ทะลุมิติไปเป็นสาวใช้ผู้มั่งคั่งในยุค 90

123.0K · จบแล้ว
กัญจารีย์
73
บท
4.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

โปรย: เธอทะลุมิติไปเป็นสาวใช้ส่วนตัวที่เขาซื้อมาจากครอบครัวที่เก็บขยะขาย ในยุคปัจจุบันก็ทำงานจนตัวตาย มาอยู่อดีตก็กลายเป็นคนอัตคัดขัดสน ชีวิตจะลำบากซ้ำซ้อนไปถึงไหน ............................. เช็ดท่อนบนเสร็จเนื้อนวลก็เตรียมถอดชิ้นล่างที่เป็นกางเกงผ้านิ่มขายาว มือเล็กกำลังจับขอบกางเกงเตรียมจะถอดออก            หมับ! แต่ก็มีมือใหญ่มายึดไว้อีกครั้ง พร้อมเปล่งเสียงแหบพร่าออกมา            “อย่า!” เด็กอะไรแก่แดดขนาดนี้ ไม่รู้จักอายผีอายสาง กลางวันแสก ๆ ยังจะแก้ผ้าผู้ชาย ถึงปู่กับย่าจะไม่ค่อยมีเวลาอบรมบ่มนิสัยให้รักนวลสงวนตัวแต่เธอก็น่าจะคิดเองเป็นบ้าง หรือเธอเป็นเด็กใจแตกถึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้            เช่นเดิมเนื้อนวลไม่ได้สนใจ เพราะกลิ่นตัวของเขาที่โชยเข้าจมูกเธอคิดว่าน่าจะเกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เช็ดตัว เพราะเท่าที่เนื้อนวลเข้ามารับใช้เขาไม่กี่วัน สุรเชษฐ์ก็ไล่เธอท่าเดียว แต่อย่าหวังว่าเนื้อนวลคนนี้จะยอมแพ้ง่าย ๆ            “ถ้าอายก็หลับตา” เนื้อนวลพูดเสียงเรียบเรื่อยเหมือนเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ มือข้างหนึ่งจับสะโพกเขายกขึ้นมืออีกข้างดึงกางเกงนอกลงมาจนสุดปลายเท้าตามด้วยกางเกงผ้าอ้อมผู้ใหญ่ เพราะเขาไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายทั้งหนักและเบาของตัวเองได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันระวังตัว เมื่อนั้นแหละสุรเชษฐ์จึงนอนแน่นิ่งปิดเปลือกตาแน่น ร่างใหญ่แข็งทื่อไปทั้งตัว จากที่ไม่รู้สึกแค่ฝั่งขวาตอนนี้เหมือนจะชาไปทุกสัดส่วนบนร่างกาย            ให้ตายเถอะ! ผู้หญิงคนนี้ช่างไร้ยางอายสิ้นดี เกิดมาเขายังไม่เคยให้ผู้หญิงคนไหนเห็นร่างเขาตอนเปลือยเปล่าแบบนี้มาก่อน เว้นเสียแต่ภรรยาของเขาเพียงคนเดียว เธอช่างเป็นผู้หญิงที่…หน้าด้านเหลือทน มีผู้หญิงคนไหนกันที่อยู่กับชายแปลกหน้าที่นอนเปลือยล่อนจ้อนแบบนี้ในห้องสองต่อสองเหมือนเธอบ้าง ถ้าคนอื่นรู้เข้ามีหวังเธอไม่มีทางหาสามีได้แน่ อย่างว่าล่ะนะก็คนไม่ได้เรียนหนังสือก็คงไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร            พ่อจ๋า! แม่จ๋า! ช่วยลูกด้วย ผมกำลังโดนแทะโลมทางสายตา สุรเชษฐ์พร่ำบ่นในใจเมื่อคิดว่าสาวใช้คงใช้สายตาจ้องมองเขาไปทั้งตัว

นิยายรักโรแมนติกนิยายรักพลิกชีวิตคนรับใช้นิยายย้อนยุคฟินๆแฮปปี้เอนดิ้งแม่ผัวลูกสะใภ้รักต้องห้าม

ตอนที่ 1 คนเอาแต่ใจ

“นวลลลลล!”

เสียงทุ้มพร่าตะโกนร้องหาสาวใช้ดังก้องไปทั้งห้อง เมื่อไม่มีเสียงขานรับเขาก็ตะโกนขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“นวลลล!” แววตาของเขาดูเกรี้ยวกราดเกือบหกโมงเย็นแล้วทำไมเธอยังไม่มาเตรียมข้าวปลาอาหารให้เขาอีก ด้วยความโมโหเจ้าของร่างใหญ่ที่ขยับกายได้เพียงฝั่งเดียวยื่นมือข้างซ้ายที่ยังพอมีแรงอยู่กวาดข้าวของที่วางอยู่บนโต๊ะฝั่งเดียวกันลงจนหมดเกลี้ยง

เพล้ง!

