ตอนที่6 เงินก้อนแรก
ในที่สุดก็ถึงวันที่เหมยจิงต้องเดินทางกลับบ้านสามี โดยที่ครั้งนี้เธอต้องเดินทางไปคนเดียวเหมยจิงยืนยันที่จะปั่นจักรยานกลับบ้านสามี ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็ไม่กล้าใช้สิทธิ์มาทวงไปเป็นของตัวเองแน่แค่เธอเอ่ยบอกไปว่าจักรยานคันนั้นเป็นสมบัติของบ้านเดิม อย่างที่รู้คนพวกนั้นเก่งแค่กับเธอหากเป็นครอบครัวของร่างเดิมที่มีเป็นครอบครัวทหารคนพวกนั้นไม่มีความกล้ามากพอแน่นอน
วันนี้เหมยจิงตัดสินใจแวะดูทำเลการค้าก่อนหลังจากสอบถามพ่อค้าแม่ค้าแผงลอยเธอก็พอจะเข้าใจได้ว่าต้องจ่ายค่าเช่าแผงลอยเป็นเงินวันละ1 หยวน ในความทรงจำของร่างเดิมจำนวนเงิน1หยวนมากพอที่จะสามารถซื้อธัญพืชดีๆ เก็บไว้กินในฤดูหนาวได้เป็นกระสอบแต่มันช่วยไม่ได้ในเมื่อที่นี่ไม่ใช่ชนบทแต่เป็นตัวอำเภอ 1หยวนของที่นี่อาจซื้อได้แค่อาหารเมนูที่ถูกที่สุดในร้านอาหารรัฐเพียงแค่หนึ่งอย่างเท่านั้น
เธอตัดสินใจเช่าพื้นที่เพื่อทำการค้าที่นี่หนึ่งวัน ส่วนเงินค่าเช่าเจ้าของที่จะมาเก็บในภายหลังระหว่างนั้นเหมยจิงคิดว่าเธอคงทำเงินได้มากแล้วในตอนนั้นแต่ถึงเธอจะขายไม่ได้จริงๆ แน่นอนว่าเธอย่อมสามารถเอาสินค้าจ่ายแทนค่าเช่าได้อยู่ดี
วันนี้เธอนำเสื้อกันหนาวบุนวมอย่างหนาออกจากมิติเพียง5ตัวเท่านั้น ด้วยรูปแบบที่แปลกใหม่ทำให้เป็นที่สนใจของผู้คนที่มีกำลังซื้อมากมายอยู่ในมือ
ลูกค้าคนแรกเข้ามาสอบถามราคาของเสื้อกันหนาวที่ดูแล้วตอนสวมใส่น่าจะอบอุ่นกว่าปกติอย่างสนใจ
"น้องสาวเสื้อกันหนาวแบบนี้น้องสาวขายตัวละเท่าไหร่จ๊ะ"
ผู้หญิงที่ดูจากหน้าตาน่าจะอายุ30ต้นๆ เอ่ยปากสอบถามราคาจากแม่ค้าที่รูปร่างผอมบางจนน่าตกใจ แต่เสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนนั้นสวมใส่ถือว่าเป็นของดีซ้ำรูปทรงยังแปลกใหม่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
"พี่สาวตาถึงมากค่ะ ฉันขอไม่ปิดบังว่าเสื้อกันหนาวตัวนี้ถูกผลิตมาอย่างดีเป็นของหายากจากต่างเมือง ถักทอมาจากผ้าดีไม่ระคายเคืองผิวแสนบอบบางของพี่สาวแน่นอนค่ะ ฉันขายได้ในราคา10หยวนสำหรับราคานี้ไม่ต้องใช้คูปองเพิ่มค่ะพี่สาวจะรับรึเปล่าคะ"
เมื่อได้ยินราคาผู้หญิงคนนั้นตาลุกวาว เพราะราคามันเท่ากับเสื้อกันหนาวบุนวมบางๆ ในห้างแต่ที่แย่ไปยิ่งกว่านั้นในห้างสรรพสินค้ากลับยังต้องใช้คูปองเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าทำไมเธอต้องปล่อยให้หลุดมือไปด้วยละ
" ราคาถือว่าสมเหตุสมผลถ้าอย่างนั้นฉันเอาสีเทาหนึ่งตัว สีดำอีกหนึ่งตัวไม่สิเอาสีดำมาสองตัว"
