ตอนที่4 กลับสู่ยุค70
ผ่านมาถึงวันที่สามเป็นวันสุดท้ายแล้วหลังจากไปรับเนื้อสัตว์มาเก็บไว้ในมิติ เหมยจิงก็รอเวลาของการกลับไปสู่ยุค70 ถึงเวลาสู่ความสะใจของเธอแล้ว
บนดาดฟ้าชั้นสูงสุดของตึกเหมยจิงกรุ๊ป "ทำไมพี่ถึงทำกับฉันแบบนี้ "
"ทำไมนะเหรอก็เพราะแกมันทำให้ฉันดูแย่นะสิ เพราะแกทำให้คนอื่นเปรียบเทียบฉันกับแกทั้งที่ฉันเป็นพี่แต่ทำไมสวรรค์เข้าข้างแกตลอดถ้าแกตายไปสักคนทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกเป็นของฉัน"เหมยจิงแสร้งร้องสะอึกสะอื้นก่อนจะหัวเราะออกมาสุดเสียงจนเหมยฮวาผู้เป็นพี่สาวยังตกใจ
"แกมันบ้าไปแล้วเสียสติไปแล้วรึไง ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีรีบตายๆ ไปซะ"
"พี่ไม่ต้องฆ่าฉันไม่เปลืองมือหรอกค่ะ"เหมยจิงถอยออกไปจนชิดขอบดาดฟ้าด้านล่างแม้มันจะสูงจนใจหาย แต่เธอคิดว่ามันน่ากลัวน้อยกว่าจิตใจคนที่ยืนตรงหน้าของเธอ
"ก็ดีฉันจะได้ไม่เปลืองแรง" เหมยฮวาแสยะยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สา
"แต่พี่รู้ไว้เลยนะคะว่ายังไงพี่ไม่มีทางได้อะไรจากการตายของฉัน หรือแม้แต่บ้านที่คุ้มกะลาหัวพี่อยู่พี่ก็ไม่มีทางได้มันไป"
"หมายความว่ายังไง" เหมยฮวามีท่าทีตกใจไม่น้อย
"หึ..เพราะฉันขายมันไปหมดแล้วไงละคะฮาฮ่าๆๆ ลาก่อนนะคะ" เอ่ยจบเธอก็ทิ้งตัวลงด้านล่างภายในใจหวาดเสียว แต่ไม่มีแม้แต่ความเจ็บปวดได้ยินเพียงเสียงตะโกนไล่ลงมาจนสุดเสียงของเหมยฮวา
"ฉันเกลียดแก นังเหมยจิง"
จากนั้นเธอก็เข้าสู่ความเงียบสงบ
"แม่ครับตื่นเถอะเช้าแล้ว"
"แม่ครับเฟยเทียนหิว"
เหมยจิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของอีกวันตอนแรกเธอตั้งใจจะนอนกลางวัน แต่ด้วยความที่ร่างเดิมอ่อนแรงเธอจึงสลบไปข้ามวันข้ามคืนตอนนี้ลูกๆ คงหิวแล้ว แม้เธอค่อนข้างแปลกใจทั้งที่เธอใช้เวลาไปทั้งหมดสามวันแล้วแต่ในมิตินี้กลับผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง เมื่อลองแตะปานแดงที่ข้อมือแล้วหลับตาดูก็พบว่าในนั้นมีสิ่งของที่เธอเตรียมมาอย่างครบถ้วนไม่มีขาดไม่มีเกิน ค่อยเบาใจหน่อยอย่างน้อยๆ สิ่งของในมิติยังพอที่จะทำให้เธอใจชื่นขึ้นมาได้บ้าง แม้ในอนาคตสามีจะหย่าขาดกับเธอจริงๆ เธอและลูกชาติทั้งสองคงไม่ลำบาก
"ลูกๆ หิวกันหรือ จริงสิกุ้งเผาเมื่อวานนี้ยังเหลืออยู่เช่นนั้นวันนี้เราไปกินมันกันเถอะ หลังจากนั้นแม่จะพาลูกๆ ไปบ้านยายกัน"
"บ้านยายหรือครับ" เฟยหยางแทบไม่รู้มาก่อนว่าตนเองมียายทั้งหมดคงเป็นเพราะความผิดของร่างเดิมทั้งสิ้นที่ไม่ได้พาลูกไปเยี่ยมเยือนพ่อแม่
"ใช่จะท่านยายก็คือแม่ของแม่ ท่านยายต้องหลงรักลูกๆ แน่นอน"
เหมยจิงเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมลูกชายในเช้าตรู่ พร้อมกับพี่สะใภ้ที่เดินออกมาพร้อมกับน้ำลายบูดที่ติดข้างแก้มอย่างน่ารังเกียจ
