ตอนที่5 บ้านเดิมของเหมยจิง
เธอแอบเอาไข่ไก่ออกจากมิติมา6ฟองก่อนจะนำมันไปต้มให้ลูกชายทั้งสองอย่างเจ็บปวดใจ ลูกชายทั้งสองโตจนอายุ3ขวบ4ขวบแล้วแต่ยังไม่เคยรู้รสชาติแม้กระทั่งไข่ เมื่อต้มไข่จนสุกดีเธอก็นำมันมาพักในน้ำเย็นก่อนจะปล่อยให้อุณหภูมิของมันลดลงหลังจากนั้นเธอก็นำซาลาเปาไส้เนื้อออกมาอีก6ลูกสำหรับเธอและเด็กๆ 3ลูก และสำหรับพ่อแม่ของเธออีก3
เหมยจิงนำอาหารทั้งหมดใส่ลงในจานแบ่งเป็นสองจานนั่นก็คือไข่ไก่3ฟอง และอีกจานหนึ่งใส่ซาลาเปาไส้เนื้อส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเป็นอย่างดี เหมยจิงหยิบเอานมผงเด็กออกมาอีกหนึ่งอย่างเพื่อนำมาชงให้เด็กๆ อีกคนละแก้วหลังจากเธอวางอาหารลงบนโต๊ะอาหารก็เข้าไปเรียกเด็กๆ ออกมาทานอาหารกันอย่างพร้อมเพรียง
เฟยหยางไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจะได้กินซาลาเปาไส้เนื้อตามที่ต้องการไม่ใช่แค่ซาลาเปาแค่ลูกเดียวแต่นั่นตั้งสามลูกเลยนะแถมยังมีไข่ไก่ฟองใหญ่อีกตั้งสามฟอง ไหนจะนมกลิ่นหอมๆ นั่นอีกกว่าจะนึกอะไรออกน้ำลายก็แทบไหลออกมาแล้ว
"แม่ครับเราสามารถกินมันได้จริงๆ หรือครับ"
"แน่นอนจ๊ะอาหารทั้งหมดนี่เป็นของเราถ้าไม่อิ่มลูกสามารถบอกแม่ได้"
"หอมมากๆเลยฮะ" เฟยเทียนสูดดมกลิ่นอาหารอย่างเหม่อลอยพยายามหยิกตัวเองซ้ำๆ หลายครั้งเพราะกลัวว่าจะฝันไปนี่มันมีทั้งไข่ แล้วก้อนขาวๆ ที่พี่ใหญ่เรียกมันว่าซาลาเปา
"เรามาทานกันเถอะ"
เธอแบ่งไข่ให้เด็กๆ คนละฟองเด็กๆ ยื่นมือมารับอย่างสั่นเทาเธอกำชับลูกๆ แม้จะเจออาหารที่อร่อยมากแค่ไหนแต่ต้องสำรวมกิริยาไว้ไม่เคี้ยวเสียงดัง หรือกินจนเลอะเทอะมันจะทำให้เด็กๆ ดูน่ารักน้อยลงคล้ายเด็กๆ กลัวว่าตนเองจะน่ารักน้อยลงจึงทานอาหารกันอย่างเรียบร้อยไม่มีการพูดคุยระหว่างการกิน จนกระทั่งไข่ไก่หนึ่งฟองลงไปอยู่ในท้องน้อยๆ จนหมดหลังจากนั้นเธอก็แบ่งซาลาเปาลูกโตให้เด็กๆ คนละครึ่งลูกเพราะถ้ามอบมันให้เด็กๆ ทั้งหมดเธอกลัวว่าเด็กๆ จะทานมากจนเกินไปจะทำให้รู้สึกไม่สบายท้องได้
แต่เพียงซาลาเปาเพียงครึ่งลูกก็ทำให้พวกเขารู้สึกอิ่มจนแน่นท้องแล้ว ความหอมฉ่ำของไส้เนื้อนั้นทำเอาเด็กๆ แทบจะจดจำรสชาตินี้ไปตลอดชีวิต ที่แท้อาหารพวกนี้มันอร่อยแบบนี้นี่เองย่าจึงปฏิเสธที่จะยกมันให้พวกเขากิน นอกจากนั้นแม่ของพวกเขายังมีนมหอมๆ สำหรับพวกเขาอีกคนละหนึ่งแก้วถึงตอนนี้พวกเขารู้สึกมีความสุขมากเมื่อหนังท้องเริ่มอิ่ม เด็กๆ ก็มีพลังงานมากขึ้นในการเล่นสนุกพวกเขารู้สึกมีเรี่ยวแรงมากกว่าปกติหลังจากกินอาหารจนอิ่มท้อง
