ตอนที่5 งานแต่งที่เรียบง่าย
เพราะว่าตอนกลับไม่ได้โชคดีเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่มีเกวียนเข้าหมู่บ้าน ระหว่างทางเดินแน่นอนว่าท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลงบ้างแล้ว ยามนี้ครอบครัวคงพร้อมหน้าพร้อมตากันกินอาหารเย็นอย่างอุดมสมบูรณ์ ว่ากันตามจริงแล้ว ครอบครัวเฟิงถือว่าเป็นบ้านที่มีความเป็นอยู่ดีกว่าหลายๆ บ้าน เพราะว่าบิดาของร่างเดิม มีทักษะในการล่าสัตว์ป่าได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าที่บ้านแม้ไม่มีเงินหยวน ทว่ามีเนื้อให้กินตลอดเกือบทั้งปี หากภรรยาบ้านเฟิงไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ถึงตอนนี้ คาดว่าบ้านเฟิงคงจะมีบ้านหลังใหญ่หรือว่าขยาย ที่ดินได้มากกว่านี้แล้ว
"นายท่าน พวกเรามีทางลัดที่จะทำให้ไปถึงบ้านเฟิงเร็วขึ้น หากท่านเดินไปทางนั้นจะร่นเวลาได้เป็นครึ่งชั่วยาม"
ชุดแต่งงานถูกจัดเก็บโดยระบบเรียบร้อย เพราะเช่นนั้น ในตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของนาง ไม่มีอันใด เป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจผู้ใดได้อีก
"ท่านพ่อเจ้าคะ วันนี้ท่านพี่ก็หายออกไปจากบ้านอีกแล้ว"
เฟิงเซียนเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ค่อยชอบใจพี่สาวเท่าไหร่นัก นอกจากสินสอดที่จะไม่ได้มาเป็นของตนเอง ซ้ำพี่ใหญ่ก็ไม่ทำงานบ้านให้ตนเองอีกต่อไป นั่นเป็นเรื่องที่มันชวนหงุดหงิดเอาเสียจริงๆ
ผู้เป็นบิดา มองไปที่ภรรยาอย่างตั้งคำถาม เมื่อวานนี้ บุตรสาวคนโตก็กลับมาถึงบ้านดึกดื่น อีกไม่กี่วันบุตรสาวจะเข้าพิธีมงคล การออกจากบ้านและกลับมาถึงบ้านในเวลาที่ดึกดื่นมากขนาดนี้ มันจะเป็นเรื่องที่ดีไปได้อย่างไรกัน
และไม่ช้า เฟิงอวี้ก็กลับมาถึงบ้านอีกครั้ง พร้อมกับเงินในมือหนึ่งตำลึงเงิน
"อวี้เอ๋อ เจ้ากลับบ้านมืดค่ำขนาดนี้อีกแล้ว เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด"
ใบหน้าของบิดา คล้ายรอฟังเหตุผลจากนางอย่างตั้งใจ
"ข้าแค่ออกไปหาสมุนไพรออกไปขายในเมือง อีกสองวันมิใช่ว่าจะถึงงานมงคลของข้าหรือเจ้าคะ ข้าแค่ต้องการเก็บเงินซื้อชุดมงคลดีๆ บ้าง อีกอย่างชุดที่ใหม่สุดของข้า ก็มิสู้ชุดของน้องๆ ได้เลย ข้ามิอยากให้ตระกูลเฟิงขายหน้าหรอกนะเจ้าคะ"
มารดาเลี้ยงอยากจะจับเฟิงอวี้มาตัดลิ้นดีจริงๆ เดิมทีวันนี้นางเพิ่งจะออกไปซื้อชุดใหม่สำหรับนางและลูกทั้งสอง ใครจะคิดว่าคนที่เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยม เจียมตัวมาตลอด จะกล้าพูดเรื่องชุดงานมงคลขึ้นมา
"จางเซิน เงินที่ข้าให้เจ้าไปก่อนหน้านี้ อย่าลืมไปจัดการหาซื้อชุดใส่ในวันมงคลให้กับอวี้เอ๋อด้วย"
ไม่ใช่แค่สินสอดที่บ้านเราไม่ได้ แต่หมายความว่าพวกนางจะต้องจ่ายเงินเพื่อไปซื้อชุดงานมงคลอะไรนั่นด้วย นั่นเหมือนการกรีดเลือดกับพวกนางแม่ลูก ย้ำขึ้นไปอีก
ซ้ำเงินที่สามีให้มาก่อนหน้านี้ ก็ถูกใช้จ่ายไปเกือบหมด พร้อมกับชุดของลูกสาวและของนางเองด้วย แบบนี้แล้วจะเอาเงินส่วนใด ไปให้บุตรเลี้ยงผู้นี้ซื้อชุดมงคลกัน
"มิต้องหรอกเจ้าค่ะ แค่เอาเงินมาให้ข้าสักหนึ่งตำลึงทองก็พอ ส่วนเรื่องชุดงานมงคลข้าจะจัดการเอง"
"หะ หนึ่งตำลึงทองอย่างนั้นหรือ เจ้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ชุดอะไรทำไมถึงแพงถึงหนึ่งตำลึงทอง ข้ามิมีเงินมากขนาดนั้นหรอกนะ"
"เมื่อวานนี้ ข้าเพิ่งจะให้เงินแก่เจ้าไปสามตำลึงทองมิใช่หรือ เจ้าอย่ารีรอนำเงินเหล่านั้นออกมาเสีย"
จางเซินจะเอาเงินออกมาได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะใช้จ่ายซื้อเครื่องประทินผิว สำหรับนางและของลูกสาวทั้งสองคน เงินที่มีอยู่ตอนนี้ เหลือแค่เพียงหนึ่งตำลึงทองเท่านั้น หากให้เงินก้อนสุดท้ายไป เท่ากับว่าตอนนี้นางมิมีเงินเหลือใช้เลยน่ะสิ
"ก็ได้เจ้าค่ะ"
เงินหนึ่งตำลึงทองถูกหยิบออกมาส่งให้สามีอย่างเจ็บปวดในอก หากรู้ว่าเรื่องราวมันจะเป็นเยี่ยงนี้ นางจะใช้เงินพวกนั้นให้หมดไป อยากดูสิว่างานแต่งแล้ว บุตรเลี้ยงผู้นี้จะสวมชุดอันใดเข้าพิธีแต่งงาน
วันนี้มีอาหารที่หลงเหลืออยู่ในครัว เรื่องที่เฟิงอวี้กินปลาตัวใหญ่เมื่อวานนี้เพียงคนเดียว คงเป็นบทเรียนให้กับคนผู้นั้นแล้วว่า อย่าเล่นกับคนแบบนาง
แต่แป้งที่หยาบกระด้างลำคอเยี่ยงนี้ มันจะไปอร่อยได้อย่างไรกัน มันเผาที่แอบอยู่ในห้องนอนถูกเอาออกมากินเพื่อคลายความหิว อย่างน้อยมันฝรั่งเผานี้ ก็ดีกว่าแป้งหยาบเหล่านั้นเป็นไหนๆ
ทั้งที่ท่านพ่อก็หาเงินกับเนื้อมาได้แต่ละครั้งมากมาย แต่ทว่าการเป็นอยู่ของครอบครัว หาได้ดีขึ้นไปมากกว่าบ้านไหนๆ เลย มิรู้ว่าบิดาของร่างเดิมคิดอันใดกัน ถึงดึงสตรีอย่างจางเซินเข้ามาเป็นภรรยา
บ้านดินท้ายหมู่บ้าน บริเวณรอบๆ เป็นพื้นที่ของแปลงผัก มีนาข้าวบริเวณรอบบ้านอยู่สามแปลง บุรุษที่ใช้ผ้าปิดตาข้างหนึ่ง กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่
อีกสองวันนับจากนี้ ขาจะแต่งภรรยาเข้าบ้านมา เดิมทีไม่ต้องการที่จะแต่งใครเข้ามาให้วุ่นวายกับตนเองบ้างนัก แต่เพราะบางอย่าง ทำให้เขาต้องดึงสตรีสักคนเข้ามาเป็นภรรยา เพื่อที่จะอยู่ในหมู่บ้านนี้ได้อย่างสงบและแนบเนียนมากที่สุด
แล้วต่อไปการที่ต้องอาศัยร่วมกับสตรี มันจะทำให้ชีวิตของเขาปั่นป่วนไปได้ขนาดไหนกันนะ คิดไปพลางพรวนดินไป ดวงตาข้างหนึ่งที่ไม่ได้ปิด เป็นดวงตาเหยี่ยวที่มีแววความมุ่งมั่นอย่างล้นเปี่ยม
สินสอด ยี่สิบตำลึงทองที่เตรียมเอาไว้ ก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าพิธีแล้ว แม้ว่าต้องการใช้ประโยชน์จากสตรีผู้นี้ แต่เพราะว่าเขามิใช่คนใจร้าย หากสถานการณ์บางอย่างดีขึ้นกว่านี้ เขาก็มิคิดจะทอดทิ้งนางไป นางถึงตอนนั้น นางยังคงเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์ของเขาอยู่
