ตอนที่ 3 ดินแดนแห่งมนต์ขลัง
โยเชฟเองก็รู้สึกแปลกๆ ตัวของเขาร้อนรุมไปหมด ไม่เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว ใจของเขาไม่เคยสั่นแบบนี้เลย
“ขอบคุณค่ะ” เมษากระพริบตาถี่ๆ โยเชฟประคองให้เธอยืน “ไม่เป็นไร ผมต้องดูแลคุณตามคำสั่ง” เขาบอกแล้วเดินหายไปทางตู้เสื้อผ้า เมษาพยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเอง
“เชิญคุณที่เตียงเดี๋ยวผมจะไปนอนที่โซฟา” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับหอบหมอนและผ้าห่มผืนเล็กไปที่โซฟายาวที่อยู่ติดกับห้องรับแขก เมษายืนมองเขาก่อนจะหันหลังเดินไปที่เตียงแล้วล้มตัวลงนอน เธอนอนไม่หลับแน่ ใครจะหลับไปได้ลงเมื่อต้องมานอนกับผู้ชายที่ไม่รู้จักเขาเลยแถมยังเป็นคนต่างชาติอีก หญิงสาวพลิกตัวไปมาแล้วผงกหันขึ้นมองดูคนที่นอนเหยียดยาวที่โซฟา เธอคิดว่าเขาคงหลับไปแล้วดูท่าทางเขาจะเหนื่อยมากด้วย
“เฮ้อ..เมื่อไรชีวิตเราจะพบกับความสุขบ้างนะ” เมษาพึมพำกับตัวเองเบาๆ นึกย้อนไปถึงตอนที่ยังอยู่กับพ่อ-แม่พร้อมหน้ากัน เธอมีความสุขมากจนกระทั่งพ่อตาย เมื่อขาดเสาหลักของบ้าน แม่ก็ร้องไห้ทุกวันจนกระทั่งวีระก้าวเข้ามา ตอนแรกก็แค่เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่เห็นอกเห็นใจแม่ของเธอ แต่แล้วอยู่ๆแม่ก็เข้ามาบอกกับเธอว่าจะแต่งงานใหม่กับนายวีระ ตอนแรกๆเขาก็ขยันทำงานทำการดีมากจนเมื่อ 2 ปีผ่านไป เขากลับมาไถ่เงินแม่ของเธอที่มีรายได้เพียงน้อยนิดจากการค้าขายไปกินเหล้า เล่นการพนัน และที่สำคัญสายตาที่เขามองเธอแต่ละครั้งแปลกไปจากสายตาที่เคยเอ็นดูกลับมองอย่างจาบจวงและแอบมองเธอเวลาอาบน้ำบ่อยๆ เธอไม่อยากบอกแม่ของเธอเพราะกลัวว่าแม่จะเสียใจและเป็นทุกข์ และเมื่อแม่ตายเธอก็แบ่งสมบัติให้เขาแล้วย้ายออกมาอยู่ต่างหากแต่ก็ไม่พ้นที่เขาจะตามมารังควานเธอ เมษานอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไป
โยเชฟตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเมษาแล้วเห็นแต่อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารในห้องครัว ข้าวต้มหมูส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายชายหนุ่มยิ่งนัก เมื่อคืนกว่าเขาจะข่มตาหลับได้ก็ตั้งนาน เขาเป็นผู้ชายที่มีเลือดเนื้อมีผู้หญิงมานอนด้วยที่ห้องก็แทบจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่กว่าจะหลับสนิทก็เกือบตี 2
“ทำอาหารเก่งเหมือนกันนี่” เขาสูดกลิ่นอาหารเข้าปอดแล้วเดินเลยไปที่ห้องน้ำ
เมษาเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารตรงหน้าเมื่อเห็นเงาคนทาบลงมาบนโต๊ะทำงาน “คุณ มีอะไรคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม
“เปล่า ผมแค่มารับคุณไปที่ห้องพักของคุณเพื่อเก็บข้าวของตามคำสั่งของพระชายา แล้วผมก็บอกคุณเกรียงไกรเอาไว้แล้ว เชิญ” เขาผายมือให้เธอ เมษานั่งหน้างอง้ำ
“แต่งานฉันยังไม่เสร็จนะคะ เอาไว้ตอนเย็นไม่ได้หรือคะ”
“ไม่ได้ครับ ตอนเย็นผมมีธุระ เชิญ” หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ แต่โยเชฟทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ หญิงสาวจำต้องลุกขึ้นเดินตามเขาไปที่รถที่จอดอยู่หน้าออฟฟิต ชายหนุ่มเปิดประตูให้เธอขึ้นไปนั่ง พนักงานสาวที่เห็นเหตุการณ์ต่างก็ค้อนให้เมษาและตั้งวงซุบซิบกัน
“หมั่นไส้ยัยเมจริงๆ ถือว่าเป็นญาติของคุณมีนาทำเป็นหยิ่ง นั่งชูคอเป็นหงส์ไปกับคุณโยเชฟสุดหล่อของฉันแล้ว”
“คุณโยเชฟเขาเป็นของหล่อนตั้งแต่เมื่อไรย่ะ” เพื่อนสาวอีกคนค้อนให้
“จะตั้งวงนินทาชาวบ้านอีกนานไหมครับ” เสียงของเกรียงไกรดังเข้ามาทำให้หญิงสาวทั้งหมดแตกกระจายเป็นผึ้งแตกรัง
ในช่วงเที่ยงโยเชฟและเมษาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าอีก 1 ใบก็มาถึงบ้านพักของเจ้าชายการีฟและพระชายาของพระองค์ซึ่งอยู่ติดกับโรงงาน เมษาขนเสื้อผ้าขึ้นไปไว้บนห้องแล้วกลับลงมาด้านล่างอีกครั้ง
“เที่ยงพอดี ไปหาอะไรกินก่อนดีกว่าแล้วผมจะไปส่งที่โรงงาน”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันเดินไปเอง” เมษาบอกแล้วเดินไปที่หน้าบ้าน
“ทำไมคุณชอบทำตัวให้เป็นที่หนักใจของคนอื่นนักล่ะ ใครบอกอะไรก็หัดทำตามเสียบ้างสิจะได้ไม่เดือดร้อน”
เมษาหันกลับมาทันที “คุณหาว่าฉันเป็นภาระหรือไง ถ้าคุณไม่พอใจฉัน เกลียดฉันก็เชิญไปได้ ฉันดูแลตัวเองได้ ถึงฉันไม่มีอะไรฉันก็ไม่ทำตัวให้คนอื่นต้องเป็นทุกข์เหมือนคุณ”
“ทำไม ผมทำอะไร” เขาก้าวเข้ามาใกล้จ้องมองเธออย่างโมโหเช่นกัน
“คุณผิดหวังจากความรักแล้วก็ทำตัวยังกับคนไม่มีหัวใจ ทำตัวตายด้านคุณรู้หรือเปล่าว่าทำให้ทุกคนรอบตัวคุณไม่สบายใจโดยเฉพาะเจ้าชายกับมีนา คนอะไรแค่ผู้หญิงไม่รักก็หาใหม่สิ มีอีกเยอะแยะไป” เมษาเท้าเอวมองหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว เวลาความโกรธขึ้นหน้าแล้วเธอจะไม่ยอมใครเช่นกัน
“แล้วเรื่องของผมมันไปเกี่ยวอะไรกับคุณ ผมจะจะอกหักหรือไม่มีใครสนใจ มันก็เรื่องของผม ดูตัวเองเสียก่อนที่จะไปว่าคนอื่นเขา คุณทำอะไรอย่าคิดว่าไม่มีใครรู้ใครเห็นนะ ให้ท่าคุณเกรียงไกรเสียจนได้เป็นคนโปรด ระวังบาปกรรมบ้างนะเป็นชู้กับสามีชาวบ้านมันบาปนะคุณ ถ้าเป็นที่มาราคัตละก็โดนตัดคอไปแล้ว” เขายิ้มเยาะที่มุมปาก เมษากำมือแน่น
“ไอ้คนใจสกปรก คุณมันสกปรกทั้งร่างกายและจิตใจ สมแล้วที่โดนคู่หมั้นทิ้ง ถ้าเป็นฉันนะฉันคงอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว”
“หยุดนะ!” โยเชฟโกรธจนตัวสั่น เขากำมือแน่นเพื่อระงับความโกรธของตนเอง เมษาเห็นเขาโกรธจนหน้าแดงก็ยิ่งนึกสนุก
