บท
ตั้งค่า

ท่านโหวผู้เย็นชา

อีกฟากฝั่งหนึ่งของจวน ในศาลาเล็กริมสวนใหญ่ที่มีดอกเหมยแดงบานสะพรั่งท้าลมหนาว เอกบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งคอยฮูหยินของเขาอยู่บนโต๊ะหินทรงกลมที่มีอาหารวางอยู่เรียงราย

ดวงตาเฉี่ยวคมสีทองอร่าม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มถูกมัดอย่างเป็นระเบียบในชุดสีแดง ซึ่งเป็นสีประจำตัวของโหวแห่งดินแดนเหนือ “หวังจิ่นหรง”คือแม่ทัพใหญ่หนึ่งในสี่ของแผ่นดิน ได้รับบรรดาศักดิ์โหวสืบต่อจากบิดาที่ล่วงลับไปเมื่อหลายปีก่อน

“ท่านโหวขอรับ” ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะก้าวเข้ามายังศาลาเล็ก เพื่อนำข่าวมาแจ้งแก่ผู้เป็นนายของเขา

“ว่าอย่างไร หานชิง” หวังจิ่นหรงปรายตามองไปยังคนสนิทของเขา โดยที่สายตานั้นยังคงมองตรงไปยังทางด้านหน้า ราวกับกำลังจดจ่อรอคอยการมาถึงของใครบางคน

“ภารกิจที่ท่านมอบหมายให้กองทัพ มีพลทหารคนหนึ่งทำผิดพลาดขอรับ เขาดื่มสุราจนเมาและเผลอแพร่งพรายแผนการของพวกเราออกไป”

“ข้าเกลียดคำว่าผิดพลาดยิ่งนัก!” เสียงทุ้มต่ำดูนุ่มลึก แต่ทว่ามันกลับเจือไปด้วยความเดือดดาลอยู่ในน้ำเสียงนั้น

“ท่านโหวจะให้ข้าทำอย่างไรกับพลหารผู้นี้ดีขอรับ?”

“ในสนามรบ ความผิดพลาดหมายถึงชีวิตของทั้งกองทัพ" หวังจิ่นหรงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น มือของเขานั้นกำแน่นด้วยความเดือดดาล ในชีวิตอันสมบูรณ์และดีงามของเขา คำว่าผิดพลาดไม่เคยปรากฏแก่เขามาก่อน

"ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ไม่มีสิทธิ์อยู่ในกองทัพของข้า! โบยและจับมันโยนออกนอกกองทัพเสีย!"

“หานชิงน้อมรับคำสั่งจากท่านโหว" กล่าวจบ ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากศาลา มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารของกองทัพทันที

หวังจิ่นหรงกำลังนั่งชงชาเพื่อฆ่าเวลา เนื่องจากวันนี้เขาไม่มีความจำเป็นต้องไปยังกองทัพแต่อย่างใด จึงอยากมาพบหน้าภรรยาแต่งของเขา เพื่อทำข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน

เนื่องจากหลังพิธีคำนับฟ้าดิน เขาก็เหตุให้ต้องไปจากจวน กว่าจะกลับมาอีกที เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสามปีแล้ว

ฝ่ามือด้านล่างใกล้ฐานนิ้วที่กำลังยกป้านน้ำชาอยู่นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลเนื่องจากการจับดาบแน่นเป็นเวลานาน และเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเล็กๆ นับไม่ถ้วน

“เหตุใดถึงมาช้า สตรีเมืองหลวงไม่ได้รับการอบรมเรื่องความตรงต่อเวลามาหรืออย่างไร” พูดจบก็ถอนหายใจ เขาไม่ใช่บุรุษที่จะมาอดทนนั่งรอคอยสตรีในห้องหอเสียหน่อย

“ฮัดชิ่ว!” ดรุณีน้อยกำลังจามในขณะที่ผิงผิงกำลังบรรจงแต่งตัวให้ ผิงผิงนั้นเป็นบ่าวเพียงคนเดียวที่ติดตามร่างเดิมจากจวนเสนาบดีไป๋เซียงมาที่แดนเหนือแห่งนี้

“คุณหนู.. ไม่สิ ฮูหยินเจ้าคะ ท่านไม่สบายหรืออย่างไร?” สายตาและท่าทางลนลานของผิงผิงนั้นช่างน่ารักเสียจริง ไป๋ลู่คนใหม่หรืออลิษานั้นอมยิ้มให้กับการกระทำนั้นอย่างอดมิได้

ความเป็นห่วงจนเกิดอาการวิตกจริต สำหรับใครหลายๆ คนนั้นอาจจะมองว่าน่ารำคาญและอึดอัด แต่หญิงสาวกลับรู้สึกดีใจและตื้นตันใจเป็นอย่างมากที่มีคนวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตน เพราะก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครเคยนึกห่วงใยตนมาก่อน

“ข้า...มิเป็นอะไรหรอก คงจะมีใครสักคนกำลังนินทาข้าลับหลังอยู่กระมัง”

“นินทา? แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาการจามหรือเจ้าคะ”

“ก็โบราณเขาบอกกันว่า เวลามีใครนินทาเราๆ ก็มักจะจามออกมา”

“บ่าวไม่เคยได้ยินนะเจ้าคะ ฮูหยิน” ผิงผิงเอียงศีรษะเล็กน้อย สีหน้าฉงนเหมือนพยายามทำความเข้าใจคำพูดแปลกๆ ของนาง

“เจ้าเรียกอย่างอื่น ที่ไม่ใช่คำว่าฮูหยินได้ไหม ข้าฟังแล้วขนลุกชอบกล”

ก็แน่สิ ตั้งแต่เด็กจนโต จนกระทั่งตายแล้วมาโผล่ในโลกนี้ หญิงสาวยังไม่เคยมีคนรักหรือแฟนเลยสักคน จู่ๆ จะให้มาเป็นภรรยาของใครสักคน มันก็รูสึกแปลกอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากแต่งตัวเสร็จ ไป๋ลู่คนใหม่ได้หันไปมองตัวเองในกระจกกลมสีทองอร่ามบานใหญ่ ความงดงามของร่างเดิมนั้นงดงามมากจนถึงกับต้องอุทานออกมา

“สวยมาก!” หากบอกว่าดรุณีน้อยผู้นี้เป็นโฉมสะคราญอันดับของเมือง นางคงจะเชื่ออย่างหมดหัวใจ เรือนผมสีดำเหมือนกับปีกของอีกา ดวงตำสีเทาอ่อนราวกับเงาแสงจางของทะเลสาบในฤดูหนาวชวนให้หลงใหล ไหนจะผิวกายที่ขาวราวกับหยกเนื้อดี

เสียอย่างเดียวคือไป๋ลู่นั้นยังดูเป็นเด็กมากเกินไป มองผ่านๆ เหมือนกับเด็กวัยรุ่นอายุไม่เกินสิบแปดปี หากแม่ทัพผู้องอาจอย่างท่านโหวจะไม่นิยมชมชอบ นางก็ไม่แปลกใจ

ถ้าประมวลจากความทรงจำเดิม ตอนที่ไป๋ลู่คนนี้ออกเรือนมาคงจะมีอายุประมาณสิบห้าปี ซึ่งน่าจะเด็กเกินไปสำหรับการมีครอบครัว ดูท่าหลังจากพ้นวัยปักปิ่นนางก็ได้รับสมรสพระราชทานทันที

ชีวิตของดรุณีน้อยนั้นถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันเติบโต ความฝันและความรักคงกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสตรีที่ถูกส่งตัวมาแต่งงานต่างเมืองเช่นนาง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel