ตอนที่ 4 ครอบครัวใหม่
เสียงผู้ชายตอบโต้ขึ้นมาเธอก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือเสียงคนที่ช่วยชีวิตเธอ
‘เขาคือพ่อของฉัน?’
ทั้งสองตอบโต้กันไปอีกหลายประโยค เธอรู้แค่ว่าน้ำเสียงผู้หญิงรู้สึกโกรธมากแต่พ่อก็ไม่ตอบโต้กลับ คงกำลังรู้สึกผิด แต่ทำไมเสียงไม่คุ้นเลยนี่เธออยู่ที่ไหน คิดได้แบบนั้นเอมอรก็ควานหากระเป๋าโทรศัพท์ หายังไงก็หาไม่เจอ เธอเพิ่งสังเกตตัวเองว่าตอนนี้เธอสวมผ้าถุงและเสื้อคอกระเช้าเหมือนย่าของเธอไม่มีผิด เธอเอามือบิดแขนตัวเองอย่างแรงเพราะคิดว่าอยู่ในความฝัน
“โอ้ย” มันดันเจ็บจริง เธอไม่ได้ฝันไป
เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา หญิงสาวตรงหน้าจ้องมาที่เธอ มุ้งถูกมือของหญิงสาวเปิดขึ้น
“อร! ตื่นแล้วเบาะ หิวข้าวบ่อ” (อร ตื่นแล้วเหรอหิวข้าวไหม) เธอพยักหน้าเป็นคำตอบ
“กระเป๋า” เอมอรพูดขึ้นมาเสียงเบา
“กระเป๋าหยัง ลุกไปกินข้าวก่อน” (กระเป๋าอะไร ลุกไปกินข้าวก่อน) หรือกระเป๋าใบนั้นมันจะหายไปตอนเธอตกลงไปในสระน้ำที่บ้านลุง ในนั้นมีโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์
เธออยากจะร้องไห้ เธอรู้สึกคิดถึงพ่อกับแม่ แต่ตอนนี้เธอบอกกับตัวเองว่าเธอกำลังหิวมาก คิดได้ก็ลุกขึ้นเดินตามคนที่แทนตัวเองว่าแม่ออกไปด้านนอก
บ้านนี้มีลักษณะเป็นบ้านไม้มีชานยื่นออกไปจากตัวบ้านคล้ายกับเถียงนาที่เธอเห็นเมื่อตอนกลางวันแต่มีลักษณะใหญ่กว่ามาก ใต้ถุนบ้านยกสูง และดูเหมือนเธอจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่ใต้ถุนบ้าน มันเป็นเสียงกระดิ่งที่เหมือนมีคนสะบัดไปมาดังสนั่น
“ตื่นแล้วบ่ออีหล้า มากินข้าว ๆ” (ตื่นแล้วเหรอหนู มากินข้าว ๆ) เสียงยายแพงเอ่ยทักหลานสาว เธอได้แค่ยิ้มให้แล้วนั่งลงข้าง ๆ ยาย
อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นกว่าที่ที่เธอจากมา ใช่สินี่เป็นวันขึ้นปีใหม่กำลังจะย่างเข้าสู่ปีพ.ศ. 2566 ที่ครอบครัวเธอมาเยี่ยมปู่กับย่าที่ต่างจังหวัดเธอลืมมันไปสนิท เอมอรนั่งแบบขัดสมาธิลงบนเสื่อข้าง ๆผู้หญิงที่ต่อจากนี้เธอต้องเรียกว่าแม่แล้วคิดถึงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะมานั่งอยู่ตรงนี้ ภาพที่เธอกำลังจะจมน้ำผุดขึ้นมาในหัวก่อนภาพจะตัดไปแล้วก็มารู้สึกตัวอีกทีต่อหน้าผู้ชายรูปหล่อผิวสีแทนคนนั้น
‘แล้วผู้ชายคนนั้นหายไปไหน? เขาพาเธอกลับมาบ้านนี้ได้อย่างไร?’
“นั่งใหม่ เป็นผู้ญิงอย่านั่งจั่งสั้น” (นั่งใหม่ เป็นผู้หญิงอย่านั่งแบบนั้น) แม่สะกิดเธอเพื่อให้นั่งพับเพียบเหมือนกับยาย
‘เกิดมาเคยนั่งพับเพียบตอนที่ไปวัดกับแม่แค่ไม่กี่ครั้ง แค่ด่านแรกก็อยู่ยากแล้ว จะรอดไหมวะไอ้เขม’
อาหารตรงหน้าคือแกงอ่อมหอยขมใส่ใบชะพลู เอมอรกินแกงอ่อมหอยได้แต่ที่นี่ไม่ได้ใส่กะทิเหมือนที่แม่เธอเคยทำให้กิน ข้าวมีแต่ข้าวเหนียวอันนี้เธอก็ถนัดเพราะพ่อเคยทำให้กินบ่อย ๆ เอมอรถามถึงคุณตาแม่บอกว่าตาเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็กแล้วก็หาว่าเธอสมองเสื่อมจำเรื่องตาตัวเองไม่ได้
“แม่คะ ใครพาหนูมาที่นี่คะ” สำเนียงไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาจนผู้เป็นแม่ถึงกับมองหน้า
“เว้าภาษาอีหยังของมึง มึงตายน้ำจนเป็นบ้าไปแล้วติ มึงเป็นหยังหลายบ่อคือกระแดะมาเว้าไทย” (พูดภาษาอะไรของมึง มึงจมน้ำจนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ มึงเป็นอะไรมากไหมทำไมดัดจริตมาพูดไทย)
แม่เข้ามาลูบผมเอมอรเบา ๆ คิดว่าลูกสาวเป็นบ้าไปแล้ว ยายกับแม่มองหน้ากันแล้วมองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง
แม่เล่าให้เธอฟังว่า เอมอรเรียนจบแค่ปอสี่เขียนหนังสือไม่ค่อยเป็นเพราะไม่ค่อยตั้งใจเรียน ความจริงแล้วทุกคนที่นี่ฟังภาษาไทยออกแต่แค่พูดไม่ค่อยได้เท่านั้น ถ้าพูดก็จะตกภาษาอีสานไปด้วย ส่วนมากชาวบ้านเรียนจบปอสี่กันทั้งนั้น จบชั้นสูงสุดก็คงจะเป็นปอหกซึ่งมีไม่กี่คน
“บักทิดกันกับพ่อมึงนั่นเด้พามา เอามึงใส่เกวียนมา” (ไอ้ทิดกันกับพ่อมึงนั่นไงพามา เอามึงใส่เกวียนมา) แววตาที่แม่สื่อออกมาแสดงความห่วงใยเอมอรมาก
เธออยากเห็นเกวียนที่แม่พูดถึง แต่ตอนนี้ขอกินข้าวก่อน ท้องร้องจนไม่รู้จะร้องยังไงแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