ตอนที่ 5 แค่พี่น้อง
ทั้งสองแต่งงานกันเพราะพ่อกับแม่ของเขาอยากได้หลานเพราะพี่ชายของเขาเป็นหมันไม่สามารถมีหลานให้พ่อกับแม่ได้ ส่วนพ่อกับแม่ของนิตยาก็เต็มใจให้ลูกแต่งงานกับเขาเพราะอยากได้ค่าสินสอด ในหมู่บ้านนี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาคนอย่างอำนาจไปเป็นสามี เช่นเดียวกับนิตยาผู้มีหน้าตาอัปลักษณ์ผู้ชายในหมู่บ้านนี้ก็ไม่มีใครเลือกเธอไปเป็นภรรยาเช่นกัน ไม่มีใครอยากคุยกับเธอแม้แต่คนในครอบครัวยังเลือกเชื่อหมอดูมากกว่าเชื่อลูกตัวเอง หาว่าเธอเป็นกาลกินีจนต้องไล่มาอยู่คนเดียวกลางป่ากลางเขาเช่นนี้
นิตยาครุ่นคิดในใจ ทำไมวันนี้เขาถามแปลก ๆ ปกติอำนาจไม่เคยพูดเรื่องนี้ จากที่เธอสังเกตเขารู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้มาอยู่กับเธอเพราะอยู่กับนิตยาเธอไม่เคยบ่น ไม่เคยด่าเหมือนอยู่กับพ่อแม่ของเขา เขาไม่ทำงานเธอก็ไม่เคยสนใจ ทำหน้าที่ของตนไปมีอะไรให้กินเขาก็กิน เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องเลิกกันหรือแยกกันอยู่
นิตยาไม่ได้ตอบออกไปแต่กลับย้ำสิ่งที่คิดว่าเขาน่าจะลืม “พ่อกับแม่อ้ายเพิ่นอยากได้หลาน” (พ่อกับแม่พี่เขาอยากได้หลาน)
ตลอดกว่าหนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันมาทั้งสองไม่เคยยุ่งเกี่ยวกันในฐานะสามีภรรยาเลยสักครั้ง และนิตยาก็ยินดีที่ทุกอย่างเป็นเช่นนั้น
“อ้ายฮู่อยู่ แต่เฮาบ่อได้มักกัน เฮามีลูกนำกันบ่อได้” (พี่รู้ แต่เราไม่ได้รักกัน เรามีลูกด้วยกันไม่ได้)
คนไม่รักกันมีลูกด้วยกันนับวันก็ยิ่งหมางเมิน ดีไม่ดีผลกรรมไปตกอยู่ที่ลูก อีกอย่างถึงอยากมีมากแค่ไหนก็คงไม่มีใครบังคับเขาได้ เพราะเขารู้ว่าร่างเดิมนี้นกเขาไม่ขันมาหลายปีแล้ว คงเป็นก่อนที่จะแต่งงานกับนิตยากระมัง อำนาจถึงกล้าแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเขาคิดว่าตัวเองมีลูกไม่ได้ และเขาก็คงไม่ได้ชอบเธอเช่นกัน แต่ที่ยอมแต่งงานเพราะตัดรำคาญพ่อกับแม่ที่ชอบบ่นชอบบังคับเขา
“อ้ายอยากเลิกบ่อกะสั่น ถ้าอ้ายอยากเลิกกะเลิกกะได้” (พี่อยากเลิกไหมล่ะ ถ้าพี่อยากเลิกก็เลิกได้)
ถึงเธอไม่ได้รักอำนาจในแบบสามีแต่เขาก็เป็นเหมือนพี่ชายที่สามารถนอนเป็นเพื่อนเธอได้ทั้งวัน อย่างน้อยก็รู้สึกว่าโลกนี้เธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
“อ้ายจั่งได๋กะได้” (พี่ยังไงก็ได้)