นามที่ชาวบ้านรู้จักเขาคือหนุ่มพเนจร ที่สูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่งชื่อว่าโจวเฉิน หลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตคนเดียวอย่างสงบสุข มีที่ดิน ที่เขาซื้อมาสิบหมู่ แม้อาจไม่ได้มากมาย แต่หลังจากที่ปลูกผักปลูกข้าว นั่นก็สร้างรายได้เพียงพอที่จะเก็บเงินก้อนหนึ่งได้
แม่สื่อเดินมาแจ้งกำหนดการพิธีการอีกสองวัน ก่อนที่จะกลับไปอย่างเร่งรีบ ถึงอย่างไร คนที่พิการก็ยังถือเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจอยู่ดี ตอนแรกมิได้คาดหวังด้วยซ้ำ ว่าจะมีสตรีบ้านไหนยอมแต่งให้เขา แต่กลับมีสตรีบ้านเฟิง ที่มีบิดาเป็นพรานล่าสัตว์ ยอมยกลูกสาวให้แต่งกับคนพิการแบบเขา เป็นแบบนี้แล้ว มิรู้ว่าบิดาบ้านเฟิงเป็นบิดาที่รักลูกอย่างไรกัน
แต่ช่างเถอะ หลังจากที่แต่งมาแล้ว สตรีผู้นั้นก็เป็นคนของเขาตลอดไป ถึงครานั้นหากใครมารังแกภรรยาของเขา เท่ากับมีชีวิตอยู่มิสู้ตายไปเสียจะดีกว่า
แปลงผักตรงหน้าผ่านการดูแลมาอย่างดี แม้แต่วัชพืชสักเส้นก็ไม่มีให้เห็น ผักที่โจวเฉินปลูก ถึงเป็นที่ต้องการในเมืองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหอสุรา ที่มีการขายอาหารให้แก่เศรษฐีมีเงิน ในอนาคตมีความคิดที่จะเลี้ยงสุกรเพิ่มสักสามตัว เศษผักที่เหลือทิ้งจะได้เอามาเป็นอาหารของสุกร
วันเวลาผ่านไปจนถึงวันสมรส โจวเฉินเลือกสวมชุดที่เรียบง่าย และสะอาดสะอ้านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะเป็นการแต่งงานเพื่อประโยชน์ของเขา แต่ทว่า อย่างไรนี่ก็เป็นการแต่งงานของตน
เกี้ยวอย่างง่ายที่แม่สื่อจัดมา มารอรับเจ้าสาวหน้าบ้านดิน สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงเพราะเจ้าสาวในชุดสีแดง ปักลวดลายอย่างงดงามมากที่สุด เห็นแบบนี้ อดคิดไปถึงการแต่งงานของคุณหนูจวนตระกูลใหญ่มิได้
จางเซินไม่คิดว่าชุดที่บุตรเลี้ยงใส่ จะราคาแค่เพียงหนึ่งตำลึงทองเท่านั้น เฟิงเซียนเลียบเคียงให้มารดาไปเอ่ยขอชุดมงคลของพี่สาวไว้สำหรับนางตอนจะแต่งงาน แม้ว่าจะเป็นของเหลือใช้ แต่ชุดแต่งงานของพี่สาวมันเป็นชุดที่งดงามจริงๆ
"ท่านแม่ ตอนที่ข้าแต่งงาน ท่านแม่ต้องเอาชุดนี้ของพี่สาวมาให้แก่ข้า มิอย่างนั้นข้าจะไม่แต่งกับผู้ใดทั้งสิ้น"
"รู้แล้วๆ "
ระหว่างที่สองแม่ลูกเอ่ยคุยกัน ผู้เป็นบิดาก็คืนถุงเงินที่เป็นสินสอดให้กับบุตรสาวคนโต ตามสัญญา นี่คงเป็นครั้งแรกที่เฟิงอวี้เจอกับว่าที่สามี รูปร่างเขาไม่ได้เลวร้าย ดวงตาข้างนั้นก็ดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก น่าเสียดายที่เขาสูญเสียมันไป
"นั่งลงเถอะ อีกหน่อยเกี้ยวจะเคลื่อนออกแล้ว" เพราะเกี้ยวนี้ เป็นเกี้ยวที่เก่ามากแล้ว แน่นอนว่ากว่าจะถึงบ้านเจ้าบ่าว เฟิงอวี้รู้สึกปวดตัวไปหมด