“ฉันไม่หยุด ทำไมฉันจะต้องเชื่อคุณ คุณไม่ใช่พ่อฉันนี้” เมษาลอยหน้าใส่เขา ชายหนุ่มกระชากเธอเข้ามาหา
“อย่ามาพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีก ถ้าคุณยังไม่อยากเจ็บตัว” หญิงสาวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก “ปล่อยนะ ฉันเจ็บ ปล่อย”
“ที่ผมทำอยู่ตอนนี้ก็เพราะทำตามรับสั่ง ไม่งั้นล่ะก็คุณจะเป็นจะตายที่ไหนก็เชิญ” เขาผลักเธอล้มลงไปบนโซฟาเนื้อนุ่มแล้วเดินกลับไปที่รถและขับออกไปอย่างเร็ว
เมษาลูบคลำแขนของตนเองเบาๆพร้อมกับกัดริมฝีปากตัวเอง “ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ไอ้บ้า เชิญจมอยู่กับความรักบ้าๆของคุณต่อไปเถอะ”
จากวันนั้นโยเชฟก็ไม่มายุ่งกับเมษาอีกเลย แม้ว่าจะอยู่บ้านเดียวกันก็เหมือนกับต่างคนต่างอยู่ จนกระทั่งการีฟและมีนากลับมา
“เป็นยังไงบ้างโยเชฟ ยัยเมล่ะ” พอลงจากรถมีนาก็รีบถามหาญาติสาวของเธอทันที
“อยู่บนห้องรับแขกพระเจ้าค่ะ” องครักษ์หนุ่มรายงาน
“หม่อมฉันขอขึ้นไปหายัยเมนะเพคะ” เธอหันมาบอกพระสวามีแล้ววิ่งตัวปลิวขึ้นไปบนห้อง การีฟอมยิ้มเมื่อเห็นหน้าของโยเชฟ “ท่าทางเจ้าจะหนักใจน่าดูเลยนะ หรือเป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้คล้ายกับเอร่าเจ้าจึงไม่พอใจ”
“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะแต่เป็นเพราะนางดื้อดึงไม่เข้าเรื่อง”
“อ้อ เป็นแบบนั้นเองหรือ แต่ก็ช่างเถอะเราต้องรีบกลับมาราคัต” การีฟเปลี่ยนเรื่องคุย
“ทำไมพระเจ้าค่ะ”
“จอร์แดนบอกว่ามีข่าวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับแคว้นคาร์ดาล ชีคจิสยาฮาทอาจคิดก่อการกบฏ” ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมกับขบคิดอย่างหนัก “เจ้าคิดว่าไง”
“กระหม่อมไม่ทราบข่าวนี้มาก่อน แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงก็คงหนักเอาการพระเจ้าค่ะ เพราะแคว้นคาร์ดาลเป็นแหล่งผลิตน้ำมันของเรา” โยเชฟให้ความเห็น พอดีกับที่มีนาและเมษาเดินลงมาจากห้อง
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันจะพาเมษาไปมาราคัตด้วยเพราะถ้าอยู่ที่นี่สักวันต้องตกเป็นเมียไอ้คนชั่วนั่นแน่ อีกอยากเมษาก็ไม่มีญาติที่ไหนแล้ว พระองค์เห็นว่ายังไงเพคะ” มีนานั่งลงรอฟังคำตอบจากพระสวามี เมษานั่งเงียบ เธอไม่อยากจากเมืองไทยไปไหนเลยถ้าไม่ใช่เพราะเกรงใจมีนาที่หวังดีกับเธอ
“ได้สิ ดีเสียอีกเจ้าจะได้มีเพื่อนไม่เหงา ลูกๆเราจะได้มีเพื่อนเล่นด้วย” เมื่อการีฟพูดถึงลูกของเขา เมษาก็ยิ้มออกมาได้เธอไม่เคยเจอหลานๆเลย ก็ดีเหมือนกันจะได้เจอหลานๆแล้วก็พี่สาวห่างๆอย่างศิริรัตน์ด้วย
“จะดีเหรอพระเจ้าค่ะ กระหม่อมว่าผู้หญิงคนนี้จะนำความเดือดร้อนมาให้ทั้งสองพระองค์เสียมากกว่า” โยเชฟเอ่ยคัดค้าน
“ไม่เอาน่าโยเชฟอย่ามีอคติสิ อีกอย่างยัยเมเป็นญาติของฉันๆก็อยากปกป้องเขาเพราะเรากำพร้าพ่อ-แม่เหมือนกัน” มีนาหันไปยิ้มให้กับองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลัง โยเชฟโค้งให้อย่างยอมจำนน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปเตรียมตัวเถอะ ตอนเช้าเราจะได้เดินทางกันแต่เช้า เดี๋ยวข้าจะเข้าโรงงานก่อนเจ้ากับเมษาพักผ่อนที่นี่ ส่วนเรื่องเมษาข้าจะบอกเกรียงไกรให้ไม่ต้องห่วงนะ” เจ้าชายหนุ่มลุกขึ้น เมษาถอนสายบัวให้ “ขอบพระทัยเพคะ” การีฟยิ้มแล้วเดินออกไปพร้อมกับโยเชฟ
เมษาตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้เข้ามาอยู่ในวังของเจ้าชายอาหรับแบบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเธอดูใหม่และน่าตื่นเต้น เธอไม่เคยคิดเลยว่าจะได้มีโอกาสนี้กับเขาด้วย หญิงสาวกวาดสายตามองไปรอบๆ ต้นปาล์มหลากหลายขนาดถูกปลูกเรียงรายกันไปตามริมทางเดิน ใครว่าทะเลทรายแห้งแล้ง ไม่จริงเลยในความแห้งแล้งนั้นยังมีความเขียวของต้นไม้อยู่ เธอสังเกตว่าต้นไม้ของที่นี่เป็นไม่ใบแข็งคงเพราะอากาศที่ร้อนจึงทำให้ต้นไม้ต้องเก็บกักน้ำเอาไว้ให้มากที่สุดนั้นเอง มีนาเดินมาจับไหล่ญาติสาวพร้อมกับยิ้มให้เธอ
“เป็นไงบ้างเม ที่นี่อยู่ได้ไหม”
“สวยมากเลยมีน ฉันไม่คิดเลยว่าด้านนอกที่แห้งแล้งมีแต่ทรายสุดลูกหูลูกตาจะมีที่แบบนี้ด้วย ดูสิดอกกุหลาบ แล้วก็ดอกเล็กๆนั้นก็สวยนะคล้ายต้นตะบอกเพชรเลยดอกสีชมพูสวยจังเลย แถมยังมีสีเหลืองด้วย ที่นี่มีแต่ของสวยๆงามๆทั้งนั้นเลย”
“ฉันดีใจที่เธอชอบ เราไปดูห้องพักกันดีกว่าฉันสั่งให้จัดเป็นพิเศษสำหรับเธอเลยนะ” มีนาจูงมือหญิงสาวให้เดินตามไป ทั้งสองสาวตรงขึ้นไปที่ตำหนักรับรองในวังของเธอ
“เดี๋ยวสิมีนแล้วเจ้าชายล่ะหายไปไหน พอลงจากรถก็ไม่เห็นพระองค์แล้ว” เมษาดึงมืออีกฝ่ายให้หยุดเดินแล้วให้หันมาทางเธอ
“อ้อ เจ้าชายไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่วังหลวงเห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญ เดี๋ยวเย็นๆคงกลับ” มีนายิ้มให้
“แล้วหลานๆล่ะหายไปไหนกันหมด จัสมินกับอูซาลใช่ไหม”
มีนาพยักหน้า “ไปโรงเรียนจ้ะ ฉันส่งไปโรงเรียนที่อยู่ในเมืองน่ะ ฉันไม่ชอบที่จะให้ลูกเรียนรู้อยู่แต่ในวัง แบบว่าจะให้ครูมาสอนที่นี่ไม่เอาดีกว่า”
“อืม..แล้วไม่มีใครว่าเหรอ” เมษายังไม่หายสงสัย
“ไม่หรอก เจ้าชายก็ชอบให้เป็นแบบนั้น ที่นี่พัฒนาไปมาก เปิดรับวัฒนธรรมใหม่ๆเข้ามาแต่ก็ยังไม่ทิ้งวัฒนธรรมเก่าๆนะ” มีนาอธิบาย “หายสงสัยเหรอยัง” เมษาอมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ แล้วจึงเดินต่อไป
วังหลวงประเทศมาราคัต ห้องว่าราชการ
องค์สุลต่านอัลบาฮาประทับนั่งอยู่หัวโต๊ะสีหน้าเคร่งเครียด “ลูกคิดว่าไงการีฟ ในฐานะเจ้ากรมการทหาร” รับสั่งพร้อมกับหันไปมองหน้าโอรสองค์โต