ข้าวของและเศษแก้วแตกกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นห้อง พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่กระเถิบกายมาจนสุดเตียงและร่วงลงมากองอยู่ที่พื้น

ตุบ!

“โอ๊ย!”

มือและขาข้างซ้ายที่โดนแก้วทิ่มมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

ผู้เป็นแม่ที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็รู้สึกตกใจเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากห้องลูกชาย

“ตาเชษฐ์!”

อุทานชื่อลูกแล้วพวงแก้วก็รีบสาวเท้าออกจากห้องและวิ่งลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน

แกรก! เสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับร่างผู้เป็นแม่

“เกิดอะไรขึ้น” พวงแก้วเอ่ยออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นลูกชายคนโตนอนอยู่ข้างเตียง “เชษฐ์! เชษฐ์เป็นอะไร” เมื่อรู้ว่าตัวเองพยุงลูกลุกขึ้นคนเดียวไม่ได้จึงเรียกหาสาวใช้ “ขิง! อ้อย! อยู่ไหนมาช่วยฉันหน่อย” พวงแก้วตะโกนเรียกด้วยความร้อนใจ อดแปลกใจว่าเนื้อนวลสาวใช้ประจำตัวลูกชายหายไปไหน

เกือบนาทีที่ก็ไม่มีใครขานรับพวงแก้วจึงตะเบ็งเสียงขึ้นอีก

“นังขิง! นังอ้อย! พวกแกหายไปไหนกันหมด หรือตายกันหมดแล้ว” พวงแก้วเดินเข้าไปเก็บเศษแก้วออกจากตัวลูกชายในใจรู้สึกโกรธเนื้อนวลจนควันออกหู สุรเชษฐ์รู้สึกเจ็บจนต้องนิ่วหน้า

สองแม่ลูกกำลังทำอาหารในครัวด้วยความสบายใจเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกแหบแห้งจึงหยุดฟัง

“เสียงคุณนายนี่แม่” น้ำขิงบอกแม่

“ใช่เหรอ?” น้ำอ้อยยังได้ยินไม่ค่อยชัดนักเพราะในกระทะยังทอดปลาทับทิมตัวโตเสียงซ่า ๆ

“นังขิง! นังอ้อย!” พวงแก้วตวาดขึ้นอีกเสียงดังลั่นบ้าน

“จริงด้วย เสียงมาจากห้องคุณเชษฐ์” น้ำอ้อยกล่าว ว่าแล้วสองแม่ลูกก็วิ่งหน้าตื่นไปที่ห้องของสุรเชษฐ์

พวงแก้วเดินไปเดินมาในห้องลูกชายอย่างร้อนใจ เธอไม่สามารถพยุงร่างลูกชายตัวเองขึ้นจากพื้นได้

“นังนวลหายหัวไปไหน” พวงแก้วหันมาถามลูกชายด้วยวาจาเกรี้ยวกราด

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมเรียกนานแล้วก็ไม่เห็นเข้ามา” สุรเชษฐ์พูดพลางสูดปากด้วยความเจ็บและและเริ่มปวดแขนขาฝั่งที่ยังใช้งานได้

           เสียงประตูถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับร่างของน้ำอ้อยกับลูกสาว

           “คุณนายมีอะไรหรือคะ”

           “หูแตกหรือไงร้องเรียกตั้งนานทำไมไม่ได้ยิน” พวงแก้วว่าให้คนใช้ทั้งสองด้วยแววตาดุดัน

           “เอ่อ…ฉันกับขิงทำกับข้าวอยู่ในครัวก็เลยไม่ได้ยินค่ะ” น้ำอ้อยอธิบายเสียงอ้อมแอ้ม ครัวอยู่ปีกบ้านฝั่งตะวันตกส่วนห้องของสุรเชษฐ์อยู่ปีกบ้านฝั่งตะวันออก พอปิดห้องแล้วก็เลยไม่ค่อยได้ยินเสียง สายตาปราดมองเห็นเจ้านายที่นอนอยู่บนพื้นก็ต้องตาโต “คุณเชษฐ์ ไปนอนอะไรอยู่ตรงนั้นคะ” น้ำอ้อยปรี่เข้าไปพยุงร่างสุรเชษฐ์ขึ้นพร้อมกับลูกสาวคนละข้าง

