ตอนที่ 2 ตายในหน้าที่
“เดี๋ยวผมไปดูให้เองครับ” สุรศักดิ์อาสาเพราะถ้าให้คนอื่นไปดูก็คงต้องปั่นจักรยาน สู้เขาขับรถมอเตอร์ไซด์ไปดูเองดีกว่า
“เออ ๆ ศักดิ์ไปดูให้แม่ที” ว่าแล้วทุกคนก็เดินเข้าบ้าน สุรศักดิ์ขับรถออกไป รถยนต์ของผู้เป็นพ่อก็ขับสวนเข้ามาพอดี
ผู้กองมาโนชเดินเข้ามาในบ้านด้วยสีหน้าแปลกใจ “เย็นแล้วศักดิ์ออกไปไหน” ท่าทางเขารีบร้อนด้วย
“ไปดูนวลค่ะ ตาผามาบอกว่ามันเป็นลมอยู่ที่ฝายเก็บน้ำ”
“ทำไมนวลถึงได้ไปเข็นน้ำล่ะ” ปกติหน้าที่นี้เป็นของน้ำขิงกับน้ำอ้อยไม่ใช่เหรอ
“น้ำอ้อยบอกว่ามันอาสาไปเองค่ะ”
มาโนชไม่ได้พูดอะไร ใบหน้ายังเคร่งขรึมตามสไตล์ของนายทหาร นั่งลงบนโซฟาหนังสีดำตัวนุ่มแล้วถอดถุงเท้าออก จะเป็นไปได้อย่างไรเนื้อนวลไม่ชอบยุ่งกับงานของคนอื่นจะอาสาไปเข็นน้ำเองทำไม ตัวก็ผอมแห้งแค่นั้น รถเข็นน้ำหนักก็หนัก มาโนชครุ่นคิดในใจ
“คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ จะได้ลงมากินข้าว”
สิ้นคำภรรยามาโนชก็เดินขึ้นห้องไป แต่ภายในใจยังไม่ปักใจเชื่อคำที่ภรรยาบอก
จัดอาหารเย็นบนโต๊ะเสร็จ สองแม่ลูกก็รีบขอตัวกลับบ้านทันที เพราะไม่อยากโดนซักไซ้เรื่องที่เนื้อนวลไปเข็นน้ำวันนี้ แต่ถึงอย่างไรคนขี้กลัวอย่างเนื้อนวลก็ไม่มีทางทำอะไรสองแม่ลูกนี้ได้ เธอคงไม่กล้าพูดความจริงกับเจ้านายอย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเดือนมีนาคมที่อากาศร้อนจัดดวงตะวันจึงเข้านอนช้าลงหน่อยนึง ดวงตาอันร้อนผ่าวเนื่องมาจากพิษไข้ค่อย ๆ ลืมขึ้นอย่างยากลำบากเมื่อได้ยินเสียงผู้คนคุยกันจอแจอยู่ไม่ห่างกายเธอ สายตากวาดมองไปรอบทิศด้วยความมึนงงเมื่อพบว่ามีคนยืนมุงดูเธออยู่เกือบสิบ
“นวลฟื้นแล้ว” กอหวายพูดขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเห็นเด็กรับใช้ข้างบ้านฟื้นขึ้นมาหลังจากเธอลื่นล้มและสลบไปขณะที่สองแขนกำลังหิ้วกระติกน้ำขึ้นมาจากฝายน้ำเพื่อนำมาใส่ในรถเข็นบนสันคู
ดลยาฝืนลุกขึ้นมาด้วยความอ่อนเพลีย ไม่เข้าใจว่าหญิงสาวคนนั้นกำลังพูดถึงใคร ร่างทั้งร่างปวดร้าวไปหมดราวกับโดนค้อนทุบ มือเล็กยกทาบบนหน้าผากของตนก็พบว่ามันร้อนจี๋ราวกับถ่านกล้า
เธอคงเป็นไข้สินะ
ดลยามองไปรอบกายด้วยแววตาตื่นตระหนก สันคูของฝายน้ำเป็นเห็นลูกรังปนดินเหลือง แล้วลาดเทลงไปให้คนเดินลงไปตักน้ำ รอบสันคูมีต้นพุทราลูกเล็ก ๆ เต็มไปหมด ตัวเธอเลอะไปด้วยโคลนดินและเปียกชื้นไปทั้งตัว
มันเกิดอะไรขึ้น!
