูกชายของท่านอีกครั้ง ท่านแม่ที่รักของข้า ท่านจะอยู่ในใจของข้าตลอดไป” เขาก้มลงกอดร่างมารดาเอาไว้อีกครั้ง
เมษาอดเหลือบมองหาองครักษ์หนุ่มไม่ได้เมื่อเดินเข้ามาในห้องอาหารแต่ก็ไร้วี่แวว มีแต่เจ้าชายการีฟประทับนั่งรออยู่ที่หัวโต๊ะ มีนาเดินนำหน้าเธอไปนั่งๆข้างๆสวามี แล้วนางกำนัลพี่เลี้ยงก็พาตัวเจ้าหญิงจัสมินและเจ้าชายอูซาลเข้ามา เด็กน้อยทั้งสองดูท่าทางตื่นเต้นมากเมื่อเจอสมาชิกคนใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้า เมษายิ้มให้เด็กทั้งสอง
“จัสมิน อูซาล ทักทายคุณน้าเมษาสิลูก” มีนาเปิดฉากแนะนำทั้งคู่ก่อน เมษายิ้มให้อย่างอ่อนโยน เจ้าหญิงน้อยมองเธอแล้วก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร ก่อนจะถอนสายบัวให้เธอ เจ้าชายเห็นผู้เป็นพี่ทำก็เอาอย่างบ้างโดยการโค้งให้อย่างน่ารัก
“น่ารักจัง เจ้าหญิงน่ารักมากเพคะโตขึ้นต้องสง่างามแน่ๆ”
“คุณน้าเป็นเพื่อนเสด็จแม่เหรอคะ” เจ้าหญิงน้อยถามอย่างสงสัย ส่วนเจ้าชายอูซาลก็กำลังปีนขึ้นเก้าอี้ด้วยความช่วยเหลือของพี่เลี้ยง
“เพคะ น้าเป็นญาติของเสด็จแม่ของเจ้าหญิง” เมษาชื่นชมในอัธยาศัยที่เป็นกันเองของเจ้าหญิงน้อยๆองค์นี้
“นึกแล้ว คุณน้าสวยเหมือนคุณแม่เลยค่ะ” คำชมของเด็กอายุ 8 ขวบทำให้เมษาถึงกับเขินอายไปได้
“จวยจัง คุณน้าจวย” เจ้าชายน้อยที่เพิงหัดพูดหันมายิ้มฟันขาวให้เธอ
“เจ้าชายก็ทรงหล่อเพคะ หล่อเหมือนเสด็จพ่อเลย” เมษาหัวเราะขำ “เอาไว้น้าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังเอาไหมเพคะ”
“เอาค่ะ” จัสมินยิ้มอย่างดีใจ
“เอา เอา ชายจอบนิทาน” อูซาลตบมืออย่างดีใจ
“คุณน้าใจดีจัง หญิงชอบคุณน้า”
“ชายก็จอบ ชายจอบคุณน้า” เจ้าชายน้อยพูดตามผู้เป็นพี่สาว
“หึ หึ” “ฮ่า ฮ่า” ความน่ารักของเด็กน้อยทั้งสองทำให้ทุกคนในห้องนั่นหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่
“เอาล่ะทักทายกันแค่นี้ก่อน ทานข้าวกันดีกว่า คุณน้าหิวจะแย่แล้ว คุณน้าเมษาจะอยู่กับลูกๆอีกนาน” การีฟเอ่ยขึ้นตัดบทเสียก่อนๆที่ธิดาสาวของเขาจะซักไซ้หญิงสาวมากไปกว่านี้ เจ้าหญิงน้อยยิ้มแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้
เมษามองดูเด็กอย่างเอ็นดู ภาพความหลังของเธอย้อนกลับมาอีกครั้ง ในค่ำคืนพ่อกับแม่จะกินข้าวพร้อมกันกับเธอ ตักกับข้าวมาป้อนให้คนละคำ เป็นภาพแห่งความทรงจำที่มีความสุขจริงๆ
“ทานสิเม อาหารพื้นเมืองของที่นี่อร่อยมากนะ” เสียงของมีนาดึงเธอออกมาจากพะวงความคิด เมษาหันไปยิ้มแล้วพยักหน้ารับก่อนจะตักอาหารใส่ปาก
หลังจากทานอาหารเสร็จมีนาก็พาเมษามาเดินเล่นที่สวนหน้าตำหนัก ลมเย็นๆเริ่มพัดเข้ามาทำให้อากาศเย็นสบายขึ้นไม่ร้อนเหมือนตอนกลางวัน
“เป็นไงบ้างอาหารอร่อยหรือเปล่า”
“อร่อยสิ อร่อยมากเลย” เมษาหันไปยิ้มให้ญาติสาวแล้วเดินไปนั่งที่โขดหินก้อนใหญ่
“วันนี้เป็นวันหยุดของโยเชฟ เขากลับบ้านไปเยี่ยมแม่” มีนาบอกแล้วจ้องหน้าหญิงสาวทำให้เธอต้องยิ้มอย่างอายๆ
“แล้วเธอมาบอกอะไรฉัน เขาจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย เธอบ้าหรือเปล่า”
“แน่ะ ฉันพูดความจริง ก็เธอมองหาเขาไม่ใช่เหรอในห้องอาหารน่ะ ฉันเห็นนะ” มีนายิ้มหล่อเลียน เมษาจึงเกรงทำเป็นเก็งหน้าโกรธ “ฉันมองการตบแต่งห้องต่างหาก อย่ามามัวนะ”
“แน่ใจนะที่พูดน่ะ”
“แน่ใจสิ” เมษาเท้าเอวแล้วสายตาก็หันไปเห็นเจ้าชายการีฟก้าวขึ้นรถไป “ เอ๊ะเจ้าชายมีงานอีกเหรอมีน มืดแล้วนะ” ยังไม่ทันที่มีนาจะตอบนางกำนัลก็เข้ามารายงานนายหญิงของตนเองเสียก่อน
