ตอนที่3 ออกไปหาเงิน
ปลาย่างเกลือกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน แม้จะเจ็บใจที่เฟิงอวี้ ทั้งกินปลาตัวใหญ่เพียงคนเดียว ซ้ำยังใช้เกลือที่นางหวงแหนไปแทบทั้งหมด บุตรสาวทั้งสองคนแอบร้องไห้ใกล้ๆ กับท่านแม่ของพวกนาง ก่อนหน้านี้แม่บอกว่าจะให้พี่สาวทำน้ำแกงปลาสุดแสนอร่อยให้พวกนางในพรุ่งในยามเหมา แต่มันคงไม่เป็นเยี่ยงนั้นได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่อตอนนี้ปลาตัวใหญ่นั่นกำลังจะไปอยู่ในปากคนตะกละอย่างพี่ใหญ่แล้ว
"ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราจะไม่ได้กินปลาตัวนั้นด้วยใช่หรือไม่"
เฟิงซูเอ่ยถามมารดาน้ำตาคลอ แต่คนเป็นมารดาทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกกับบุตรสาวว่า พรุ่งนี้บิดาของพวกเขาจะไปหาเนื้อดีๆ มาให้พวกเข่าหลังจากนี้ นางรู้ว่านั่นคือคำโกหก แต่ก็ไม่ได้จะอยากเห็นบุตรร้องฟูมฟายเยี่ยงนี้
ทางฝั่งเฟิงอวี้กำลังมีความสุขกับการกินปลาย่างเกลือเป็นครั้งแรก หลังจากที่ปรุงรสด้วยเกลือเพียงอย่างเดียว อาหารที่ได้มาก็รสชาติไม่เลวนัก น่าเสียดาย ที่น่าจะมีเครื่องปรุงอื่นๆ นอกจากนี้สักหน่อย ไม่อย่างนั้นปลาย่างตัวนี้ น่าจะอร่อยได้มากกว่านี้หลายเท่านัก
"ร่างกายนายท่านกำลังถูกฟื้นฟูขอรับ หลังจากนี้นายท่านจะต้องกินเนื้อมากขึ้น" เสียงระบบเอ่ยขึ้นหลังจากที่เฟิงอวี้จัดการกับปลาตัวใหญ่นั้นลงท้องอย่างรวดเร็ว เหลือแค่เพียงก้างปลากับหัวปลาเท่านั้นที่เหลืออยู่
"ขอบคุณระบบ"
เมื่อหนังท้องตึง แน่นอนว่าหนังตาก็หย่อนคล้อย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะตื่นขึ้นมา ถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกง่วงนอนไม่หาย สภาพที่นอนของร่างเดิมค่อนข้างย่ำแย่ ฟูกนอนทำไมถึงทั้งแข็งและหยาบกร้านได้มากถึงขนาดนี้ แต่เอาเถอะ เพราะอีกไม่นานก็จะต้องแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นออกไปแล้ว คาดว่าหลังจากที่สามารถจัดการอะไรได้ด้วยตนเองหลายๆ อย่างน่าจะดีมากขึ้นกว่านี้
"นายท่านสามารถพักผ่อนได้อย่างไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลระหว่างที่ท่านพักผ่อนเอง"
เสียงระบบเอ่ยเตือนอีกครั้งก่อนที่เฟิงอวี้จะนอนหลับ แต่รู้สึกอุ่นใจเมื่อรู้ว่าอย่างน้อย นางก็ไม่ต้องเผชิญกับเรื่องราวน่าปวดหัวพวกนี้เพียงลำพัง
"อืม"
ตอบรับได้ไม่นานก็เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทรา ตื่นมาอีกครั้งเป็นยามเหมา อีกไม่กี่วันนางก็จะต้องแต่งงานออกไปแล้ว ถึงระบบจะบอกว่าบุรุษผู้นั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา หลังจากแต่งงานกับคนผู้นั้นนางจะสบาย แต่สิ่งหนึ่งที่ติดในใจ คือสิ่งที่สงสัย ว่าชายตาบอดข้างเดียวคนนั้น เป็นผู้ใดมาจากหนแห่งใดกันแน่