เมื่อได้ยินยอดสั่งซื้อเหมยจิงก็ตาลุกวาว ตอนแรกที่ตั้งราคาเธอยังแอบกลัวอยู่เลยว่ามันจะขายออกรึเปล่าเธอคงดูถูกกำลังซื้อของคนในตัวอำเภอมากเกินไปแล้ว
เหมยจิงรีบหยิบสินค้ามอบให้ลูกค้าก่อนจะรับเงินมา30หยวน ตอนนี้จึงเหลือสินค้าอยู่แค่สองชิ้นและหลังจากนั้นก็เกิดปัญหาลูกค้าทะเลาะกันแย่งสินค้าเกิดขึ้นกว่าจะห้ามทัพได้ก็ทำเอาเหมยจิงรู้สึกหมดพลังงานไปมากมาย
เธอตัดสินใจนำเสื้อออกมาขายอีก20ตัวโดยบอกลูกค้าว่าขอกลับไปเอาของสักครู่ แต่ความจริงแล้วเธอไปแอบเอาของมาจากมิติในที่ลับตาคนวันนี้เธอจึงทำเงินได้มากกว่าที่คิดไว้ วันนี้เธอได้เงินทั้งหมด249หยวนหลังจากหักลบค่าเช่าไปแล้ว1หยวน
แผงข้างๆ อดรู้สึกอิจฉาผู้หญิงที่มาตั้งแผงลอยครู่เดียวก็ขายหมดแทบไม่พอ เมื่อเหลือบมองสินค้าที่ลูกค้าถือออกมาพวกเธอถึงเข้าใจที่แท้น้องสาวคนนั้นก็ขายเสื้อกันหนาวที่มีคุณภาพแถมยังดูหนาหน้าหนาวนี้หากได้สวมใส่มันคงให้ความอบอุ่นไม่น้อยแม่ค้าด้วยกันยังรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ซื้อเก็บไว้เสียสักตัว
เหมยจิงนำเงินที่ได้มาเก็บเข้ามิติก่อนที่จะเก็บไว้กับตัวเพียง1หยวนเธอแวะซื้อกระดาษกับดินสองหนึ่งแท่งด้วยเงินจำนวน 5เหมานั่นเท่ากับว่าตอนนี้เงินเหลืออีก5เหมาคาดว่าคงพอดีกับค่าแสตมป์ เหมยจิงมองหาที่นั่งเพื่อเขียนจดหมายส่งให้สามีในกรมทหาร เธอเขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดในจดหมายเพียงหนึ่งหน้ากระดาษแต่เธอไม่ได้บอกเขาไว้ว่าเธอต้องการจะหย่า หากเขายังคงยืนยันที่จะให้เธอแสดงความกตัญญูต่อครอบครัวสามีต่อไปเหมยจิงเห็นว่าความคิดเช่นนั้นเป็นความคิดที่น่าขยะแขยงที่สุด
เมื่อเนื้อหาจดหมายสมบูรณ์แบบเธอก็ปั่นจักรยานไปที่ทำการไปรษณีย์ ทำการส่งจดหมายโดยจ่ายค่าแสตมป์อีก5เหมาจากนั้นก็ปั่นจักรยานเข้าหมู่บ้าน
ในชนบทมีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่ายตื่นเช้าทำงานเก็บแต้มกินอาหารเย็นแล้วนอน ตอนที่เหมยจริงปั่นจักรยานเข้ามาในหมู่บ้านจึงเป็นเวลาที่เริ่มสายมากแล้วผู้คนจึงอยู่ตามทุ่งนากันแทบทุกบ้าน ช่างบังเอิญเอาเสียจริงที่นั่นต้องเป็นทางผ่านที่เหมยจิงจะต้องปั่นจักรยาน แม้จะอยากจะหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าสายตาแต่มันช่างเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว หนึ่งครอบครัวที่อยู่ในทุ่งนานั่นรวมถึงครอบครัวตระกูลหรงด้วย ยามชาวบ้านมองเห็นถึงจักรยานคันหรูที่ไม่เคยมีมาก่อนในหมู่บ้าน ซึ่งคนที่ปั่นมาก็ช่างคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนักแต่เมื่อลองมองดูดีๆ นั่นสะใภ้รองของบ้านตระกูลหรงไม่ใช่หรือดูสิได้ปั่นจักรยานคันโก้อีกด้วย แล้วไหนจะเสื้อผ้าเนื้อดีที่เหมยจิงสวมใส่อยู่อีกมันงดงามจนอยากหยุดหายใจ
เมื่อเจียงหนานได้ยินชาวบ้านเริ่มสนใจบางอย่างจึงเงยหน้าจากสิ่งที่ทำขึ้นมาดู สองหูฟังไม่เท่าตาเห็นดวงตาเล็กห่างแทบถลนเมื่อเห็นสะใภ้สองตัวดีปั่นจักรยานงามซ้ำยังใส่ชุดใหม่แสนงดงาม เดิมทีสะใภ้สองต้องด้อยกว่าเธอไปทุกอย่างครั้นเมื่อเห็นอีกคนเหนือกว่าจึงเกิดความริษยาขึ้นมา
ถึงเช่นนั้นเจียงหนานก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้เมื่อไม่เห็นเด็กเหลือขอพวกนั้นไม่ได้กลับมาด้วย ไม่ได้การแล้วเรื่องนี้เธอต้องรีบไปบอกแม่สามี เธอไม่พลาดที่จะข่มขู่เอาของทั้งหมดนั่นมาเป็นของเธอเด็ดขาดแม้ไม่ได้จักรยานคันโก้ แต่ได้แค่เสื้อผ้าที่สะใภ้รองสวมใส่อยู่ก็ดีมากแล้ว เจียงหนานคิดว่าเธอจะยอมเสียสละเสื้อผ้าเนื้อหยาบที่สวมใส่อยู่ก็ได้เมื่อคิดว่าคุ้มค่าหากแลกกับชุดสวยๆ พวกนั้น
เมื่อแม่สามีรู้ข่าวในตอนพักเที่ยงของวันจึงไม่พลาดที่จะกลับไปดูให้เห็นกับตาว่าที่ชาวบ้านพูดกันนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ การที่ใครจะสามารถมีจักรยานได้ต้องจ่ายเงินเป็นร้อยๆ หยวนเชียวนะเธอย่อมยอมไม่ได้ทั้งยังคิดว่าของสิ่งนั้นย่อมต้องกลายเป็นอภิสิทธิ์ของบ้านตระกูลหรง
เมื่อมาถึงบ้านก็เห็นจักรยานคันงามจอดอยู่จริงๆ แม้จะอยากอยู่ชื่นชมกับมันให้นานกว่านั้นแต่ต้องตัดใจเพื่อเข้าไปจัดการกับสะใภ้รอง
"สวัสดีค่ะแม่ ทานข้าวก่อนสิคะ"
แม่หรงดวงตาแทบถลนเมื่อเห็นข้าวขาวถูกหุงอย่างสิ้นเปลือง เธอโมโหจนร่างกายสั่นเทิ้มข้าวขาวนี่สำหรับส่งให้ลูกสาวคนสุดท้องที่ทำงานโรงงานในอำเภอ หรงเซียงเซียงจบมัธยมต้นจากโรงเรียนในตัวอำเภอแม้ค่าใช้จ่ายจะสูงถึงขนาดไหนแม่หรงก็กัดฟันส่งจนหรงเซียงเซียงได้บรรจุเข้าโรงงานอาหารกระป๋อง เธอมักส่งสิ่งของดีๆ และเงินหยวนให้ลูกสาวของเธอเสมอ
"แกนังสารเลว ตัวไร้ประโยชน์ออกจากบ้านของฉันไปเดี๋ยวนี้"
"อะไรกันคะแม่ฉันแค่เห็นว่าแม่กินธัญพืชบดหยาบทุกวันฉันแค่อยากให้แม่ได้กินของดีๆ บ้างก็แค่นั้น"
"หุบปากของแกก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหว เป็นตายร้ายดียังไงฉันก็จะให้ลูกรองหย่ากับแกแล้วตอนนี้แกก็ไสหัวออกไปจากบ้านหรงซะ"
"แต่แม่คะ ฉันทำอะไรผิดฉันหย่ากับเขาไม่ได้หรอกค่ะหากฉันหย่าลูกๆ ของฉันจะอยู่ยังไง"
"นั่นมันก็ปัญหาของเธอ แล้วก็ออกไปแต่ตัวจักรยานนั่นก็เหมือนกันห้ามเอาไป"
"แต่จักรยานนั่นเป็นของ...."