หลังจากนั้นเหมยจิงก็สำรวจอาหารในครัวของบ้านเดิมเมื่อเห็นว่ามีเครื่องปรุงแสนน้อยนิดเธอจึงนำของในมิติมาเติมจนเต็ม มีทั้งน้ำตาลทรายแดงที่มีราคาสูงมีทั้งเกลือคุณภาพดีเหมยจิงไม่ลืมนำซีอิ๋ว ออกมาวางไว้เธอไม่ลืมที่จะดึกฉลากมันออกมาเพราะสำหรับยุคนี้มันดูล้ำสมัยจนเกินไป เธอนำไข่ออกมาเติมจนเต็มโหลและนำข้าวขาวคุณภาพดีออกมาหนึ่งกระสอบใหญ่วางไว้ในห้องเก็บเสบียง เธออยากจะนำมันออกมามากกว่านี้แต่จะเป็นที่สงสัยเอาได้เพราะเพียงแค่นี้มันดูมากมายเกินไปแล้ว
ไม่นานพ่อและแม่ของร่างเดิมก็กลับมาพักในช่วงเที่ยงจากทุ่งนา ที่จริงพวกเขาไม่ต้องทำงานเก็บแต้มแล้วก็ได้เพราะอย่างไรเสียลูกชายของตนก็ได้แต้มเต็ม10ในทุกๆ วัน และแน่นอนว่าเมื่อรวมกับเงินเดือนที่เหมยชินโจส่งมามันย่อมเกินพอแล้วแต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่เฉยพวกเขาจึงลงทุ่งนาเพื่อทำงานเก็บแต้มแบ่งผลผลิตกัน
แต่เมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจเมื่อประตูบ้านเปิดอยู่ แถมยังมีรถจักรยานคันงามจอดอยู่หน้าบ้านปกติแล้วพวกเขาจะล็อกประตูไว้จะมีเพียงลูกชายและลูกสาวเท่านั้นที่รู้ที่ซ่อนกุญแจ และแน่นอนว่าในเมื่อลูกชายของพวกเขาอยู่ในกองทัพเช่นนั้นคนที่อยู่ในบ้านจะเป็นใครอื่นเลยไม่ได้นอกจากเหมยจิงลูกสาวคนเล็กที่อยู่ต่างตำบล
ด้วยความดีใจคนเป็นแม่แทบจะวิ่งเข้าสู่ตัวบ้าน
"สวัสดีค่ะแม่ สวัสดีค่ะพ่อ"
"จิงจิงเป็นลูกจริงๆ ด้วย"
แม่เหมยน้ำตาคลอเมื่อเห็นลูกสาวของนางที่เคยงดงามยามนี้กลับผอมแห้งจนแทบไม่มีเนื้อหนัง เมื่อเหลือบตามองเห็นหลานๆ เธอได้แต่เจ็บปวดในหัวใจ บ้านตระกูลหรงเป็นคนแบบไหนกันทำไมถึงปล่อยให้ลูกสาวและหลานชายของเธอผอมแถมเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังดูไม่ได้อีกด้วย ภายในใจของเธอรู้สึกปวดแปลบคันยุบยิบเธอแทบอยากให้ลูกสาวของเธอไปหย่ากับสามีจอมโง่เขลาเอาเสียตอนนี้เลยเสียด้วยซ้ำ
"เหตุใด หรงจ้าวไห่ถึงปล่อยปละละเลยลูกเมียได้ถึงขนาดนี้"
พ่อเหมยที่ยืนสังเกตลูกสาวมาพักหนึ่งในที่สุดก็เอ่ยออกมา ทั้งที่ปกติแล้วพ่อเหมยเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดแต่ครั้งนี้คงเห็นว่าหนักหนาเกินไปแล้ว ตอนแรกที่เหมยจิงแต่งออกไปพวกเขาก็รู้สึกสบายใจเพราะว่าสามีของเธอนั้นเป็นทหารอยู่ในกองทัพก่อนเหมยชินโจของเขาเสียอีกทั้งที่ตอนนี้เหมยจิงน่าจะอยู่ได้สุขสบายมากกว่านี้ แต่กลับตรงกันข้าม
"เขาไม่ได้กลับบ้านมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วค่ะ ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรให้พ่อแม่ฟังดี"