คิดได้แบบนั้นเฟิงอวี้คิดว่านางนอนต่ออีกสักหน่อยน่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า รู้สึกว่าการพักผ่อนที่ผ่านมายังไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่นักเลยอีกอย่างมารดาเลี้ยงกับน้อง คงไม่มีใครกล้ายื่นมือยื่นปากมาต่อว่าอะไรนางในระหว่างนี้แน่ๆ อย่างไรแล้วในตอนนี้ในสายตาของผู้เป็นบิดา เฟิงอวี้คือผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าน้องสาว
"ท่านแม่ เหตุใดยามซื่อแล้ว พี่ใหญ่ยังมิตื่นขึ้นมา ท่านแม่จะไม่เข้าไปปลุกนางจริงๆ หรือเจ้าคะ "
"เมื่อคืนนี้ เจ้าไม่เห็นหรืออย่างไร ว่าการที่เราทำอะไรนาง ท่านพ่อของเจ้าแสดงกิริยาเช่นไร เราเพียงอดทนไม่นานเท่านั้น หลังจากที่มันแต่งงานไปกับชายพเนจรคนนั้น แม้ว่าสินสอดที่ได้มาจะต้องเสียไป แต่นั่นก็คุ้มค่ามาก อย่างไรชีวิตของพี่สาวเจ้า คงดีไปมากกว่าเจ้าไม่ได้ เซียนเอ๋อ"
เมื่อได้ยินท่านแม่เอ่ยออกมาในทำนองนั้น บุตรสาวทั้งสองก็ได้แต่อดทนไปเท่านั้น หลังจากที่พี่สาวแต่งออกไป ถึงครานั้นก็เท่ากับว่า ชีวิตครอบครัวของพวกนาง ย่อมมีเพียงความสุขแล้ว คิดดูสิ บุคคลที่แต่งให้ชายพเนจรซ้ำยังพิการเยี่ยงนั้น อีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะมีหน้าตามาพบกับญาติๆ ได้
พี่สาวยอมเสียสละอย่างนั้นหรือ นั่นยังคงเป็นเรื่องที่น่าขำขันสิ้นดี แต่อย่างไรแล้วคนโง่ย่อมเป็นคนโง่ ไม่สามารถฉลาดขึ้นมาได้แม้เพียงข้ามวัน วันสองวันนี้คงยินยอมให้เฟิงอวี้สบายไปก่อน พอหลังจากวันนั้นไป นางผู้นั้นจะได้รับรู้ว่าสิ่งที่เรียกว่านรกอย่างแท้จริงมันเป็นเยี่ยงไร
สามคนแม่ลูกหัวเราะอย่างมีความสุข เมื่อวานท่านพ่อเอาสัตว์ป่าไปขายได้เงินกลับมาหลายตำลึง วันนี้ท่านแม่จึงเอ่ยชวนพวกนางเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อผ้ามาตัดชุดสวยๆ สวมใส่ในวันแต่งงานของพี่สาว แต่พวกนางลืมไปหรือเปล่าว่าเจ้าสาวยังมิได้มีชุดที่สวยงามเฉกเช่นพวกนางสักชุด
หลังจากที่ตื่นขึ้นมายามอู่ เฟิงอวี้ไม่รู้ว่าตอนนี้คนทั้งบ้านหายไปไหนหมด ในส่วนของบิดาคงออกไปล่าสัตว์เหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง แต่สามคนแม่ลูกนี่สิหายออกจากบ้านไปเช่นนี้ มิใช่ว่าออกไปใช้เงินที่บิดาขายสัตว์ป่ามาได้เมื่อวานนี้หรอกนะ และมันน่าจะมีความเป็นไปได้แบบนั้นสูงมาก
"ระบบ ข้าอยากออกไปหารายได้ ไม่กี่วันข้าจะต้องแต่งงานแล้ว แม้แต่ชุดเจ้าสาวข้ายังมิเห็น ตอนแต่งออกไปแม้ครอบครัวของบุรุษผู้นั้นจะค่อนแค้น หากแต่ข้าจะเป็นเจ้าสาวที่มิงามไม่ได้"