"น้องสะใภ้รีบตื่นเช้ามาทำอาหารใช่หรือไม่ คิดได้ก็ดีรีบไปทำอาหารเช้าสิประเดี๋ยวพี่ใหญ่และหลานๆ จะได้กิน "
เหมยจิงยิ่งได้ยินคำสั่งอย่างถือดีของพี่สะใภ้ บวกกับใบหน้าอันสกปรกยิ่งชวนให้อยากอาเจียนความอยากอาหารของเธอลดหายไปเกินครึ่งเมื่อต้องพูดคุยกับผู้หญิงคนนี้
"ทำไมฉันต้องทำคะ เมื่อวานฉันพึ่งบอกพี่กับแม่สามีไปเองนี่คะว่าหากฉันและลูกๆ ไม่ได้ทานอาหารมันก็ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกแล้วที่ฉันจะก้มทำงานงกๆ อย่างไร้ประโยชน์"
เหมยเจียงต่อว่าพี่สะใภ้ของสามีอย่างเหลืออดคนพวกนี้ไร้เหตุผลแล้วยังหน้าหนาสุดๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนในชีวิต
พี่สะใภ้ได้แต่นิ่งอึ้งจะเอ่ยอะไรออกมาก็มีแต่ติดขัดไปเสียหมด น้องสะใภ้สองเปลี่ยนไปจากเดิมที่หัวอ่อนรับใช้คนในบ้านไม่ปริปากมาถึงตอนนี้ เหมยจิงกล้าที่จะสบดวงตาและต่อว่าเธอตรงๆ อย่างไม่ขลาดกลัวมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับน้องสะใภ้ที่เธอเคยเอาเปรียบได้อยู่เป็นนิจกัน
"น้องสะใภ้คิดให้ดี หากเธอเอาแต่แข็งข้อกับครอบครัวของสามีแล้วเธอจะเอาอาหารที่ไหนกิน แล้วอย่าหาว่าพี่สะใภ้คนนี้ข่มขู่แต่เงินเดือนของน้องสองก็อยู่ในมือของแม่สามี เธอลองคิดดูดีๆ หากจะแข็งข้อกับแม่สามีเธอมีแต่เสียกับเสีย"
"ฉันไม่ใส่ใจ่เงินพวกนั้นหรอกค่ะ หากสามีของฉันกลับมาแล้วเขาจะหย่ากับฉัน ฉันก็ยินดีฉันไปนะคะวันนี้จะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมฝากบอกแม่ด้วยนะคะคงจะกลับมาในวันพรุ่งนี้"
เหมยจิงเดินจูงมือเด็กๆ ออกมาจากบ้านที่เป็นเหมือนขุมนรกดีๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่ไม่เคยที่จะได้แตะต้องอาหารดีๆ มันน่าปวดใจที่คนอื่นๆ ในบ้านสามารถกินของดีๆ ได้แต่ลูกชายที่น่าสงสารทั้งสองของเธอไม่สามารถกินได้แม้กระทั่งไข่ไก่ธรรมดาแม้ฟองเดียว
บ้านเดิมของเธอตั้งอยู่อีกฟากของตัวอำเภอ นานมากแล้วที่ร่างเดิมไม่ได้กลับบ้านเดิมเท่าที่จำความได้ตั้งแต่แต่งเข้ามาในบ้านตระกูลหรง เหมยจิงได้กลับไปเพียงสองครั้ง ครั้งสุดท้ายที่กลับไปเธอจำได้ว่าพี่ชายของเธอบรรจุเข้ากองทัพ นั่นหมายความว่าเธอไม่ต้องกังวลถึงสภาพความเป็นอยู่ของบ้านเดิม ถึงพี่ชายจะอายุ23ปี แต่ยังไม่ได้แต่งงาน และแน่นอนว่าพี่ชายของเธอส่งเงินหยวนมาที่บ้านมากพอที่จะให้พ่อและแม่ของเธออยู่ได้อย่างไม่ขัดสน
เส้นทางในชนบทค่อนข้างขรุขระเธอและลูกชายจะต้องเดินเท้าจนกว่าจะถึงบ้านเดิม ลำพังเธอเองก็ยังพอทนได้แต่เด็กๆ นี่สิ มันคงทำให้พวกเขาทรมานมากเกินไปหากทำเช่นนั้น ก่อนออกมาจากหมู่บ้านเธอได้แอบไปเอากุ้งเผามาใส่กระเป๋าผ้า เมื่อเห็นว่าลับตาคนจึงนำมันออกมาให้ลูกชายทั้งสองแบ่งกันกิน ตอนนี้ยังเช้ามากจึงไม่ค่อยมีคนทางค่อนข้างสะดวกในการนำสิ่งของอื่นๆ ออกมาจากมิติ