“เจ้าชายให้มากราบทูลพระชายาเพคะว่าจะเสด็จไปบ้านของท่านองครักษ์โยเชฟเพคะ” นางกำนัลรายงาน
“แล้วเจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีเรื่องอะไร” มีนาขมวดคิ้วเรียว
“ไม่เพคะ เจ้าชายไม่ได้รับสั่งอะไรอีกเพคะ”
“เจ้าไปได้”มีนาพยักหน้า เมษาหันหน้ามามองญาติสาว “มีเรื่องอะไรที่บ้านคุณโยเชฟหรือเปล่ามีน” สีหน้าแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน มีนาอมยิ้ม “ไหนว่าไม่สนใจแล้วถามทำไม ดูสิทำหน้าตกใจสะขนาดนั้น”
“ก็ฉัน..” เมษาอึกอัก มีนาจึงยิ่งแกล้งให้หญิงสาวเปิดเผยความในใจ “ก็อะไร ตอบมาดีๆนะว่าก็อะไร”
“ก็คนเคยรู้จักกันก็แค่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นก็เท่านั้น”
“แน่นะ เมฉันเป็นญาติของเธอถึงแม้ว่าจะไม่คุ้นเคยกันมากแต่เราก็เคยอยู่ด้วยกันตอนเล็กๆนะ ฉันมองตาเธอก็รู้ว่าเธอชอบโยเชฟ” มีนาอมยิ้ม เมษาอ้าปากค้างไม่คิดว่าญาติของเธอจะมองจิตใจเธอได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้
“ฉัน..”
“ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ผู้หญิงจะบอกรักผู้ชายก่อน เธอเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ มีความมั่นใจในตัวเองสูง กล้าคิดกล้าทำ แล้วทำไมไม่ยอมรับความจริงล่ะ” คำพูดของมีนาทำให้เมษานิ่งอึ้งไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสบตากับญาติสาว
“ใช่ เธอเดาถูก ฉันหลงรักเขาตั้งแต่เห็นเขาเมื่อ 2 ปีที่แล้วที่เธอหนีเจ้าชายไปเมืองไทย ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่วันนั้นฉันก็ไม่อาจลืมเขาได้เลย จริงๆนะมีนฉันบอกไม่ถูก แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบฉันออกจะเกลียดฉันด้วยซ้ำ คงเพราะใบหน้าของฉันคล้ายกับคนรักเก่าของเขาละมั้ง”
“เธอรู้ได้ไงว่าเขาเกลียดเธอ” มีนานั่งลงข้างๆ
“รู้สิ เขาบอกฉันเองตอนที่อยู่ที่บ้านพักของเธอ ฉันคิดจะตัดใจแต่มันก็ทำไม่ได้ ฉันถึงยอมตามเธอมาที่นี่เพราะอยากรู้จักทุกอย่างที่เป็นเขา แม้ว่ามันจะไม่มีหวังแต่ฉันก็อดหวังเล็กๆไม่ได้” เมษาก้มหน้ามองมือของตนเอง มีนาเอามือมากุมทับมือของเธอ
“โยเชฟเป็นคนดีถ้าเธอชนะใจเขาได้เธอจะเป็นผู้หญิงที่น่าอิจฉามากที่สุดคนหนึ่ง แต่แผลที่อยู่ในใจของเขามันลึกจนอยากจะรักษา ฉันจะดีใจมากที่เธอจะเข้ามารักษาแผลใจให้เขา เธอไม่รังเกียจเขาเหรอที่เขาไม่รวย”
“ไม่ เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนยังไง ฉันไม่เคยมองใครที่หน้าตาหรือว่าฐานะ ฉันจะพยายามรักษาแผลใจให้เขาถ้าเขาเปิดใจรับฉันนะมีน” เมษายิ้มอย่างไม่มั่นใจ
“เธอต้องทำได้สิเม เชื่อฉัน” มีนาพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้เธอ เธอจะไม่ยอมแพ้แค่นี้แน่ เธอจะฉุดเขาออกมาจากความเศร้าและทุกข์ระทมนั้นให้ได้
“ขอบใจนะมีนที่เธออยู่เคียงข้างฉันและเป็นกำลังใจให้ฉัน” เมษาซาบซึ้งในน้ำใจของญาติสาวมาก เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณของญาติสาวคนนี้
“น้ำค้างเริ่มลงแล้ว เข้าห้องกันเถอะ เธอนัดหลานๆว่าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังไม่ใช่เหรอ” มีนาท้วง
“ใช่จ้ะ ฉันจะเล่าเรื่องของเราตอนเด็กให้กับหลานๆฉันฟังรับรองพวกแกต้องชอบแน่” เมษาหัวเราะแล้วลุกขึ้น มีนาจึงลุกตามก่อนจะเดินเคียงกันกลับเข้าไปในตำหนัก