เธอจำได้ว่าเพิ่งกลับจากออดิทร้านค้าหลังจากที่ลูกน้องโทร. มารายงานว่าวันนี้จะมีทีมงานมาออดิทที่สาขา ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดและเธอก็ป่วยด้วย ในฐานะผู้จัดการร้านดลยาจำเป็นต้องไป ออดิทร้านเสร็จเกือบสี่โมงเย็นเธอก็กลับมานอนที่ห้องเช่าด้วยความเหนื่อยล้า อาหารกลางวันก็ยังไม่ตกถึงท้องสักอย่างเธอดื่มเพียงกาแฟแก้วเดียวจากสาขาแล้วก็ทำงานต่อจนเสร็จ มาถึงห้องกินยาลดไข้แล้วก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว พรุ่งนี้เธอต้องทำงานต่อ
แต่พอตื่นขึ้นมาทำไมถึงมาโผล่ในที่แบบนี้ได้ เธออยู่เขตเมืองนนทบุรีไม่ใช่หรือ แล้วที่แห่งนี้คือ… มันมีแต่ป่าที่เธอไม่คุ้นเคย ปกติที่ที่เธอเคยอยู่มันเป็นป่าปูนนี่นา
ดลยายังทำหน้าตามึนงง หัวก็ปวด ตัวก็ปวด กายก็ร้อนผ่าว
“นวล” เสียงนุ่มทุ้มน่าฟังเอ่ยขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ฝ่าวงล้อมเข้ามา “นวลไม่เป็นอะไรใช่ไหม” สุรศักดิ์เอ่ยถาม กอหวายช่วยสุรศักดิ์พยุงตัวเธอลุกขึ้น
ร่างอ่อนเพลียเซเล็กน้อย
ดลยาก้มมองสภาพตัวเองด้วยความสมเพช ผ้าถุงสีดำแต้มลายขาวเล็กน้อยเขรอะไปด้วยดินลูกรัง เท้าของเธอมีดินเหนียวเกาะอยู่ตามง่ามเท้าเหมือนเขียดเล่นโคลน มีคนถือรองเท้าแตะคีบมาวางเรียงไว้ให้ พื้นรองเท้าบางจนส้นทะลุ หูรองเท้าที่เอาไว้สำหรับคีบตอนนี้ใช้เชือกกล้วยผูกแทน ข้างหนึ่งมันนอนคว่ำหน้าอยู่เธอจึงรู้ว่าด้านท้องรองเท้าใช้ไม้ขัดรูไว้เชือกกล้วยจะได้ไม่หลุดออกมา
ดลยาเดินเท้าเปล่าตามหลังผู้ชายหน้าหล่อตรงหน้าโดยไม่ปริปากอะไร หากใส่รองเท้าเธอรู้ว่ามันต้องลื่นแน่ และเธออาจจะล้มหัวฟาดพื้นได้ ในหัวตอนนี้ได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเธอตายแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วเธอมาอยู่ในร่างใคร
“นวลซ้อนท้ายฉันนะแล้วพ่วงรถเข็นนี่กลับ”
ดลยาพยักหน้าแต่ยังไม่เข้าใจที่ชายหนุ่มพูดทีเดียวนัก รู้แต่ว่าตนชื่อเนื้อนวล
“ไหวใช่ไหม”
ดลยาพยักหน้าอีกครั้ง รับรู้ได้ถึงความขมปร่าในปาก ลำคอแห้งผากฝืนกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืด ๆ อยากจะร้องไห้ ถ้าหากเธอได้มาอยู่ในร่างนี้อีกครั้งไม่ว่าจะยุคสมัยไหนเธอก็ไม่หวั่น แต่ทว่าดูจากการแต่งกายของสาวน้อยคนนี้แล้วก็แสดงว่าเธอก็คงเกิดมาลำบากอีกชาติแน่แล้ว ชาติที่แล้วก็ทำงานจนตายชาตินี้ก็คงหนีไม่พ้น
เป็นไข้ยังได้มาเข็นน้ำ
เธอเบะปากเมื่อคิดมาถึงตรงนี้สองมือยกขึ้นปาดน้ำตาที่จู่ ๆ ก็ไหลหลั่งออกมาเป็นทางเมื่อขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายบนรถมอเตอร์ไซด์ของหนุ่มแปลกหน้า ตอนนี้เธอปวดหัวตุบ ๆ เหมือนมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
สรุศักดิ์หันมามองคนซ้อนท้ายอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงสูดน้ำมูก
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เธอส่ายหน้าแล้วพูดเสียงเบา “เปล่าค่ะ” น้ำตาสาวโสดวัยสามสิบห้าปีแต่ไม่รวยไหลออกมาอย่างไม่อาย
ไม่สิ ผู้หญิงร่างแน่งน้อยคนนี้ไม่ได้อายุสามสิบห้าอย่างแน่นอน นั่นคือข้อดีข้อเดียวที่เธอมองเห็น
สรุศักดิ์เอี้ยวตัวมองสาวใช้ด้วยความเวทนา ริมฝีปากเธอแห้งแตกเป็นขุยทั้งที่อากาศร้อน ดวงตาเธอแดงก่ำเพราะร้องไห้หรืออาจจะเพราะพิษไข้ร่วมด้วย “นวลไม่ต้องกลัว ฉันจะบอกคุณแม่ไม่ให้ทำโทษเธอ” ว่าจบสุรศักดิ์ก็เคลื่อนรถออกไปอย่างช้า ๆ เพื่อให้เนื้อนวลลากรถเข็นน้ำได้อย่างไม่ลำบากนัก