เหมยจิงคิดว่าเดินออกไปให้พ้นหมู่บ้านสักหน่อยเธอจะนำจักรยานออกมาใช้ เพราะหากเดินเท้าจนถึงบ้านเดิมคงกินเวลาอีกหลายชั่วโมง การเดินทางจะล่าช้าเพิ่มขึ้นเมื่อมีเด็กๆ ติดตามมาด้วย
เธอนำเนื้อออกมาจากมิติประมาณสองช่าง ไม่ลืมที่จะหยิบนมมอลล์ออกมาด้วยทุกอย่างเธอนำใส่ในกระเป๋าผ้าใบเก่าอย่างแนบเนียน ถึงจะไม่เป็นที่สนใจของเด็กๆ แต่เธอควรระวังไว้ไม่ให้ลูกเห็นได้เพราะกลัวเด็กๆ จะไม่ตกจนเกินไป
เมื่อเดินออกจากหมู่บ้านมาได้ระยะหนึ่งเธอก็บอกให้ลูกๆ ยืนรออยู่ส่วนเธอเดินไปด้านหลังกองฟางก่อนจะหยิบจักรยานกลางเก่ากลางใหม่ออกมาหนึ่งคัน เด็กๆ ดูตื่นเต้นมากเมื่อเห็นแม่จูงจักรยานออกมา เคยมีเด็กๆ ในหมู่บ้านเล่าว่าในเมืองใช้จักรยานและรถอื่นๆ ในการโดยสารมากแล้วแต่พวกเขาที่ยังเด็กมากยังไม่เคยเห็นพวกเขาตื่นเต้นมากเมื่อรับรู้ได้ว่าจะได้นั่งจักรยานเป็นครั้งแรก
เหมยจิงให้เฟยเทียนบุตรชายคนเล็กนั่งด้านหน้า ส่วนเฟยหยางนั่งด้านหลังโชคดีที่จักรยานมีตะกร้าสานด้านหน้า มันกว้างพอที่เธอจะสามารถใส่สัมภาระทั้งหมดลงไปได้ เมื่อมีเครื่องทุ่นแรงการเดินทางจึงรวดเร็วกว่าเดิมถึงเท่าตัว
เด็กๆ แม้จะตื่นเต้นแต่ให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดี นั่นก็คือการนั่งนิ่งๆ ช่วยเบาแรงผู้เป็นแม่ได้เป็นอย่างมาก จักรยานในชนบทยังเป็นสินค้าที่หรูหราอยู่แม้ในตัวอำเภอจะมีการใช้อย่างทั่วถึงแล้วก็ตาม แต่ไม่ใช่ใครก็มีได้เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าราคามันแพงแทบฉีกกระเป๋า นอกจากพนักงานรัฐที่ใช้กันส่วนใหญ่แล้วก็เป็นครอบครัวของนายทหารซึ่งเหมยจิงมีคุณสมบัตินั้นที่จริงเธอและลูกถึงขั้นสามารถมีชีวิตได้อย่างหรูหราหากได้รับเงินเดือนก้อนนั้น และที่สำคัญลูกๆ ก็จะไม่มีทางผอมโซแบบนี้แน่นอนยิ่งคิดก็อดรู้สึกโกรธพ่อของเด็กๆ ไม่ได้ แต่เอาเถอะหลังกลับจากบ้านเดิมหากคนในบ้านยังไม่หยุดเอาเปรียบเธออีกครั้ง เธอจะเขียนจดหมายไปถึงเขาดูหากเขารักครอบครัวเขามากจนละเลยลูกๆ เธอก็จะเป็นฝ่ายขอหย่าเขาเอง
ตอนนี้เธอไม่จำเป็นคิดถึงคนผู้นั้นให้ปวดสมอง ความทรงจำของร่างเดิมที่มีต่อสามีมันช่างจืดจางยิ่งนักจำได้แค่ว่าเขาช่างเย็นชาและเหินห่างกับเธอยิ่งนัก พอคิดถึงเรื่องนี้ภายในอกยังรู้สึกปวดแปลบขึ้นมาจนเธอแทบร้องไห้ออกมา เกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้กันแน่แต่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกอยู่ดี เอาเถอะเมื่อคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด
ไม่นานเธอก็ปั่นจักรยานเข้าสู่ตัวอำเภอ ผู้คนเริ่มขวักไขว่เพราะตอนนี้รัฐเริ่มไม่เข้มงวดด้านการซื้อขายแล้วเริ่มมีการเปิดการค้าเสรีอยู่บ้างแต่ยังมีไม่มากนัก ยังต้องใช้คูปองในการซื้อของในร้านค้าของรัฐอยู่บ้าง สินค้าหลายๆ อย่างยังขึ้นชื่อว่าเป็นของหายากเช่นเนื้อสัตว์และจำพวกน้ำมัน อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว เธอจำได้ว่าหน้าหนาวเป็นความจำที่เลวร้ายของร่างเดิมมากแม้จะหนาวจัดแต่ก็ยังต้องกัดฟันออกจากห้องเพื่อมาทำอาหารให้คนในบ้านสามีได้กิน น้ำนั้นเย็นจนแทบเป็นน้ำแข็งแม้จะทรมานแต่เธอก็ยังอดทนจนผ่านมาได้ ถ้าไม่แอบซ่อนฟืนไว้เกรงว่าเธอและลูกชายทั้งสองคงจะได้หนาวตายแต่ถึงกระนั้นยังดีขึ้นมาหน่อยที่สามีของร่างเดิมสร้างเตียงเตาไว้ให้ ไม่เช่นนั้นเธอกับลูกอาจนอนหนาวจนแข็งตายไปแล้วยิ่งคิดยิ่งเจ็บปวด
ปั่นจักรยานมาได้ไม่นานก็เข้าสู่ตัวตำบลที่ครอบครัวของร่างเดิมอาศัยอยู่ เหมยจิงกลายเป็นที่สนใจในหมู่บ้านเมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตระกูลเหมยกลับบ้านเดิมครั้งนี้มีลูกชายกลับมาด้วยสองคน แม้จะผอมไปบ้างแต่ใครจะสน พวกเขาสนใจจักรยานคันหรูนั่นต่างหากได้ข่าวว่าราคาของมันแพงมากอาจต้องมีเงินขั้นต่ำถึง100หยวนเชียวนะถึงจะซื้อได้ ชาวนาเช่นเขาทำได้แค่เพียงมองดูสินค้าฟุ่มเฟือยพวกนั้น อย่าลืมสิเงินถึง100หยวน ชาวบ้านแบบพวกเขาสามารถใช้ได้ไปอีกสองสามปีเลย เหมยจิงกลับบ้านเดิมมาอย่างหรูหราด้วยจักรยานคันงามแม้เสื้อผ้าของทั้งสามจะขาดจนแทบจะใช้งานไม่ได้แล้วก็ตามที
ในที่สุดก็ถึงบ้านตระกูลเหมยที่เวลานี้พ่อและแม่ของร่างเดิมออกจากบ้านไปทุ่งนาเพื่อทำงานเก็บแต้มกันแล้ว เหมยจิงรับรู้ได้จากความทรงจำของร่างเดิมเธอเปิดประตูบ้านเดิมเข้าไปตามความเคยชิน ความคุ้นเคยบอกให้เธอนั้นพาลูกๆ เข้าไปพักผ่อนในห้องเดิมของเธอเด็กๆ ตื่นเต้นมากเมื่อรู้ว่าห้องที่มีฟูกหนานี้เป็นห้องของแม่ตนเองพวกเขากระโดดโลดเต้นบนที่นอนอย่างมีความสุข
"เด็กๆ อย่ากระโดดบนที่นอนเดี๋ยวจะตกลงมาหัวแตกกัน ลูกๆ อย่าเล่นอะไรที่มันเป็นอันตรายเข้าใจหรือไม่ เดี๋ยวแม่จะไปหาอะไรมาให้กินมีใครอยากกินอะไรบ้างหรือไม่"
"พวกเราสามารถร้องขอได้หรือครับ"เฟนหยางเอ่ยถามแม่อย่างสงสัย
"จ๊ะพวกลูกสามารถบอกถึงสิ่งที่ต้องการได้"
"เฟยเทียนอยากกินไข่ฮะ" น้องชายคนเล็กเอ่ยบอกแม่ด้วยความไร้เดียงสา เพราะตนเคยเห็นลูกของป้าสะใภ้ได้กินไข่ต้มแถมยังมาโอ้อวดพวกตนว่าไข่ต้มนั้นอร่อยจนแทบจะกลืนลิ้น เขาแค่อยากรู้ว่ามันอร่อยขนาดนั้นหรือไม่
"เฟยหยางละลูก"เหมยจิงหันไปถามลูกชายคนโตที่นั่งก้มหน้าอยู่
"เฟยหยางอยากกินซาลาเปาไส้เนื้อ แต่แม่ครับเฟยหยางกินอะไรก็ได้นะซาลาเปามันแพงมาก"
เหมยจิงยิ้มขมขื่นก่อนจะลูบหัวลูกชายแผ่วเบา
"แม่ขอโทษที่ทำให้ลูกต้องลำบาก แต่ต่อไปนี้หากลูกต้องการอะไรลูกสามารถบอกแม่ได้ทุกอย่างแม่สัญญาว่าจะดูแลลูกๆ สองคนให้ดีที่สุด แม่จะไปหาอะไรมาให้กินก่อนนะอย่าออกไปไหน"
"ครับ/ครับ"