“ในความคิดของข้า ข้าจะว่าเราควรจะสืบดูว่าข้อมูลที่ได้มามันจริงแท้แค่ไหน”
“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าพี่การีฟ” อิสยาสบอกแล้วหันไปมองหน้าอัลฟาฮา
“แล้วพวกท่านล่ะว่ายังไง” อัลบาฮาขอความเห็นจากทุกคนในห้อง
“พวกกระหม่อมเห็นด้วยพระเจ้าค่ะ” ขุนนางท่านหนึ่งเอ่ยขึ้นในฐานะตัวแทนของขุนนางทั้งหมด
“เรืองนี้เจ้าไปจัดการได้การีฟ พ่อยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้า”
“พระเจ้าค่ะ” การีฟโค้งศีรษะให้บิดา
“เลิกประชุมได้” อัลบาฮาสั่งเลิกประชุมแล้วลุกขึ้น
“เป็นไงบ้างการีฟกิจการที่เมืองไทยเป็นยังไงบ้าง” ผู้เป็นบิดาหันมามองถามการีฟ
“ไปได้ดีพระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มให้บิดาแล้วพากันเดินออกมาจากห้องว่าราชการ
“เจ้าจะกลับวังเลยหรือว่าจะอยู่ทานข้าวกับพ่อก่อน”
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าพระเจ้าค่ะ วันนี้ข้านัดกับมีนและลูกๆเอาไว้พระเจ้าค่ะ” อัลบาฮาพยักหน้าให้บุตรชายแล้วอมยิ้มก่อนจะเดินแยกไป
การีฟนั่งเงียบมาตลอดทางระหว่างกลับวังของตนเอง สายตาทอดมองออกไปนอกรถ โยเชฟลอบมองทางกระจกหลังของรถยนต์ “ทรงคิดอะไรพระเจ้าค่ะ”
“กำลังคิดว่าใครคือตัวการในการก่อกบฏครั้งนี้ เพราะเท่าที่ข้ารู้ชีคจิสยาฮาทเป็นคนไม่ใฝ่สูง ไม่ใช่คนทะเยอทะยาน ไม่น่าจะเป็นไปได้ โยเชฟข้าอยากให้เจ้าไปสืบเรื่องนี้” เจ้าชายหนุ่มมีสีหน้ากังวลใจ
“จากที่กระหม่อมทราบชีคจิสยาฮาทเป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ไม่แน่ว่างานนี้อาจมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังพระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มให้ความเห็น
“อืม....” การีฟพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “เจ้าคิดว่าเมษาเป็นคนยังไง”
โยเชฟเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆเจ้าชายก็รับสั่งถามถึงหญิงสาวนามว่าเมษา ชายหนุ่มนิ่งเงียบก่อนจะตอบช้าๆ กระหม่อมไม่มีความเห็นพระเจ้าค่ะ”
“อ้าว..นึกว่าเจ้าจะมีความเห็นอะไรบ้างเห็นท่าทางจะสนิทกันดี หรือว่าเจ้ายังคิดถึงเอร่าอยู่”
“ไม่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมแค่ช่วยเหลือเธอตามวิสัยผู้ชายพึงช่วยเหลือสตรี ส่วนเรื่องเอร่ากระหม่อมยอมรับว่ายังรักเธออยู่” เขายอมรับตรงๆ ก่อนจะวกกลับมาเรื่องเดิม “ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมไปเมื่อไรพระเจ้าค่ะ”
“เปลี่ยนเรื่องเชียวนะโยเชฟ” การีฟหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน “หลังงานวันเกิดของอูซาล เจ้าออกเดินทางได้เลย เอาคนไปด้วยอีกสัก 2-3 คน”
“พระเจ้าค่ะ” โยเชฟก้มศีรษะนิดหนึ่งแล้วหันกลับไปมองถนนด้านเบื้องหน้าตามเดิม