"มันเป็นของบ้านหรง ส่วนเธอออกไป"
เหมยจิงรู้สึกถึงความรังเกียจคนพวกนี้คิดแม้กระทั่งจะเอาของที่ไม่ใช่ของตัวเอง
"ถ้าแม่ยืนยันแบบนั้น ฉันคงต้องให้พี่ชายของฉันกลับมาเอามันเองในภายหลังเพราะมันเป็นสมบัติของบ้านเดิม"
เมื่อแม่หรงได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตกใจ เธอรู้มาว่าพี่ชายของสะใภ้สองเป็นทหารเช่นกันมันคงจะได้ไม่คุ้มเสียหากเธอยืนยันจะเก็บจักรยานคันนี้ไว้
" ไม่ต้องให้ใครมาทั้งนั้นฉันขยะแขยงเกินกว่าที่จะพบหน้าครอบครัวของแก เอามันออกไปพร้อมเธอซะแล้วรอลูกชายของฉันไปหย่าได้เลย "
เหมยจิงแสร้งว่าเธอเสียใจนักหนา ทั้งที่ภายในใจนั้นลิงโล้ดสุดๆ หลังจากนั้นเธอก็ออกจากบ้านหลังนั้นไม่สิ นรกขุมนั้นต่างหาก
เจียงหนานรู้สึกเสียใจสุดๆ ที่ชวดชุดงามไปนั่นเป็นเพราะความงกของแม่สามีของเธอแท้ๆ แต่อย่างว่าข้าวขาวนั่นเป็นของที่แม่สามีหวงซะยิ่งกว่าชีวิตเอาเสียอีก สะใภ้รองที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้วแต่กลับไปแตะต้องสิ่งนั้นถือว่าสิ้นคิดมาก แต่ก็ดีจะได้ไม่มีใครอยู่ขวางหูขวางตาอยากให้น้องชายสามีรีบๆ หย่าเร็วๆ ไปเลยยิ่งดี
แม้เจียงหนานจะรู้สึกสมน้ำหน้าเหมยจิงแต่เหมยจิงกลับฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ที่จริงเธอคิดว่าจะต้องใช้เวลาถึงสองวันใครจะคิดกันว่าแม่สามีของเธอจะขี้งกเข้าขั้นถึงขนาดนั้น
ข้าวขาวหรือในมิติของเธอมีตั้งเยอะแยะไป อย่าว่าแต่ข้าวขาวเลยแม้กระทั่งเนื้อเธอก็มีกินจนเหลือเฟือ หากคนพวกนั้นปฏิบัติกับเธอดีๆ ไม่แน่เธออาจสามารถแบ่งปันพวกมันเล็กๆ น้อยๆ ให้ก็ได้คนพวกนั้นมีนิสัยโง่แถมยังเห็นแก่ตัวจึงไม่ได้อะไรจากเธอ แต่ก็ช่างเถอะเป็นแบบนี้ก็ดีแล้วเหมยจิงไล่ความคิดไร้สาระออกจากสมองก่อนที่จะรีบปั่นจักรยานกลับบ้านเดิมอย่างอารมณ์ดี