มาวินแค่ให้อิสระในการตัดสินใจของเธอเท่านั้น เพราะเท่าที่เขารู้เธอไม่มีสิทธิ์ได้เลือกทางเดินชีวิตของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“กะซั่นอ้ายกะอยู่เป็นหมู่ข่อยไปนิ่ล่ะ ค่านอยู่มื่อได๋กะจั่งไป” (ถ้าอย่างนั้นพี่ก็อยู่เป็นเพื่อนฉันไปอย่างนี้แหละ ขี้เกียจอยู่วันไหนก็ค่อยไป)
เธอไม่ห้ามหากเขาจะไปเพราะที่ผ่านมาเธอก็อยู่เพียงลำพัง เรื่องลูกก็ให้ไปคุยกับพ่อแม่เขาเอาเอง เพราะเธอก็ไม่สามารถมีอะไรกับคนที่ไม่รักได้เช่นกัน
“อื้อ จั่งซั่นกะได้ มื่อได๋ที่นิดมีคนมาอยู่นำ อ้ายจั่งสิไป ตอนนี่เฮากะอยู่นำกันแบบอ้ายน่องไปก่อน” (อือ อย่างนั้นก็ได้ วันไหนที่นิดมีคนมาอยู่ด้วยแล้วพี่ค่อยไป ตอนนี้เราก็อยู่ด้วยกันเหมือนพี่น้องไปก่อน)
ถ้าเขามีทางอื่นที่ดีกว่าเขาก็อาจจะไม่อยู่ที่นี่ เขาเป็นคนมีความรู้ความสามารถมีตะกรุดวิเศษจะมาทนอยู่ในที่กันดารเช่นนี้ทำไม แต่ก็คงไม่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวโดยไม่มีใคร
นิตยาก็คิดว่าดีเหมือนกัน แต่หากเธออยู่ไปจนถึงอายุสามสิบสี่สิบปีวันนั้นเธอก็คงเข้มแข็งและเก่งมากแล้ว คงไม่ต้องการให้ใครมาอยู่ด้วย
ทั้งสองต่างคนต่างเงียบ แต่แล้วนิตยาก็ถามขึ้นอีก “อ้ายทิดบ่อถอดเสื่อนอนติ” (พี่นาจไม่ถอดเสื้อนอนเหรอ)
ทุกวันเขาต้องนอนถอดเสื้อมีเมื่อคืนนี้แหละที่เขาสวมเสื้อนอน
“บ่อ อายคายโต” (ไม่ พี่ระคายเคืองผิว)
ความจริงคือเขาไม่เคยถอดเสื้อต่อหน้าผู้หญิง และหุ่นเขาตอนนี้ก็ไม่ควรถอดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพุงทั้งนมมันดูไม่จืดเอาเสียเลย
นิตยาได้ฟังดังนั้นจึงไม่ชวนเขาคุยต่อ เพราะวันนี้เธอเหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องเร่งทำงานอีก
เช้าวันต่อมานิตยาตื่นแต่เช้ามืดมาหุงหาอาหาร เสร็จแล้วก็ลงไปขุดดินต่อ เพื่อรอให้สามีตื่น เมื่อคืนเธอนอนหลับเต็มอิ่มเพราะสามีไม่ค่อยนอนกรนเสียงดังเหมือนเดิม
อำนาจตื่นเช้ากว่าปกติหลายชั่วโมง พับเก็บที่นอนเรียบร้อยจึงเดินลงไปล้างหน้าแปรงฟัน เขายืนสำรวจที่ของภรรยาอยู่สักพัก เนื้อที่น่าจะประมาณสองไร่ ฝั่งซ้ายปลูกต้นยาสูบประมาณไร่เศษ ฝั่งขวาอีกสามงานรวมพื้นที่บ้านด้วยเธอเพิ่งขุดดิน จากนั้นร่างใหญ่จึงถือจอบเดินไปหาภรรยาที่กำลังใช้จอบขุดดินอย่างขะมักเขม้น
“นิดสิปลูกหยัง” (นิดจะปลูกอะไร)
นิตยาเห็นสามีเดินมาก็รู้สึกแปลกใจ “เอ๋า คือตื่นต๊ะเซ่าแท่” (อ้าว ทำไมตื่นแต่เช้าจัง)
“อ้ายอยากลองหัดตื่นเซ่าเบิ่ง” (พี่อยากลองฝึกตื่นแต่เช้าดูบ้าง)
“โอ๋ จั่งซั่นเบาะ ข่อยวาสิปลูกผักหอม” (อ๋อ อย่างนั้นเหรอ ฉันว่าจะปลูกต้นหอม)