เหมยจิงเอ่ยตามความทรงจำของร่างเดิม แต่ในความคิดของเธอกลับรู้สึกถึงกลิ่นประหลาดเธอคิดว่าสามีของเธออาจกำลังนอกใจเธออยู่ก็ได้นั่นเป็นแค่ความคิดของเธอเอง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่นายทหารจะไม่มีวันหยุดเลยในหนึ่งปี แต่อาจมีเหตุผลอื่นก็ได้ที่ทำให้เขากลับบ้านไม่ได้ซึ่งเหตุผลอื่นที่ว่าเธอก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นเหตุผลอะไร
"พ่อกับแม่กลับมาจากทำงานคงหิวกันแล้วไปทานอาหารกันเถอะ ฉันซื้อซาลาเปามาจากตัวอำเภอมาด้วยค่ะ"
"จริงสิ จิงจิงลูกเอาเงินที่ไหนไปซื้อจักรยานแล้วข้าวของพวกนั้นกัน"
แม่เหมยอดสงสัยไม่ได้แม้จิงจิงจะผอมมาก แต่เธอสามารถใช้จักรยานที่มีราคาแพงจนน่าปวดใจคันนั้นได้
"ฉันไม่ขอปิดบัง ก่อนกลับบ้านเดิมมาฉันค้นพบเงินที่สามีฉันแอบไว้ก้อนหนึ่งค่ะในอดีตฉันอาจลำบากก็จริงแต่ในอนาคตแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันเชื่อว่าสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวฉันต้องดีขึ้นค่ะ"
โชคดีที่เหมยจิงเป็นคนที่มีไหวพริบก็ช่วยไม่ได้เมื่อชาติก่อนเธอเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศเชียวนะ
"เมื่อลูกยืนยันแบบนั้นแม่ก็เบาใจ แต่จะดีหรือไม่จิงจิงหากลูกจะกลับมาอยู่บ้านเดิมของเราจนกว่าสามีของลูกจะกลับมา"
"ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ แต่หลังจากจัดการอะไรให้เรียบร้อยแล้วเท่านั้นจะเป็นอะไรมั้ยคะแม่หากฉันจะฝากเด็กๆ กับแม่ไว้สักสองวัน หลังจากจัดการอะไรเข้าที่แล้วฉันจะกลับมาค่ะ"
" ได้แน่นอน ลูกอย่าลืมว่าแม่ก็เป็นยายของพวกเขา"
เหมยจิงนำซาลาเปาและไข่ต้ม ที่เก็บไว้ออกมาให้พ่อและแม่ของตนเองเธอไม่ลืมหยิบนมมอลล์ออกมาชงเพื่อบำรุงท่านทั้งสองอีกคนละแก้วส่วนเธอและลูกๆ ยังรู้สึกอิ่มท้องอยู่
ทั้งสองหลังจากได้ลิ้มรสชาติแสนอร่อยของซาลาเปาก็รู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ไม่ใช่พวกเขาไม่เคยกินซาลาเปาไส้เนื้อ แต่มันไม่ได้อร่อยถึงขนาดนี้ไม่รู้ว่าจิงจิงของพวกเขา ไปซื้อที่ร้านไหนมาพวกเขาติดใจมันถึงขั้นสอบถามถึงที่มาของซาลาเปา
" ฉันซื้อมาจากในอำเภอค่ะ เป็นร้านแผงลอยฉันก็พึ่งเคยเห็นเหมือนกันค่ะเลยซื้อติดมือมาด้วยหากพ่อแม่ชอบฉันจะซื้อกลับมาให้อีกในครั้งหน้า"
"ไม่ๆ มันจะสิ้นเปลืองลูกเอาเสียเปล่าๆ"
แม้ซาลาเปาจะอร่อยมากขนาดไหนก็ตามหากมันทำให้ลูกสาวต้องเดือดร้อน เธอก็ยอมลืมมันไป
" แม่ให้ฉันแสดงความกตัญญูเถอะค่ะ "
"ก็ได้ แต่ลูกต้องสัญญาว่ามันจะต้องไม่ทำให้ลูกต้องเดือดร้อน"
"แน่นอนค่ะ"