"เช่นนั้นนายท่านเดินขึ้นป่าไปทางตอนเหนือ ที่นั่นอุดมสมบูรณ์มากกว่าป่าทางตอนใต้ บางครั้งท่านอาจได้เจอกับสมุนไพรหายากจากที่นั่นได้"
"ขอบคุณระบบ"
เอ่ยจบเฟิงอวี้ก็เตรียมตัว ด้วยการหยิบตะกร้าสะพายหลัง และมืดที่แข็งแรงที่สุดออกจากบ้านไป นางมิได้คาดหวังว่ามารดาเลี้ยงจะยอมออกเงินเพื่อซื้อชุดสวยงามให้ในวันแต่งงาน อย่าลืมนะว่านางมิใช่คนโง่งมอย่างร่างเดิม ที่เชื่ออะไรง่ายๆ
ร่างระหงเดินไปทางตอนเหนือของชั้นป่า ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ป่ายิ่งหนาทึบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ด้วยความชื้นของป่าละแวกนี้ ทำให้ผิวกายของนางรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา
ตอนนี้ระบบนักปราชญ์ กำลังฉายรายชื่อพืชพรรณและสรรพคุณต่างๆ เฟิงอวี้แค่ต้องเลือกว่าต้องการสิ่งไหน แต่สิ่งที่ระบบแนะนำน่าจะเป็นพวกต้นโสมคนพวกนั้น
"โสมคนเป็นสมุนไพรที่หาได้ยากมาก หากนายท่านพาพวกมันไปขายให้กับร้านรับซื้อสมุนไพรในเมือง ข้ารับรองได้ว่านายท่านต้องได้รับค่าตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ"
หลังจากที่รู้ว่าโสมคนพวกนี้สร้างรายได้ให้นางได้มากแค่ไหน มือที่หยาบกร้านเป็นทุนเดิมก็ค่อยๆ เปิดหน้าดินออก เพื่อให้รากโสมออกมาสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สมุนไพรที่ขายได้ราคาดี ต้องมีสถานะที่สมบูรณ์แบบถึงแปดส่วน ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าสินค้าจะเป็นของดีหรือหายากมากขนาดไหน ก็จะถูกตัดราคาตาลงอยู่ดี
"นายท่าน โปรดเบามือลงหน่อย โสมคนหัวนั้นมีอายุมาก หากท่านต้องการราคาที่สูงขึ้นโปรดรักษาคุณสมบัติส่วนต่างๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด"
"เข้าใจแล้ว"
โสมคนทั้งหมดสามหัว จากที่ได้ยินระบบประเมินอายุ ถึงได้รู้สึกทึ่งเล็กน้อย โสมคนพวกนี้มีอายุถึงสองร้อยปี พวกมันเติบโตโดยที่ไม่มีชาวบ้านคนไหนเก็บไปเป็นสองร้อยปีมาได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจมากถึงมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้
กว่าจะออกจากป่าน่าจะเป็นช่วงที่เย็นมากแล้ว แต่อย่างไรเฟิงอวี้ก็ต้องเข้าเมืองภายในวันนี้ การที่รักษาสภาพโสมให้ยังคงสดเหมือนก่อนหน้านี้เป็นไปได้ยาก และนางมีโอกาสที่จะถูกกดราคาสูงมาก
โชคดีที่มีเกวียนของคนในหมู่บ้านวิ่งผ่าน เฟิงอวี้ตัดสินใจนั่งเกวียนที่ต้องจ่ายค่าจ้างไปห้าสิบอีแปะ อย่างน้อยก็พอที่จะร่นเวลาในการเดินทางได้มากขึ้น ผ่านไปหนึ่งก้านธูปก็ถึงตัวเมืองแล้ว ในยุคนี้ในเมืองไม่มีอะไรให้น่าตื่นตามากนัก หลักๆ ที่น่าสนใจก็มีเพียงหอสุราที่ใหญ่โตกลางเมืองเท่านั้น สิ่งที่ต้องมองหาเป็นอย่างแรกในตอนนี้คือโรงค้าสมุนไพร