           “แล้วนวลมันหายไปไหนทำไมปล่อยให้ลูกชายฉันอยู่คนเดียว”

           น้ำอ้อยยังไม่ได้ตอบเพราะกำลังจะหามร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่มขึ้นบนเตียงนอนอีกครั้ง “หนึ่ง สอง สาม…อึ๊บ” ทั้งสองหามสุรเชษฐ์ขึ้นบนเตียงหน้าดำหน้าแดง

น้ำอ้อยไปหยิบสำลีและน้ำยาล้างแผลมาเช็ดแผลให้เขา

           “มันแอบไปอู้ที่ไหนบอกฉันมา” พวงแก้วยังไม่จบง่าย ๆ อุตส่าห์ซื้อมาด้วยเงินราคาแพงแต่เนื้อนวลกลับทำหน้าที่บกพร่อง

           “เอ่อ…” น้ำอ้อยอึกอักส่วนน้ำขิงเอาแต่ยืนก้มหน้า

           “เกิดอะไรขึ้นครับแม่” สุรศักดิ์และภรรยากับลูกชายและหลานสาวรีบวิ่งมาจากลานหน้าบ้านเมื่อได้ยินเสียงแม่ร้องตะโกนเสียงดัง

           “คุณพ่อ!” วนิดาลูกสาววัยแปดขวบวิ่งเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ

           “ฉันถามแกไม่ได้ยินหรือไง” พวงแก้วไม่สนใจตอบลูกชายอีกคน แต่กลับหันไปถามน้ำอ้อยต่อ

           “เอ่อ…นวลไปเข็นน้ำค่ะ”

           “ทำไมต้องไป ในเมื่อไม่ใช่หน้าที่ของมัน” สุรเชษฐ์ถามเสียงขุ่น

           “นวลมันอาสาไปเองค่ะ สงสัยขี้เกียจดูแลคุณเชษฐ์” น้ำขิงเอ่ยขึ้นเมื่อสบโอกาสที่จะใส่ร้ายเนื้อนวล

           สุรเชษฐ์ได้ยินก็ขบกรามจนเป็นสันนูนด้วยความโกรธ

           “นังนวล!” พวงแก้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันชื่อเนื้อนวลออกมา “วันนี้ไม่ต้องให้มันกินข้าวเย็น”

           “ค่ะ” น้ำอ้อยรับคำคุณนายแล้วหันไปส่งยิ้มให้ลูกสาว

           “คุณแม่ครับ ยังไงนวลเขาก็ทำงานนะครับ” สุรศักดิ์แย้งขึ้น จะไม่ให้เธอรับประทานอาหารเย็นได้อย่างไร ถึงเธอจะไม่ได้ดูแลสุรเชษฐ์อย่างไรเนื้อนวลก็ยังไปเข็นน้ำคนเดียวซึ่งก็ถือว่าเป็นงานหนักเหมือนกัน

           “แกไม่ต้องมายุ่ง” พวงแก้วหันไปต่อว่าลูกชายคนรอง จากนั้นก็สั่งน้ำขิง “ไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้คุณเชษฐ์”

           “ไม่ต้องครับ งานใครคนนั้นก็ต้องรับผิดชอบ” สุรเชษฐ์กล่าวห้ามแม่ ในใจรู้สึกโกรธเนื้อนวลจนตัวสั่น

           พวงแก้วยังไม่ทันพูดอะไรก็มีเสียงชาวบ้านผู้ชายมาร้องเรียกอยู่หน้าบ้าน “คุณนายพวง!”

           ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นจึงเดินลงมาดู ปล่อยให้สุรเชษฐ์นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง

           เดินออกมาหน้าบ้านจึงรู้ว่าเป็นเสียงของคำผาที่อยู่ข้างบ้านนั่นเอง

           “มีอะไรเหรือตาผา” พวงแก้วถามเพื่อนบ้านที่ไม่ค่อยถูกกันนักออกไป

           “หวายวิ่งมาบอกว่านวลนอนสลบอยู่ริมฝายน้ำแน่ะ คุณนายให้คนไปดูมันหน่อยสิ” เมื่อสักครู่กอหวายลูกสาวคนเล็กของคำผาวิ่งจากฝายเก็บน้ำมาบอกว่าเนื้อนวลไปเข็นน้ำแล้วเป็นลมอยู่ริมฝายน้ำ คำผาจึงรีบมาบอกพวงแก้ว

           “สลบเหรอ?” พวงแก้วเอ่ยเสียงเบา ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นใบหน้าเผือดสีไปตาม ๆ กัน