เหมยจิงบอกกับแม่ของเธอว่าจะนอนค้างที่นี่หนึ่งคืนและหลังจากนั้นจะให้เด็กๆ อยู่ที่นี่ก่อนส่วนตัวเธอเองจะกลับบ้านสามีไปจัดการเรื่องราวต่างๆ นั่นหมายถึงการเขียนจดหมายถึงสามีที่อยู่กองทัพเธอจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดในจดหมายแม้ต้องจ่ายค่าแสตมป์ที่แสนแพงเธอก็ยอม
เหมยจิงแทบลืมไปสนิทว่าตนเองไม่มีเงินหยวนติดตัวเลยในตอนนี้ เห็นทีว่าต้องหาทางทำเงินเสียสักหน่อย ในตอนนี้เริ่มมีแผงลอยตั้งขายกันบ้างในตัวอำเภอแต่ค่อนข้างบางตา เธอจะทำเงินเล็กน้อยจากที่นั่นก่อนหลังจากนั้นเธอจะกลับมาเปิดการค้าเพื่อเก็บเงินส่งเจ้าก้อนแป้งทั้งสองเข้าเรียนชั้นประถม
ทั้งที่พ่อและแม่เจ้าของร่างเดิมดีถึงเพียงนี้ ไม่รู้ทำไมเจ้าของร่างเดิมถึงทนอยู่ให้บ้านสามีโขกสับอยู่แบบนั้น ช่างเป็นผู้หญิงที่โง่เง่าไร้สมองสิ้นดี
ก่อนพ่อแม่ของเธอจะกลับมาในตอนเย็นเธอได้ตัดสินใจหุงข้าวไว้และผัดเนื้อจากเนื้อที่นำออกมาจากมิติระหว่างเดินทางมาบ้านเดิมผัดใส่กะหล่ำดาวที่มีอยู่ในมิติส่วนเนื้อที่เหลือเธอนำมันมารมควันเก็บไว้ให้พ่อและแม่เก็บไว้ทาน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเหมยจิงก็นำเสื้อผ้าสำเร็จรูปออกมา มีทั้งของเด็กทั้งสองคนละสามชุด และของเธอเพียงหนึ่งชุดเพื่อนำมาเปลี่ยนหลังอาบน้ำ
เหมยจิงจับเด็กๆ อาบน้ำอย่างจริงจังโดยใช้สบู่ในมิติขัดเนื้อตัวที่มอมแมมของเด็กๆ จนตอนนี้เนื้อตัวที่เคยมอมแมมสะอาดน่าหอมน่าฟัดมากเหมยจิงใช้แป้งเด็กทาตัวให้ทั้งสองก่อนจะนำชุดใหม่ออกมาสวมใส่ให้เด็กๆ ทั้งสอง
เด็กๆ ชื่นชอบชุดใหม่มากในวันนี้พวกเขารู้สึกมีความสุขจนไม่อยากกลับบ้านมันจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าไม่ต้องกลับไปที่นั่นอีกเลย หากกลับไปชุดใหม่ๆ พวกนี้คงถูกลูกชายของป้าสะใภ้แย่งชิงไปแน่นอนยิ่งคิดพวกเขายิ่งรู้สึกหม่นหมองจนแม่ของเขาสังเกตเห็น
"เป็นอะไรไปลูกๆ ไม่ชอบหรือ"
"เปล่านะครับพวกเราชอบมาก เพียงแต่คิดว่าหากเรากลับบ้านไปมันต้องตกไปอยู่ในมือของลูกชายป้าสะใภ้"
เหมยจิงรู้สึกเจ็บปวดใจอีกครั้งเมื่อลูกชายคนโตของนางเอ่ยออกมาอย่างกังวล
"ใครบอกว่าเราจะกลับไป "
เด็กๆ หันมองแม่ตัวเองเมื่อได้ยินแบบนั้น
"หมายความว่ายังไงครับ"
"เราจะไม่กลับไปอยู่บ้านย่าอีกแล้ว สองวันนับจากนี้แม่จะกลับบ้านย่าเพื่อไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ส่วนลูกๆ ต้องอยู่กับยายที่นี่ก่อน แม่สัญญาว่าถ้าเสร็จเรื่องเสร็จราวทั้งหมดแม่จะรีบกลับมา"
"ครับแม่เฟยหยางจะดูแลน้องชายและไม่ดื้อไม่ซนให้ยายต้องเหนื่อย"
การแสดงออกที่เกินวัยของเฟยหยางทำเอาเหมยจิงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข